Skip to content

A Will Eternal 210

บทที่ 210 ผู้อาวุโสใหญ่ โปรดเคารพตัวเองด้วย!

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ หันกลับไปมองถ้ำของตัวเอง เขารู้สึกว่าตัวเองช่างน่าเวทนานัก หลังจากมาอยู่ที่สำนักธาราโลหิต ถ้ำสถิตก็ถูกทำลายไปแล้วถึงสองครั้ง

“คนที่นี่โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว พูดไม่ถูกหูคำเดียวก็ทำลายถ้ำ” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว จากนั้นก็ถลึงตาดุดันใส่ต้นไม้โลหิตพวกนั้นอีกที

เจ้าต้นไม้โลหิตพวกนี้ไม่มีประโยชน์เลยสักนิดเดียว ครั้งนี้เพราะหวาดกลัวเลยไม่แม้แต่จะเตือนให้เขารู้ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาใส่ พวกต้นไม้โลหิตก็ตัวสั่นเทิ้ม เผยสีหน้าประจบเอาใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สบอารมณ์ เอ่ยเตือนอย่างเหี้ยมโหดหนึ่งครั้ง ข่มขู่ต้นไม้โลหิตพวกนั้นว่าหากยังมีครั้งหน้า เขาจะถอนรากถอนโคนพวกมันออกมาให้หมด หลังจากที่พวกต้นไม้โลหิตรับคำติดๆ กันพร้อมอาการตัวสั่น ป๋ายเสี่ยฉุนถึงได้ยอมเลิกรา

จัดการกับซากปรักหักพังของถ้ำอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งฟ้าสว่างเขาถึงได้ใช้พลังวิญญาณซ่อมแซมที่นี่ไปได้ครึ่งหนึ่ง แล้วก็ใช้เวลาหมดไปอีกหนึ่งวัน ในที่สุดมันก็กลับคืนสู่สภาพปกติ

ตอนที่นั่งทำสมาธิอยู่ในถ้ำ ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญว่าในชั่วระยะเวลาอันสั้นนี้เซวี่ยเหมยน่าจะยังไม่มาหาเรื่อง ส่วนทางฝ่ายของเขา ขอแค่ไม่ลงไปจากเขาก็คงไม่มีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้น

“รอให้ข้าได้วัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญมาครองเมื่อไหร่ ยายเด็กเกเรเซวี่ยเหมยผู้นี้ ข้าจะต้องทำให้นางรู้ถึงความร้ายกาจของข้าให้ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนทำเสียงขึ้นจมูกหนึ่งครั้ง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตนได้ยินความลับมากมายขนาดนั้น เขาก็รู้สึกเป็นกังวลมาก

“คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลอบตัวเอง แต่การปลอบใจนี้ พอสามวันต่อมา หลังจากที่เขาออกไปข้างนอกครั้งหนึ่งก็ได้ยินคนคุยกันว่ามีลูกศิษย์คนหนึ่งถูกผู้อาวุโสใหญ่เรียกตัวไป แล้วก็หาเหตุผลส่งเดชลงโทษเขาอย่างหนัก นั่นจึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเครียดขึ้นมา

เขาจำได้ว่าลูกศิษย์คนนั้นก็คือหนึ่งในกลุ่มคนรอบด้านที่ได้ยินเรื่องลับ

ผ่านไปอีกหนึ่งวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ยินคนพูดกันอีกว่า ลูกศิษย์คนหนึ่งไม่รู้ว่าไปกวนใจเซวี่ยเหมยอย่างไร ตอนเที่ยงวันจึงถูกเซวี่ยเหมยลงโทษจับตัวไปขังอยู่ในคุกโลหิต พอได้ยินอย่างนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็หายใจถี่ระรัว หวาดผวาเข้าไปใหญ่

“จบกันๆ ยายผู้หญิงสองคนนี้เริ่มลงมือแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนรน ยิ่งตั้งใจสืบหาข่าวคราวมากขึ้น และไม่นาน ก็ผ่านไปสิบวัน สิบวันมานี้เขาได้ยินข่าวมากมาย นักพรตบางคนถูกเซวี่ยเหมยจับขังอีกแล้ว นักพรตบางคนถูกผู้อาวุโสใหญ่ส่งตัวไปเป็นสายลับในสนามรบระหว่างสำนักธาราทมิฬและสำนักธาราโอสถ…

และที่ยิ่งฟังดูเกินจริงเข้าไปใหญ่ก็คือมีข่าวหนึ่งบอกว่า นักพรตบางคนได้รับคำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่ให้ไปหาที่พื้นที่นิ้วส่วนบน ตอนที่เข้าพบกลับคิดสังหารผู้อาวุโสใหญ่จึงถูกกำจัดทันที

นั่นต้องเป็นนักพรตที่โง่ขนาดไหนกันถึงจะทำเรื่องแบบนั้นได้…ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ นักพรตที่เกี่ยวข้องด้วยล้วนเป็นคนที่ได้ยินเรื่องลับในวันนั้นทั้งสิ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญแขวน คิดจะหนีอยู่หลายครั้ง ทว่ากลับไม่ยินยอม

“ข้าไม่ได้ตั้งใจฟังเสียหน่อย เฮ้อ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้ม เขาไม่อยากรู้ว่าชาติกำเนิดของเซวี่ยเหมยซุกซ่อนประวัติศาสตร์ลึกลับไว้มากน้อยแค่ไหน…ส่วนเรื่องที่ซ่งจวินหว่านมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับคนมากมายเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่สนใจเข้าไปใหญ่

ยังดีที่ผ่านไปแล้วหลายวัน ดูเหมือนว่าเรื่องพวกนี้จะยุติลงไปแล้ว ไม่ได้ยินว่ามีใครถูกลงโทษอีก ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้พอวางใจลงบ้าง

จนกระทั่งวันนี้ ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังฝึกวิชาอมตะมิวางวาย จิตของเขาพลันกระตุก พอเงยหน้าขึ้น ก็ได้ยินเสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังลอยมาจากนอกถ้ำของเขา

“เย่จั้ง ผู้อาวุโสใหญ่เรียกตัวเจ้า ตามข้าไปด้วยกันสักหน่อย”

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในถ้ำพอได้ยินประโยคนี้ใจก็สั่นขึ้นมาทันที ตกใจจนเกือบสะดุ้งโหยง หน้าเผือดสีในพริบตา รีบเปิดรอยแยกรอยหนึ่งบนประตูใหญ่ มองลอดรอยแยกออกไปข้างนอก

มองเห็นว่านอกต้นไม้โลหิต เบื้องหน้าต้นไม้โลหิตที่กำลังตัวสั่นเหล่านั้น มีผู้เฒ่าสวมชุดคลุมสีเลือดอยู่ผู้หนึ่ง บนชุดของเขามีเส้นลายสีทองประกอบเข้าหากันเป็นรูปภาพ ผู้เฒ่าคนนี้กำลังเอามือไพล่หลัง ตบะบนร่างแผ่ออก สัมผัสถึงคลื่นสร้างฐานรากช่วงท้ายได้รำไร

“ผู้อาวุโสสีเลือด! นี่…หรือว่าจะปิดปากกันจริงๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลมหายใจถี่กระชั้น สวมชุดคลุมสีเลือดเช่นนี้ อาภรณ์ที่ด้านบนมีลายเส้นสีทองประทับเป็นตัวแทนของผู้ที่ตำแหน่งฐานะเป็นรองเพียงผู้อาวุโสใหญ่ อยู่เหนือผู้อาวุโสและผู้พิทักษ์ทุกคน…ผู้อาวุโสสีเลือด!

ผู้อาวุโสสีเลือดของทุกยอดเขาจะมีประมาณสิบคน รับผิดชอบช่วยเหลือผู้อาวุโสใหญ่ดูแลแต่ละยอดเขา

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตาบูดบึ้ง ในสมองเต็มไปด้วยข่าวลือเกี่ยวกับนักพรตมากมายเมื่อครึ่งเดือนก่อนลอยขึ้นมา ยิ่งคิดยิ่งเครียดจนหน้าซีดขาว

“ทำยังไงดี ทำยังไงดี!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังร้อนรน ผู้อาวุโสสีเลือดคนนั้นที่อยู่ด้านนอกเริ่มหงุดหงิด เอ่ยปากอีกครั้ง

“เย่จั้ง ชักช้าอืดอาดทำอะไรอยู่ ภายในสามชั่วลมหายใจ ต้องออกมาทันที!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวด ถ่วงเวลาอยู่อีกครู่หนึ่ง เมื่อคิดวิธีอะไรไม่ออกจริงๆ สุดท้ายจึงกัดฟัน เดินออกมา ผู้อาวุโสสีเลือดคนนั้นถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง ไม่พอใจในความชักช้าของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างยิ่ง แค่นเสียงเย็นหนึ่งทีก็เดินไปทางนิ้วส่วนบน

ป๋ายเสี่ยวฉุนจำต้องเดินตามหลังไป ในสมองเต็มไปด้วยกลยุทธ์รับมือ ท่ามกลางความเครียดกระวนกระวายใจก็มาถึงพื้นที่นิ้วส่วนบน ถูกผู้อาวุโสสีเลือดคนนั้นพามาที่หน้าถ้ำของซ่งจวินหว่าน

นี่เป็นอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่มาก รอบด้านมีกุหลาบพันธ์ไม้เลื้อยสีเลือดขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด เมื่อทอดสายตามองไป ทั้งพื้นที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเข้มข้น ห่างออกไปไม่ไกลมีน้ำตกสีเลือดเก้าชั้น ไหลรินลงมาเบื้องล่าง กลายมาเป็นทะเลสาบสีเลือด บนทะเลสาบยังมีทางเส้นเล็กๆ อีกหนึ่งทางทอดยาวไปยังปลายทางด้านหลังของน้ำตก ซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำมืดลึกแห่งหนึ่ง

ผ่านน้ำตกนี้ไปมองเห็นได้รำไรว่าประตูใหญ่ของถ้ำแห่งนั้นเป็นสีดำ สองข้างมีเด็กรับใช้สี่คน กำลังยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น และในทะเลสาบนั่นก็มีปลาประหลาดตัวใหญ่เท่าคนกระโดดลอยขึ้นมาจากน้ำอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันกับที่ทำให้น้ำแตกกระจาย มันก็ยังเผยคมเขี้ยวดุร้ายรวมไปถึงลำกายที่แผ่นหลังเต็มไปด้วยหนามแหลมให้เห็น

“เข้าไปเถอะ ผู้อาวุโสใหญ่รอเจ้านานแล้ว” ผู้อาวุโสสีเลือดที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน พอเอ่ยปากเนิบนาบจบก็นั่งลงทำสมาธิด้านข้าง

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปรอบด้าน ทั้งตื่นเต้นและเก็บรายละเอียดให้มากที่สุดไปด้วย เขารู้ว่าที่นี่ก็คือเป้าหมายสุดท้ายของตัวเอง วัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญชิ้นนั้นอยู่ใต้ถ้ำด้านหน้านี้

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาวอยู่ในใจ เดินไปบนทางเล็กด้วยความระมัดระวัง หัวใจเต้นรัวแรงราวกับตีกลอง เดินไปทีละก้าวจนไปถึงปลายทาง ลอดผ่านน้ำตกสีเลือดมาถึงด้านหน้าถ้ำ

เด็กรับใช้สี่คนนั่นมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยดวงตาเย็นชาหนึ่งครั้ง ไม่ได้พูดอะไร

ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน ใคร่ครวญว่ายังไงบุรพาจารย์ก็รู้จักตนแล้ว หากซ่งจวินหว่านคิดจะทำอะไรตนก็จำเป็นต้องมีเหตุผลที่มากพอ เพราะตอนนี้ตนไม่ใช่คนเก่า แต่กลายมาเป็นเลือดหวนคืนสู่บรรพบุรุษแล้ว!

ดังนั้นจึงกระแอมแห้งๆ หนึ่งครั้ง ประสานมือคารวะ

“เย่จั้ง ขอเข้าพบพี่หญิงซ่ง”

“เข้ามาสิ” ในถ้ำมีเสียงเกียจคร้านของซ่งจวินหว่านดังลอยมา เสียงนี้ก่อนหน้านั้นป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่ามันไพเราะน่าฟัง ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกเย็นยะเยียบ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาทำได้เพียงฝืนใจผลักประตูใหญ่ของถ้ำ เดินเข้าไป

เพิ่งจะเข้ามากลิ่นหอมเย็นระลอกหนึ่งก็ลอยมาปะทะใบหน้า ถ้ำสถิตแห่งนี้หรูหราอย่างยิ่ง บนเพดานมีไข่มุกประดับมากมาย บนพื้นเป็นสีมรกตแผ่ยาวไร้ที่สิ้นสุด ไม่เพียงแต่มีปราณเลือดเข้มข้น พลังวิญญาณก็ยิ่งแผ่ซ่านไปทั่ว ทำให้พอมองไปด้านหน้าจึงรู้สึกเหมือนอากาศขมุกขมัว

ไม่ต้องพูดถึงห้องหินที่มีมากมาย ในโถงใหญ่ตรงกลางยังมีบ่อน้ำที่แผ่อุณหภูมิร้อนสูง ไอร้อนระเหยขึ้นมา นี่ยิ่งทำให้ในห้องสลัวรางมากกว่าเดิม ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นเรือนร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังแหวกว่ายอยู่ในบ่อน้ำราวกับนางเงือก นางส่ายสะบัดร่างอย่างเชื่องช้า ส่วนเว้าส่วนโค้งเห็นเด่นชัด ลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในน้ำ…แค่มองครั้งเดียว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปากคอแห้งผาก

“นางมารร้าย อย่ามาคิดล่อลวงข้าป๋ายเสี่ยวฉุนให้ยาก ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก นี่ต้องเป็นกับดักอย่างแน่นอน เพียงแค่ข้ามองหลายทีก็จะถูกโยนความผิดมาให้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน ก้มหน้าลงอย่างยากลำบาก ไม่มองไปอีก

“เข้ามาสิ” เสียงของซ่งจวินหว่านดังลอยมาอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก้มหน้าเดินเข้าไปหา ไม่นานก็มาหยุดอยู่ข้างบ่อน้ำ เวลานี้เขาไม่สามารถก้มหน้าได้อีกแล้วจึงถือโอกาสเงยหน้ามองไข่มุกที่อยู่ด้านบนเสียเลย สีหน้าเคร่งขรึม เพียงแต่ว่าตอนที่เหลือบตาขึ้นสายตายังกวาดมองเรือนร่างในบ่อน้ำโดยไม่รู้ตัว ใจของเขาพลันสั่นขึ้นมาทันที ในใจกู่ร้องประณามอย่างบ้าคลั่งว่านางมารร้าย…

ในบ่อน้ำ ซ่งจวินหว่านเห็นท่าทีเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวเราะร่าขึ้นมา ตามด้วยเสียงน้ำที่ดังเข้ามาใกล้ ซ่งจวินหว่านลุกขึ้นยืนในบ่อน้ำ สวมชุดคลุมสีเลือดตัวหนึ่งลงบนร่าง เดินออกมาจากในบ่อ เมื่อมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ก็ใช้นิ้วเรียวยาวราวลำเทียนเชยคางของป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้น

“น้องเย่จั้ง วันนี้เป็นอะไรไป มองเห็นพี่หญิงเหตุใดถึงไม่มองด้วยความหื่นกระหายเหมือนปกติเล่า?” ลมหายใจของนางราวกับกลิ่นของดอกกล้วยไม้ กลิ่นหอมเย็นแผ่กำจายออกมาจากทั่วร่าง โดยเฉพาะยามนี้ที่อยู่ใกล้กันมาก ผิวขาวราวหิมะของนางเผยตัวตน ความยั่วยวนนี้ยากจะอธิบาย มากพอที่จะทำให้คนมองอกสั่นขวัญหายได้

และยังมีดวงตาคู่นั้นของนางที่ราวกับสายน้ำฤดูใบไม้ผลิ แฝงไว้ด้วยความลึกล้ำ ทั้งยังสวยหยาดเยิ้มไร้ที่ติ ราวกับว่าเพียงแค่มองสบตาก็จะลุ่มหลงไปตลอดกาล อดใจไม่ไหวที่จะขุดค้นหาให้ลึกลงไป แล้วจมจ่อมอยู่ในนั้น

ระหว่างที่พูดซ่งจวินหว่านยังเป่าลมร้อนๆ ใส่หูของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย ลมร้อนที่โชยล้อมอยู่ในแก้วหูกลายมาเป็นความเสียวปลาบราวกับจะทะลุทะลวงเข้าไปถึงกระดูก ทำให้จิตวิญญาณเลื่อนลอย

ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มรู้สึกรับไม่ไหว ภายใต้การถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ร่างกายของเขาสั่นเทา ลมหายใจถี่กระชั้น ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ซ่งจวินหว่านที่อยู่ข้างกายเขายามนี้มองดูเหมือนยิ้ม ทว่าในดวงตากลับฉายแววเย็นชาและดูแคลน กำลังจะเอ่ยปากต่อ แต่เวลานี้เอง…

ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันถอยกรูดไปหลายก้าว ไม่เงยหน้าอีก แต่มองประสานสายตากับซ่งจวินหว่าน ดวงตาแดงฉาน สีหน้าบูดเบี้ยวทั้งยังแฝงไว้ด้วยความรวดร้าว

“ผู้อาวุโสใหญ่ โปรดเคารพตัวเองด้วย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยเสียงที่ใกล้เคียงกับการคำรามเบาๆ เมื่อเอ่ยปาก ดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงความผิดหวัง ทั้งยังมากด้วยความขมปร่าและเสียใจ และยังมีความไม่อยากเชื่อรวมอยู่ด้วย สายตานี้ทำให้ซ่งจวินหว่านที่เดิมทีได้ยินประโยคนั้นดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบกลายมาเป็นอึ้งตะลึง

“ผู้อาวุโสใหญ่ ในหัวใจของข้าท่านคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ราวกับจันทร์กระจ่างกลางนภาที่แสนสะอาดบริสุทธิ์ แสนสวยงามไปตลอดกาล ทำให้คนที่มองจากที่ไกลเกิดความเลื่อมใสศรัทธาจากใจจริง” สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนรวดร้าว พึมพำเสียงเบา น้ำเสียงไม่ดังนัก ทว่ากลับสะท้อนไปทั่วถ้ำสถิต

——

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!