บทที่ 253 ร่างสิบผีสิบปีศาจฟ้า!
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนก้าวถอยหลัง วิชาอมตะมิวางวายในร่างพลันระเบิดออก ปราณเลือดที่ดูดรับจากกุญแจโลหิตในร่างเขาแผ่กระจายกลายมาเป็นเสียงดังกึกก้องราวอสนีบาต ขยายตูมตามจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนออกไปยังสี่ทิศ
และเวลานี้เอง เบื้องหลังของเขา เงามายาของผีร้ายเก้าตนพร้อมใจกันร้องคำราม เงาร่างของผีร้ายตนที่สิบก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังสะท้านสะเทือนให้กับพลังกล้ามเนื้อของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เพิ่มพรวดพราด
กุญแจเจ็ดดอกของทะเลทรายร้างสีเลือด ยามนี้หกดอกถูกป๋ายเสี่ยวฉุนดูดซับไปเรียบร้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนยังถึงขนาดสัมผัสได้ถึงคลื่นของกุญแจดอกแรกที่ห่างออกไปไกลด้วยซ้ำ
ราวกับว่าต้องรวมกุญแจทั้งเจ็ดดอกเข้าด้วยกันจึงจะสมบูรณ์แบบ
ไม่มีเวลาให้คิดมาก บัดนี้ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่ระรัว ถอยหลังกรูดว่องไว
ความโกรธแค้นของซ่งเจินยากที่จะพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้ สีหน้าของเขาดุร้าย คำรามเสียงแหบพร่าพร้อมกลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวพุ่งดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อมือขวายกขึ้นทำมุทรา กระบี่ใหญ่ก็ก่อร่างขึ้นเบื้องหลังเขา พอเขาเอื้อมมือไปคว้าจับด้ามกระบี่ไว้ได้ก็ฟันฉับลงไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ห่างไกล
การโจมตีที่แฝงไว้ด้วยความพิโรธนี้รวบรวมตบะสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบทั้งหมดของเขาเอาไว้ ทำให้ตอนที่กระบี่โลหิตเล่มใหญ่นั้นโบกสะบัด มันจึงขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนยาวหลายสิบจั้ง กระบี่ที่ตวัดลงมาหนึ่งครั้ง ความว่างเปล่าบิดเบือน นภากาศมีเสียงระเบิดดังกัมปนาทราวเสียงฟ้าผ่า สี่ทิศแปดด้านมองเห็นแค่เพียงแสงกระบี่โค้งงอที่ตรงเข้าฟาดฟันใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหัวแทบระเบิด ตอนนี้ไม่มีเวลาให้คิดมาก เขาเงยหน้าขึ้น มือทั้งสองทำมุทรา ตบะตลอดร่างถูกกระตุ้น พละกำลังกล้ามเนื้อก่อตัว อีกทั้งมหาสมุทรวิญญาณสามชั้นในร่างกายที่ตกผลึกแล้วก็ยังแผ่คลื่นทรงพลัง เมื่อพวกมันหลอมรวมเข้าด้วยกัน วิชาอมตะมิวางวายก็โคจรอย่างรวดเร็ว รีดเค้นเอาเลือดคงกระพันที่แท้จริงในร่างออกมาหนึ่งเส้น!
เลือดคงกระพันนี้เพิ่งปรากฏตัวก็ขยายขนาดอย่างรวดเร็วทันที ขณะเดียวกันได้กลายร่างออกมาเป็นกระบี่ยักษ์สีเลือดเล่มหนึ่ง เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามแหบต่ำ มือทั้งคู่ของเขาก็จับด้ามกระบี่เอาไว้แน่น ตวัดฉับต้านทานปราณกระบี่สีเลือดที่พุ่งเข้ามาอย่างเหี้ยมหาญพอกัน
ตูมๆๆ!
เสียงเกริกกร้องดังสะท้านฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนกระอักเลือดสด ร่างเซแซ่ดๆ ไปด้านหลัง ทางฝ่ายของซ่งเจินเองก็สั่นเยือกไปทั้งร่างเช่นกัน เลือดลมในร่างซัดโหม ขณะที่กำลังจะไล่ตามไป ป๋ายเสี่ยวฉุนที่คราบเลือดย้อยตรงมุมปาก พลันยกมือขวาขึ้นด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม แล้วชี้ไปยังซ่งเจินที่อยู่ห่างไกล
มหาเวทควบคุมคน!
ในช่วงเวลาคับขัน ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงไม่ได้ร่ายคาถาของสำนักธาราเทพ แต่มหาเวทควบคุมคนนี้เขาสร้างมันขึ้นมาเอง แม้จะมีข้อเสียและช่องโหว่มากมาย ยังไม่สมบูรณ์แบบ ทว่าตอนนี้เมื่อนำมาใช้ก็ยังทำให้ตลอดร่างของซ่งเจินแข็งค้าง ภายใต้เสียงเปรี๊ยะๆ ที่ดังลั่น ภายใต้การปะทะกันของตบะโดยที่เขาไม่รู้ตัว ช่วงเวลาแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจ อาภรณ์ตลอดร่างของเขาพลัน…ขาดกระจุยกระจาย!
เสื้อผ้าทั้งหมดฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พอลมพัดมา ก็เย็นวาบ…
ซ่งเจินอึ้งงัน สีหน้าเลื่อนลอย พอก้มหน้าลงมองก็ต้องเปล่งเสียงคำรามโหยหวนด้วยความเศร้าระทมอย่างถึงที่สุดซึ่งดังไปเกือบครึ่งหนึ่งของทะเลทรายร้างสีเลือด
“เย่จั้ง ข้าจะฆ่าเจ้า!!” ท่ามกลางเสียงแผดร้องนี้ ซ่งเจินรีบเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง นัยน์ตาฉายแววคลุ้มคลั่ง คิดจะไล่ตามไป ทว่าเมื่อถูกถ่วงเวลาเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ระเบิดความเร็วมหาศาลก็ห้อทะยานทิ้งระยะห่างไปไกลนานแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญแขวน หน้าตาบึ้งตึง เขาไม่รู้ว่าทำไมการประลองบุตรโลหิตครั้งนี้ถึงได้เปลี่ยนจุดประสงค์กลายเป็นว่าแทบทุกคนหันมาเล่นงานเขาแทนซะได้
“ชั่วยามสุดท้าย ขอแค่ผ่านชั่วยามนี้ไปได้ทุกอย่างก็ยุติลง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอด ขณะที่กำลังห้อตะบึง อยู่ๆ เขาก็สำลักลมหายใจ สัมผัสได้ว่ากุญแจโลหิตดอกที่หนึ่งซึ่งห่างออกไปไกลยามนี้กำลังเข้ามาใกล้ตนด้วยความรวดเร็ว
“ข้าไม่ได้ต้องการสักหน่อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหัวชาดิก ก่อนหน้านี้กว่าเขาจะล่อทุกคนออกไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ข้างหลังยังมีซ่งเจินไล่ฆ่า ทว่าเจ้ากุญแจดอกที่หนึ่งซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นตัวหายนะกำลังจะพาทุกคนให้มาฆ่าเขา
“ถอยไปนะ อย่าตามข้ามา…” ป๋ายเสี่ยวฉุนน้ำตาคลอ ต่อให้หลังจากที่ดูดซับไปแล้วจะช่วยให้บทมิวางวายโคจรได้เร็วขึ้น ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ต้องการเอาชีวิตน้อยๆ ของตัวเองไปเดิมพัน โดยเฉพาะพอนึกถึงภาพที่ทุกคนมาฆ่าตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งตัวสั่น รีบเปลี่ยนทิศทางหนีห่างกุญแจดอกแรกนั่น
ทว่าขณะที่เขากำลังจะเปลี่ยนทิศทางนั้นเอง อยู่ๆ กุญแจดอกที่หนึ่งก็ระเบิดความเร็วในระดับที่น่าเหลือเชื่อ ป๋ายเสี่ยวฉุนยังถึงขั้นได้ยินเสียงคำรามแผดร้องจากกุญแจดอกแรกที่บินมาหาด้วยซ้ำ
“อย่าเข้ามานะ…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังห้อตะบึงสุดชีวิต และเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป ภายใต้การไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของซ่งเจินที่อยู่ด้านหลัง ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันมองเห็นว่าในทะเลทรายร้างสีเลือดเบื้องหน้า มีลำแสงสีเลือดลำแสงหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาใกล้ด้วยความรวดเร็ว ดูจากทิศทางแล้วคือเป้าหมายจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่
และนั่นก็คือกุญแจสีเลือดดอกหนึ่ง
“ไม่!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร่ำร้องด้วยความเศร้าสลด
นี่ก็คือ…กุญแจโลหิตที่ปรากฏขึ้นเป็นดอกแรกในชั่วยามที่หนึ่ง และด้านหลังกุญแจดอกนี้ก็คือผู้พิทักษ์สิบกว่าคนของสองฝ่ายที่กำลังห้อเหยียดไล่กวดมา
กุญแจดอกนี้เดิมทีผู้พิทักษ์คนหนึ่งของเซวี่ยเหมยได้ไปครอง แต่ด้วยแผนการของป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้ ทำให้หลายคนช่วงชิงกัน ภายใต้เวลาไม่กี่ชั่วยามจึงเปลี่ยนมือมาแล้วหลายคน
เดิมทีครั้งสุดท้ายซ่งเชวียเป็นคนได้มันไป ขณะที่กำลังจะถอยฉาก ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ กุญแจโลหิตดอกนี้กลับแผ่กำลังมหาศาลออกมาจนบินหลุดออกไปจากมือเขา กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวและบินจากไปไกลด้วยตัวเอง
ภาพนี้ทำให้ผู้พิทักษ์ทั้งสองฝ่ายที่กำลังแก่งแย่งกันล้วนอึ้งตะลึง ไม่มีเวลาให้คิดมาก คนหลายสิบคนจึงบินไล่กวดกุญแจดอกนี้มาพร้อมกัน
ขณะที่กำลังไล่ตามมาอยู่นั้น พวกเขาเองก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน มองเห็นซ่งเจินที่โกรธเกรี้ยวซึ่งกำลังไล่ตามมาด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุน และยิ่งมองเห็นว่ากุญแจโลหิตดอกนั้นอยู่ๆ ก็ระเบิดความเร็วพรวดพราดแล้วตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน พริบตาเดียวก็เข้าไปใกล้และหลอมรวมเข้าไปในหว่างคิ้วของเขาโดยที่ไม่มีการหยุดพักแม้แต่นิด
“เย่จั้ง!!” ซ่งเชวียตาแดงก่ำไปหมด แผดเสียงร้องด้วยความทุกข์ระทม
“เย่จั้ง อย่านะ…”
“สมควรตายเอ๊ย เย่จั้ง เจ้าๆๆ…”
ผู้พิทักษ์ข้างกายเขาแต่ละคนเป็นบ้ากันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้พิทักษ์ของเซวี่ยเหมยหรือผู้พิทักษ์ของซ่งจวินหว่าน สองฝ่ายที่ก่อนหน้านี้ยังเข่นฆ่ากันเอง บัดนี้ทุกคนตาแดงฉาน ปลดปล่อยปราณอำมหิตสะท้านฟ้าเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นระริก อยากจะร้องแต่ร้องไม่ออก เขารู้สึกว่าการประลองบุตรโลหิตแปรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
อันที่จริงไม่เพียงเขาเท่านั้นที่รู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ซ่งจวินหว่านและเซวี่ยเหมยนั้นมีความรู้สึกแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แม้ว่าพวกนางสองคนจะยังคงโรมรันกันอยู่กลางอากาศ ทว่าในใจกลับรู้สึกถึงความเหลวไหลมากมาย พวกนางเองก็สังเกตเห็นเรื่องที่กุญแจดอกสุดท้ายถูกป๋ายเสี่ยวฉุนสูบไป บัดนี้ในใจเคว้งคว้าง คนทั้งสองหยุดการต่อสู้อย่างรวดเร็ว บินทะยานไปยังจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่
“นี่มันไม่ใช่ประลองบุตรโลหิตแล้ว นี่มันการประลองเพื่อฆ่าข้าชัดๆ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนรน กัดฟันโกยแนบ กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังเขาคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเขาเสียอีก
ความหวังสุดท้ายลอยอยู่เบื้องหน้า ทว่าพวกเขากลับต้องมาเห็นกับตาตัวเองว่าความหวังนั้นหายเข้าไปในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ตอนนี้กุญแจทุกดอกในทะเลทรายร้างสีเลือดหายไปหมดแล้ว…
ผู้พิทักษ์ทุกคน ตามหลักแล้วจะไม่มีใครได้ถูกส่งเข้าไปในเส้นทางดึกดำบรรพ์สีเลือดสักคน นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวที่สุด ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ…พวกเขากังวลว่านี่จะหมายความว่าทั้งสองกลุ่มล้วนพ่ายแพ้
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากที่ชั่วยามที่เจ็ดผ่านพ้นไป พวกเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกกำจัดหรือไม่…
และตัวการหายนะของทุกสิ่งทุกอย่าง…ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน!
บัดนี้ความเกลียดที่พวกเขามีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในระดับยากเกินบรรยายแล้ว คนไม่น้อยถึงขั้นสติวิปลาสคิดจะสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยมือของตัวเองก่อนหน้าที่จะถูกกำจัดให้ได้
บัดนี้ จะสำนักอะไร อนาคตอะไร ความรับผิดชอบอะไรก็คล้ายกับถูกโยนทิ้งไปหมดแล้ว จิตสังหารระเบิดออกอย่างกำเริบเสิบสาน เมื่อเสียงโครมครามดังสะท้อน นักพรตที่มีของวิเศษล้ำค่าสองสามคนถึงขนาดร่ายใช้ของวิเศษอย่างเต็มกำลัง เวทคาถาห้าแสงสิบสี วิชาอภินิหารดังสะเทือนเลือนลั่นปฐพี ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนถูกปลดปล่อยใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างบ้าคลั่ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับกระต่ายที่ถูกเหยียบหาง วิ่งกระโดดขึ้นๆ ลงๆ บินทะยานไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องท่ามกลางการไล่ฆ่าของทุกคน จนทุกคนที่ไล่กวดมาด้านหลังล้วนเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง เหมือนว่า…เย่จั้งดูจะคุ้นชินกับการถูกไล่ฆ่าเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่เพิ่มความเร็วในการหนีจะต้องหลบหลีกเวทคาถามากมายได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ แถมยังใช้พลังปะทะระหว่างเวทคาถาด้วยกันทำให้ความเร็วของตัวเองเพิ่มขึ้นไปอีกด้วย
ป๋ายเสี่ยวฉุนปลงอนิจจัง ที่เขาคุ้นเคยขนาดนี้ก็เป็นเพราะตั้งแต่อยู่สำนักธาราเทพ ทุกครั้งหลังจากก่อเรื่องก็จะต้องเผชิญกับเรื่องทำนองนี้ทุกครั้ง จากแรกเริ่มที่รู้สึกขมขื่น มาวันนี้เขากลายเป็นผู้ชำนาญ มีความสามารถในด้านที่ว่าควรจะหลบหนีอย่างไรเมื่อถูกคนมากมายไล่ฆ่า…
โดยเฉพาะเวลานี้ที่ในร่างกายเขามีเสียงดังก้องต่อเนื่อง การโคจรของวิชาอมตะมิวางกำลังดูดซับเอาปราณเลือดจากกุญแจดอกสุดท้าย เหนือศีรษะของเขา เงาร่างของผีร้ายตัวที่สิบก่อรูปร่างเข้าหากันเร็วมากขึ้น และเริ่มชัดเจนขึ้นทุกขณะ
จากการที่รูปร่างของมันเริ่มเด่นชัด ปราณของเขาเองก็ยิ่งแข็งแกร่ง เวลาเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป ภายใต้การไล่ฆ่าอย่างบ้าคลั่งจากทุกคนที่อยู่ด้านหลัง ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันชะงักฝีเท้า บัดนี้ในร่างของเขามีเสียงฟ้าผ่าดังลอยออกมา!
เมื่อเสียงฟ้าผ่านี้ดังก้อง เงาร่างของผีร้ายตนที่สิบ…ก่อตัวขึ้นสมบูรณ์แบบ เผยตัวสำเร็จ!
และวินาทีที่มันปรากฏขึ้น ผีร้ายสิบตนพร้อมใจกันร้องคำราม ทุกตนเดินออกมาหนึ่งก้าวแล้วซ้อนทับเข้าเป็นร่างเดียวกันกลางอากาศ…
“ร่างสิบผีสิบปีศาจฟ้า!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนโชนแสงแปลกประหลาด ขณะที่กำลังพึมพำเสียงเบา พลังอำนาจสะเทือนฟ้าดินระลอกหนึ่งก็ระเบิดตูมออกมาจากบนร่างของเขา!