บทที่ 99 มาหาถึงที่
โจวซินฉีสีหน้าบิดเบี้ยว นางเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าถ้ำที่ตัวเองเลือกจะดันมาอยู่ข้างถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน ตอนที่ยังอยู่ฝ่ายนอก นางรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีงานอดิเรกคือชอบให้คนอื่นเรียกเขาว่าอาจารย์อาป๋าย ในใจก็ให้รู้สึกพิกล ดังนั้นจึงคอยหลบเลี่ยงทุกครั้ง
แต่ตอนนี้ดันถูกดักหน้าประตูเสียได้
“อาจารย์…อาป๋าย!” โจวซินฉีสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากเอ่ยปากเบาๆ แล้ว ก็รีบเหยียบบนแพรต่วนสีฟ้าบินออกไปโดยไม่มองป๋ายเสี่ยวฉุนแม้แต่หางตา กระโปรงยาวของนางปลิวสะบัด ขับให้รูปโฉมยิ่งงามล้ำ มองดูแล้วราวกับเทพธิดา วันธรรมดานางมักจะใช้วิธีการเช่นนี้ขับไล่เหล่าคนที่บูชานาง ทุกครั้งล้วนได้ผลอย่างมาก ท่าทีวางตัวไม่ข้องเกี่ยวเช่นนี้จะทำให้นางมีระยะห่างกับผู้คน ไม่มีใครกล้าตีสนิทด้วย
ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจอย่างมาก เอามือทั้งสองข้างไพล่หลัง เผยท่าทางของผู้อาวุโส มองโจวซินฉีด้วยความชื่นชมราวกับว่าไม่ถือสาท่าทางของโจวซินฉีเลยสักนิด ต้องการฟังแค่คำว่าอาจารย์อาป๋ายเท่านั้น
จนกระทั่งโจวซินฉีจากไปไกล ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้กลับไปยังถ้ำของตัวเองด้วยความพอใจ เขารู้สึกว่าวันนี้ได้ทำตามเป้าหมายสำเร็จ ในที่สุดก็ทำความปรารถนาให้เป็นจริง ในถ้ำ หลังจากที่เขาหยิบเอาคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรมาอ่านอย่างละเอียดแล้วก็นึกถึงความแข็งแกร่งของกุ่ยหยาตอนศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ สีหน้าจึงค่อยๆ จริงจังขึ้นมา
“ไม่รู้ว่ากุ่ยหยาผู้นั้นฝึกวิชายังไงถึงได้ร้ายกาจขนาดนั้น…โดยเฉพาะผีร้ายหลายตนนั่นที่สามารถควบคุมได้เหมือนสัตว์ร้าย หากข้ามีสัตว์กับเขาบ้างสักตัวก็ดีน่ะสิ” ป๋ายเสี่ยวฉุนย้อนคิดถึงการประลองครั้งนั้นในใจก็ให้หวาดผวา พอคิดมาถึงตรงนี้พลันเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ หยิบเอากล่องไม้อันหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของ
“เมล็ดกำเนิดสัตว์…วันหน้าหากมีโอกาสได้ไปชายฝั่งทิศเหนือ บางที…การที่ข้าจะได้สัตว์สักตัวมาเป็นของตัวเองก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะสัตว์ตัวนี้ข้าเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดถึงความมหัศจรรย์ของเมล็ดกำเนิดสัตว์ใจก็เต้นโครมๆ เนิ่นนานกว่าจะข่มกลั้นอารมณ์ลงไปได้ แล้วจึงเก็บกล่องไม้เอาไว้เช่นเดิม
ลังเลอยู่ครู่ใหญ่เขาก็ส่ายหัว
“ไอ้เรื่องที่ต้องรบราฆ่าฟันกันเนี่ยข้าล่ะเกลียดที่สุดเลย รีบฝึกให้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบของรวมลมปราณดีกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะได้ไปถึงขั้นสร้างฐานราก” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดถึงตรงนี้ก็เริ่มฝึกฝนตามเนื้อหาในคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทร
มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรนี้ แม้ว่าจะสามารถเชื่อมต่อกับลมปราณม่วงควบคุมกระถางได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่วิธีการฝึกกลับไม่เหมือนกัน ไม่ได้ทำท่าทางต่างๆ แต่มีรูปภาพอยู่สามรูป รูปแรกคือช้างยักษ์โบราณหนึ่งตัว ใหญ่โตมโหฬารเกินจะเปรียบ ราวกับมีแรงพอให้เปิดภูเขา สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน พละกำลังของกายเนื้อที่มหาศาลอย่างถึงที่สุดเช่นนี้ ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอเห็นครั้งแรกก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่างอย่างอดไม่อยู่ ราวกับว่าเลือดเนื้อทุกก้อนในร่างกายล้วนสั่นสะท้านรับภาพนี้ สอดคล้องกับกฎเกณฑ์พิเศษบางประการรางๆ…
ภาพที่สองคือมังกรเขียวตัวหนึ่งที่พลิกตัวเกลือกกลิ้งไปมาอยู่ในกลุ่มเมฆหมอก ผลุบๆ โผล่ๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปปราดเดียวก็ราวกับถูกนาบตราประทับ ในสมองมีภาพมายาของรูปนี้ขึ้นมาอย่างหยุดไม่ได้ แต่ภาพนี้เพิ่งจะปรากฏขึ้นมายังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วลมหายใจ สมองของเขาก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมา พลังวิญญาณตลอดร่างแผ่กระจายอย่างมิอาจควบคุม ขณะที่เคลื่อนวนไปทั่วร่างกาย ความเจ็บปวดรุนแรงแผ่ออกมาเป็นระลอก ป๋ายเสี่ยวฉุนฟื้นคืนสติขึ้นมาทันควัน เหงื่อเย็นผุดออกมาทั่วร่าง
“นี่มันวิธีการฝึกฝนแบบไหนกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ได้ดูภาพที่สามต่อ แต่ศึกษาถ้อยคาถาและเนื้อหาของคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรอย่างละเอียด
เนิ่นนานเขาถึงได้เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเผยแววครุ่นคิด ค่อยๆ คิดอะไรบางอย่างออก และรู้ชัดในที่สุด
“การฝึกด้านความคิด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา
วิธีการฝึกเช่นนี้ลึกลับอย่างยิ่ง เป็นการพินิจรูปภาพที่แตกต่างกันโดยอิงตามระดับที่ต่างกัน อาศัยสิ่งนี้ฝึกฝนตนเอง สามารถจินตนาการได้ว่าในภาพที่สามนั่นจะต้องมีพลังฟ้าดินลึกลับบางอย่างอยู่แน่นอน ถึงได้ทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้ที่มองมัน
สำหรับลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในสำนัก วิธีการเช่นนี้ไม่เหมาะสมในการฝึกฝนเลยสักนิด หากฝืนนำไปฝึกอาจจะทำให้พลังตีกลับย้อนมากัดกินตัวเอง มีเพียงถึงรวมลมปราณขั้นแปด พลังวิญญาณในร่างกายมีไม่น้อยแล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถใช้วิธีเช่นนี้ในการฝึกได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจอย่างลึกซึ้งจึงไม่ได้ทะเยอทะยานเกินตัว แต่แค่ดูภาพที่หนึ่งเท่านั้น ตอนที่สังเกต ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม เลือดลมหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าไปสอดคล้องกับลักษณะพิเศษบางอย่างของผิวหนังคงกระพันเข้า แสงสีเงินตลอดร่างกะพริบวาบ ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเลือนๆ เหมือนว่า…มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรนี้ สามารถประสานกับผิวหนังคงกระพัน ทำให้พลานุภาพยิ่งแข็งแกร่ง
เวลาผันผ่าน ไม่นานก็ผ่านไปครึ่งเดือน ครึ่งเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยาอยู่ตลอดเวลา ฝึกวิชามังกรคชสารแปลงมหาสมุทรพลางหลอมยาวิเศษไปด้วย ดังนั้นขณะที่ตบะของเขาค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น สีเงินจากผิวหนังคงกระพันของเขาก็ค่อยๆ เข้มขึ้น พัฒนาไปไม่น้อย
เวลาเดียวกันนี้ หลังจากที่เริ่มฝึกคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทร เขาพบว่าวิชาลมปราณม่วงควบคุมกระถางของตัวเองก้าวหน้าไปอย่างพรวดพราด ทั้งที่เห็นๆ อยู่ว่าเขาไม่ได้ฝึกมัน
ปรากฏการณ์เช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจอย่างมาก เขาคิดไปคิดมา สุดท้ายก็เจอคำตอบอย่างเลือนราง
“มังกรคชสารแปลงมหาสมุทร นี่คือวิชาที่ช่วยเกื้อหนุนวิชาหนึ่ง สามารถรองรับทุกวิชาได้ในขั้นที่สูงมาก ทำให้พลานุภาพของวิชาอภินิหารทุกวิชาเพิ่มขึ้น ส่วนพันธการที่บทเริ่มต้นพูดถึง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงยกมือขวาขึ้นมาชี้ไปข้างหน้าหนึ่งครั้ง ความว่างเปล่าเบื้องหน้าเขาพลันสั่นสะเทือนหนึ่งที กระถางใหญ่สีม่วงหนึ่งใบปรากฏพรวดออกมา
มีชีวิตชีวาเหมือนจริง ไม่เพียงแต่ใหญ่กว่าก่อนหน้านี้ พลานุภาพก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อยเช่นกัน ถึงขั้นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความรู้สึกว่าแค่ตัวเองคิดก็สามารถทำให้กระถางใหญ่ใบนี้หายไป กลายมาเป็นพลังวิญญาณกลับเข้าสู่ในร่างกาย
ความคิดเขาขยับเคลื่อน กระถางใบใหญ่พลันหายไปทันที พลังวิญญาณเป็นระลอกกระโจนเข้าใส่ หลังจากมุดลอดเข้าไปในร่างกายแล้วก็ไปช่วยชดเชยพลังที่หายไปจากการร่ายคาถานี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนตกตะลึงระคนดีใจโดยพลัน ความคล่องแคล่วเชี่ยวชาญ ทั้งเก็บกลับได้ ทั้งเอาออกไปใช้ได้เช่นนี้ ก็คือลักษณะพิเศษหลังจากที่ฝึกพลังลมปราณม่วงแปลงกระถางสำเร็จเป็นขั้นใหญ่
“มีคัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรนี้คอยช่วยเหลือ มหาเวทควบคุมคนที่ข้าเคยคิดเอาไว้บางทีก็น่าจะมีหวังแล้ว!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังตื่นเต้นนั้นเอง ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยน เงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตูใหญ่ของถ้ำ ทำมุทราชี้ไปหนึ่งที ประตูใหญ่พลันเลือนราง และกลายเป็นโปร่งแสงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาสามารถมองเห็นสภาพด้านนอกได้
เวลานี้ด้านนอกเป็นช่วงสายัณห์ เห็นแค่ว่ามีเงาร่างของคนนับร้อยกำลังทะยานมาจากที่ไกลๆ หลายสิบคนที่เร็วที่สุดถึงขั้นมาถึงด้านนอกถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วด้วยซ้ำ
ในกลุ่มคนมีชายหนุ่มผู้หนึ่ง ชายหนุ่มคนนี้รูปงามหล่อเหลา แต่สีหน้ากลับซีดขาว ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ตลอดทั้งร่างมองดูคล้ายคนสติไม่สมประดี เหมือนว่าแค่ใครไปโดนตัวเขาก็จะคลุ้มคลั่งขึ้นมาทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้จักชายหนุ่มผู้นี้ คนๆ นี้ก็คือ…ศิษย์ของชายฝั่งทิศเหนือ เป่ยหันเลี่ย!
และคนหลายสิบคนที่อยู่ข้างกายเป่ยหันเลี่ย ตบะของแต่ละคนเหนือล้ำเกินกว่าพลังรวมลมปราณขั้นเก้าธรรมดาทั่วไป และยังมีอีกสิบกว่าคนที่อยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบของรวมลมปราณ ส่วนนับร้อยคนที่อยู่ด้านหลัง ไม่ว่าใครก็ล้วนมีพลังรวมลมปราณขั้นเก้า!
โดยเฉพาะชายร่างใหญ่คนหนึ่งที่อยู่ข้างกายของเป่ยหันเลี่ย ชายผู้นี้รูปร่างใหญ่โตล่ำสันราวกับภูเขาลูกย่อม รูปลักษณ์มีส่วนคล้ายเป่ยหันเลี่ยอยู่หลายส่วน ผมยาวปลิวสะบัด เขายืนเงียบอยู่ตรงนั้น แต่พลังที่เผยออกมากลับทำให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนตกตะลึง
พลังปราณนั้นไม่ใช่พลังของรวมลมปราณแล้ว ถึงขั้นเห็นได้อย่างเลือนรางว่ารอบกายของชายร่างใหญ่ผู้นี้คล้ายกับมีน้ำวนที่มองไม่เห็นอยู่ ทำให้พลังฟ้าดินของแปดทิศล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่เขา
“ลูกศิษย์ฝ่ายในพลังรวมลมปราณขั้นเก้า ขั้นสิบ…นับร้อยคน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง รู้สึกหนังหัวชาหนึบ รีบทำมุทราชี้ไปหนึ่งที ค่ายกลของถ้ำจึงเปิดออกหมด
คนนับร้อยเหล่านี้ล้วนเป็นลูกศิษย์ฝ่ายในของชายฝั่งทิศเหนือ หรือจะพูดให้ชัดเจนกว่านั้นก็คือล้วนมาจากเขารั่วรื่อ การมาในวันนี้ก็เพื่อแก้แค้นให้กับเป่ยหันเลี่ย ศิษย์น้องของพวกเขา
การเคลื่อนพลของคนนับร้อยดึงดูดความสนใจจากลูกศิษย์ฝ่ายในของเขาเซียงอวิ๋นได้ทันที โจวซินฉีเดินออกมาจากในถ้ำเป็นคนแรก ขณะเดียวกันนั้นลูกศิษย์ฝ่ายในของเขาเซียงอวิ๋นจำนวนไม่น้อยก็รีบบินออกมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน โอบล้อมคนนับร้อยเหล่านี้ไว้ ชั่วขณะที่เข้าโอบล้อมนั้นเอง มีคนจำชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างกายของเป่ยหันเลี่ยได้ก็ร้องตกตะลึงเสียงหลง
“พลังวิญญาณกลายเป็นน้ำวน นี่คือ…นี่คือเหนือล้ำเกินรวมลมปราณ คาบเกี่ยวระหว่างขั้นฐานราก สัญญาณของการเหยียบย่างเข้าสู่สร้างฐานรากครึ่งก้าวแรก!”
“ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับหนึ่งของฝ่ายในแห่งยอดเขารั่วรื่อ เป่ยหันเฟิง!”
ทุกคนร้องออกมาอย่างตกตะลึงทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในถ้ำ เนื่องจากมีค่ายกลอยู่จึงได้ยินเสียงจากข้างนอกไปด้วย พลันดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นมาอีก
“สหายร่วมสำนักทุกท่าน ศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจชายฝั่งทิศใต้ชนะไป ไม่มีอะไรให้ต้องวิจารณ์ เป่ยหันขอแสดงความยินดีด้วย วันนี้ที่มาที่นี่ไม่เกี่ยวข้องกับชายฝั่งเหนือใต้ของพวกเรา นี่คือความแค้นส่วนตัวของตระกูลเป่ยหัน ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ต่ำช้าไร้ยางอาย ทำให้น้องของข้าต้องเสียใจไปตลอดชีวิต ข้าในฐานะที่เป็นพี่ไฉนเลยจะยอมได้!”
“ที่มาคราวนี้ก็เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับน้องของข้า!” คำพูดของเป่ยหันเฟิงเปล่งออกมา ไม่รอคำตอบจากลูกศิษย์ฝ่ายในของเขาเซียงอวิ๋นที่อยู่รอบกายก็หันพรวดไปมองถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
เป่ยหันเลี่ยที่อยู่ด้านข้าง ดวงตาทั้งคู่แดงฉาน มีน้ำตาคลอให้เห็นรางๆ เขาคำรามเสียงดังร้าวรานไปทางถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างคลุ้มคลั่ง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน โผล่หัวออกมา!”
หลังจากที่พี่น้องเป่ยหันสองคนเอ่ยปาก ในถ้ำก็มีเสียงลำบากใจของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยมา
“พวกเจ้าไม่มีเหตุผลนี่นา ตอนนั้นข้าก็บอกแล้วว่าให้เจ้ายอมแพ้ เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้นะ ตอนนั้นที่สุนัขใหญ่กระโจนขึ้นไปบนร่างเจ้า ข้ายังคิดจะไปแยกพวกเจ้าออกจากกันอยู่เลย…”
“หุบปาก ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้ ข้าเป่ยหันเลี่ยไม่ขออยู่ร่วมโลกกับเจ้า!!” เป่ยหันเลี่ยคำรามอย่างโกรธแค้น เขารู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจงใจเปิดรอยแผลของเขาออก เวลานี้จึงพุ่งออกไปราวกับคนบ้า โจมตีเข้าที่ค่ายกลของถ้ำป๋ายเสี่ยวฉุน คล้ายต้องการระบายโทสะทั้งหมดในระยะเวลาสั้นๆ นี้ออกมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองดูด้วยใจหวาดผวา แต่หลังจากพบว่าค่ายกลแค่สั่นไหวเท่านั้น ไม่มีร่องรอยปริแตก ถึงได้วางใจ ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ออกไปเด็ดขาด มองเห็นเป่ยหันเลี่ยที่กำลังคลุ้มคลั่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจ พูดเกลี้ยกล่อมต่อ
“เป่ยหันเลี่ย จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรสักหน่อย เจ้าคิดแบบนี้สิ สุนัขใหญ่ตัวนั้นสนิทชิดเชื้อกับเจ้าถึงเพียงนี้ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะมีโชคดีในความโชคร้ายก็ได้ นับแต่นี้ไปวิชาควบคุมสัตว์ของเจ้าจะยิ่งร้ายกาจมากกว่าเดิมแน่นอน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะพูดปลอบใจอีกฝ่ายอย่างแท้จริง แต่เขาไม่ปลอบใจก็ยังดี พอปลอบใจเช่นนี้ เป่ยหันเลี่ยจึงระเบิดทันที คำรามเคียดแค้นเสียงดังก้องฟ้า
แม้แต่เป่ยหันเฟิงเองก็ยังมีสีหน้าทะมึน เดินขึ้นหน้าไปอีกก้าว กระแทกฝ่ามือลงไปหนึ่งครั้ง เสียงตูมดังหนึ่งที ค่ายกลสั่นไหว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองเห็นถึงกับใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง
“หยุดนะ!” ยามนี้ลูกศิษย์ฝ่ายในของเขาเซียงอวิ๋นที่อยู่รอบด้านทนมองไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาไม่ได้สนิทกับป๋ายเสี่ยวฉุน แต่วันนี้เขารั่วรื่อมาหาเรื่องถึงที่ หากจะให้มองพวกเขาลงไม้ลงมือต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ เกรงว่าต่อไปชื่อเสียงของลูกศิษย์ฝ่ายในของเขาเซียงอวิ๋นคงจะย่อยยับป่นปี้
ขณะที่ลูกศิษย์ฝ่ายในของเขาเซียงอวิ๋นรอบด้านพุ่งออกไปเพื่อจะขัดขวาง คนร่วมร้อยที่พี่น้องเป่ยหันพามา ทั้งหมดกระจายตัวออกไปขัดขวางทันที ต่างฝ่ายต่างไม่ได้ต่อสู้กันถึงตาย เพียงแค่ต้องการขัดขวางลูกศิษย์ฝ่ายในของเขาเซียงอวิ๋นเอาไว้ ไม่ให้พวกเขาไปรบกวนเป่ยหันเฟิงได้ในเวลาอันใกล้นี้
เรื่องแบบนี้กลายเป็นการต่อสู้กันเองระหว่างสองภูเขาแล้ว ถือว่าละเมิดกฎของสำนัก แต่เป่ยหันเฟิงไม่สนใจอีกแล้ว ตระกูลเป่ยหันก็เป็นตระกูลผู้ทรงเกียรติเช่นกัน ขอแค่ไม่ฆ่าคน ไม่เรียกว่าผิดกฎใหญ่โตอะไร
เสียงกระบี่ดังเลื่อนลั่น ค่ายกลของป๋ายเสี่ยวฉุนบิดเบี้ยวทันที ยิ่งสั่นไหวยิ่งรุนแรง แต่ถ้ำแห่งนี้ไม่ธรรมดา ตอนแรกเริ่มป๋ายเสี่ยวฉุนยังตกตื่นอยู่ แต่พอดูไปดูมาพบว่าค่ายกลยังคงอยู่ดีจึงคลายใจได้ทันที
แต่เขาเป็นคนจิตใจดีนี่นา แถมเขาเองก็รู้สึกเสียใจ ดังนั้นจึงพูดเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง
“เรื่องนี้โทษข้าไม่ได้จริงๆ นะ…เอาอย่างนี้สิ เจ้าเอาสุนัขตัวใหญ่นั่นมาตุ๋น กินมันซะเลย แบบนี้ต่อไปทุกคนก็จะได้รู้ว่าเป่ยหันเลี่ยองอาจกล้าหาญไม่ธรรมดา ใครกล้ากระโจนเข้าใส่เขา เขาก็จะกินคนนั้น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดไปพูดมารู้สึกว่าเหมือนจะออกนอกเรื่องไปแล้ว…ขณะที่กำลังจะกลับเข้าเรื่อง เป่ยหันเลี่ยที่อยู่นอกประตูโกรธเสียจนกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด กรีดร้องเสียงโหยหวน ถึงกับหน้ามืดจนเสียสติ เอาหัวพุ่งเข้ามากระแทกบนค่ายกลแรงๆ
ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่อกสั่นขวัญกระเจิง
———