บทที่ 400 เชวียเอ๋อร์ เจ้าเองรึ
ตรงทางเข้าซากโบราณสถานมีเศษหินกระจัดกระจายอยู่หลายก้อน ไม่เหมือนกับทะเลทรายที่อยู่รอบด้าน หากมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าในเศษหินเหล่านั้นคล้ายมีประตูบานใหญ่ผุพังอยู่บานหนึ่ง
เดินผ่านประตูนี้ก็จะได้เข้าไปในวังใต้ดิน
ด้านข้างของนอกประตูใหญ่บานนั้นก็คือที่ตั้งโรงเตี๊ยมพรรคมังกรเขียว ในศาลาพักร้อนขนาดใหญ่ยักษ์หลายสิบแห่งเวลานี้มีนักพรตมากมายเดินกันขวักไขว่
บางคนกำลังคำนวณผลเก็บเกี่ยว บางคนหลังจากที่ซื้อชาวิเศษแล้วก็ห้อดิ่งไปยังซากโบราณสถาน เพราะยังไงซะกฏของที่นี่ก็ไม่เหมือนกับพรรคท้องฟ้าเท่าไหร่นัก แม้ว่าจะเก็บแค่กำไรส่วนเดียว แต่ตอนที่เข้าไปยังจำเป็นต้องจ่ายคะแนนคุณความดีสิบคะแนนเพื่อซื้อชาวิเศษหนึ่งถ้วยด้วย
แม้จะเป็นเช่นนี้ทว่าเมื่อเทียบกับพรรคท้องฟ้าแล้วก็ยังถือว่ามีน้ำใจกว่ามากนัก ดังนั้นนักพรตของนครฟ้าจึงไม่มีใครคิดขับไล่ไสส่ง ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือเดิมทีการมีที่ดินส่วนตัวในครอบครองก็ถือเป็นพลานุภาพสยบอย่างหนึ่งอยู่แล้ว
และข่าวลือมากมายที่เกี่ยวกับผู้นำพรรคมังกรเขียวก็ทำให้ในใจคนไม่น้อยเกิดความเคารพยำเพรง ไม่กล้าล่วงเกิน
เวลานี้ขณะที่คนในศาลาพักร้อนหลายสิบแห่งกำลังยุ่งวุ่นวาย ซ่งเชวียเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าเย็นชา ปราณดุร้ายอบอวลไปทั่วทั้งร่าง นี่คือความเคยชินที่เกิดจากการออกไปอยู่ข้างนอกตลอดหนึ่งปีมานี้ของเขา เวลาใดก็ตามที่ตนทำท่าทางเช่นนี้ เรื่องราวมากมายก็มักจะจัดการได้ง่ายขึ้น
เขาไม่คิดจะเข้าไปในศาลาพักร้อน แต่เตรียมจะเข้าไปตรวจสอบในซากโบราณสถานดูเสียหน่อย ทว่าเพิ่งจะเข้ามาใกล้และกำลังจะเดินอ้อมผ่านศาลากลับมีนักพรตคนหนึ่งของพรรคมังกรเขียวเดินมาดักหน้าเอาไว้
“สหายนักพรตท่านนี้ โปรดซื้อชาวิเศษหนึ่งถ้วยก่อนเถิด” นักพรตพรรคมังกรเขียวคนนี้คือชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเขากำลังประสานมือคารวะพร้อมรอยยิ้มและเอ่ยด้วยถ้อยคำสุภาพ เรื่องนี้เฉินม่านเหยาเป็นผู้ออกกฏเองว่านักพรตทุกคนของพรรคมังกรเขียวต้องมีมารยาทกับนักพรตที่เดินทางไปมา
เพราะยังไงซะการที่พวกเขาครอบครองที่แห่งนี้ก็ทำให้คนอื่นอิจฉาตาร้อนมากพออยู่แล้ว ต่อให้จะลดผลกำไรลงมา ทว่าก็ยังจำเป็นต้องมีมารยาทต่อกัน และแน่นอนว่าหากพบเจอเรื่องขัดหูขัดตา พรรคมังกรเขียวก็จะทำให้พวกเขารู้ว่าไม่ใช่ใครหน้าไหนก็มาสร้างเรื่องก่อราวที่นี่ได้!
“ซื้อชาวิเศษอะไร?” ซ่งเชวียอึ้งงัน รู้สึกไม่สบอารมณ์ทันที แต่พอนึกถึงอิทธิพลของพรรคท้องฟ้าจึงข่มกลั้นเอาไว้ ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง สะบัดป้ายคำสั่งของพรรคท้องฟ้าให้อีกฝ่ายดู
“เห็นหรือยัง ข้ามีป้ายคำสั่ง!” เขาพูดนี้ของเขาดังออกมา คนที่เดินไปเดินมาอยู่รอบด้านได้ยินจึงพากันหันมามองด้วยสีหน้าเหยเก
ชายหนุ่มของพรรคมังกรเขียวที่ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มให้ ไม่ได้ถือสา หลังจากที่พรรคมังกรเขียวของพวกเขาครอบครองที่นี่ นักพรตที่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งกลับมาจากข้างนอกและยังไม่รู้สถานการณ์อย่างคนตรงหน้านี้พวกเขาพบเจออยู่บ่อยครั้ง เวลานี้จึงประสานมือคารวะด้วยรอยยิ้มแล้วอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ขออภัยด้วยสหายนักพรต ป้ายคำสั่งนี้เป็นของพรรคท้องฟ้า ทว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่ของพรรคท้องฟ้าอีกต่อไป แต่เป็นของพรรคมังกรเขียวเรา กฎกติกาจึงเปลี่ยนไปแล้ว” หลังจากที่ชายหนุ่มยกกฏกติกาขึ้นมาพูดอย่างไม่มีเบื่อหน่ายครบหนึ่งรอบ หน้าของซ่งเชวียก็ค่อยๆ เปลี่ยนสี อีกทั้งสายตาของเขายังเผยความสับสนออกมาด้วย
ป้ายคำสั่งนี้เขาต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเพื่อซื้อมันมา ประโยชน์ของมันก็เพื่อให้พรรคท้องฟ้ายกเว้นการเก็บผลกำไรสามส่วนได้หลายครั้ง แต่พอมาได้ยินว่าป้ายคำสั่งนี้ไร้ผล ซ่งเชวียก็อึ้งงันไปทันที
“จะเป็นไปได้อย่างไร พรรคท้องฟ้ายิ่งใหญ่ขนาดนั้น พวกเจ้า…ที่นี่…” ลมหายใจซ่งเชวียถี่กระชั้น ร้อนใจอย่างมาก หากป้ายนี้ไร้ผล ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะเสียหายอย่างใหญ่หลวง หรืออาจส่งผลกระทบต่อการเลื่อนขั้นเป็นลูกศิษย์ชุดเหลืองของเขาในครั้งนี้ด้วย
“พวกเจ้าจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ ข้าจ่ายค่าตอบแทนซื้อป้ายคำสั่งนี่ไปตั้งมาก!!” ซ่งเชวียร้อนใจ ปราณดุร้ายตลอดทั้งร่างระเบิดตูม เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนใจเย็นอะไรอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้ร้อนรน คำพูดคำจาจึงเริ่มดุดัน
นักพรตที่อยู่รอบด้านพากันหลีกห่าง มีคนไม่น้อยแสดงท่าทีเหมือนรอดูเรื่องสนุก และยังมีนักพรตของพรรคท้องฟ้าที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนซึ่งพอเห็นว่าเกิดเรื่องแบบนี้จึงส่งเสียงเอะอะกันขึ้นมาทันที
“พรรคมังกรเขียวต้องมีคำอธิบายให้กับพวกเรา!”
“ถูกต้อง ป้ายคำสั่งของข้าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเช่นกัน อยู่ๆ จะมาพูดว่าไร้ผลก็ไร้ผลแบบนี้ได้อย่างไร!”
เห็นว่าเรื่องเริ่มลุกลาม สีหน้าของชายหนุ่มพรรคมังกรเขียวจึงมืดทะมึนแล้วแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง
“ไสหัวออกไป หากยังระรานไม่เลิกก็อย่ามาโทษว่าพรรคมังกรเขียวของข้าไม่เกรงใจ!”
หนึ่งปีมานี้ซ่งเชวียเผชิญกับความเป็นความตายมาหลายครั้ง จิตสังหารของเขาแค่แตะก็ระเบิดออก
เวลานี้ดวงตาจึงเผยประกายเย็นเยียบ ตบะเสมือนโอสถแผ่กระจายก่อกลายมาเป็นพายุลูกหนึ่งที่หมุนคว้างไปรอบด้าน นัยน์ตาของเขาลุกเรืองเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
ชายหนุ่มพรรคมังกรเขียวหน้าเปลี่ยนสี เสียงเอะอะของที่นี่พลันดังเซ็งแซ่เข้าไปอีก สถานการณ์เริ่มจะบานปลายใหญ่โต ทว่าทันใดนั้นก็มีน้ำเสียงแปลกใจดังลอยมาจากจุดที่ห่างไปไม่ไกล
“ซ่งเชวีย?” เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ร่างของเสินซ่วนจื่อและสวีเป่าไฉสองคนก็เดินออกมา หลังจากที่พวกเขาเห็นซ่งเชวียต่างก็อึ้งงันไปทันที
ซ่งเชวียเดิมทีปราณดุร้ายบนร่างกำลังเดือดพล่าน พอมองเห็นเสินซ่วนจื่อและสวีเป่าไฉก็ตะลึงไปครู่ โดยเฉพาะเห็นว่าใบหน้าของคนทั้งสองแดงปลั่ง อีกทั้งพอเห็นว่านักพรตของพรรคมังกรเขียวที่อยู่รอบด้านรวมถึงชายหนุ่มคนที่ตวาดใส่ตนเมื่อครู่นี้ต่างก็แสดงท่าทีพินอบพิเทาต่อเสินซ่วนจื่อสองคนอย่างมาก ซ่งเชวียก็ยิ่งเบิกตากว้าง
“พวกเจ้า…” ซ่งเชวียรู้สึกว่าเรื่องนี้ทะแม่งๆ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะตั้งตัวได้ทัน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังจัดระเบียบอาภรณ์ตัวเองอยู่ในห้องก็ได้ยินเสียงเอะอะจากด้านนอกเช่นกัน จึงกวาดพลังจิตมองหนึ่งครั้ง พอเห็นซ่งเชวีย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กะพริบตาปริบๆ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มแล้วเดินดิ่งออกมาทันที
การปรากฏตัวของเขาทำให้นักพรตพรรคมังกรเขียวทุกคนที่อยู่ในร้านน้ำชาต่างก็มีสีหน้ากระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่ง รีบคุกเข่าคำนับด้วยความเคารพ
“คารวะท่านผู้นำ!”
การคำนับของคนนับร้อยใช้สถานที่ไม่ใช่น้อยๆ จึงก่อให้เกิดเสียงฮือฮาตามมาทันที เมื่อนักพรตของสถานที่แห่งนี้เห็นชัดแล้วว่าคนที่เดินออกมาคือป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ละคนจึงสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ก้มหน้าก้มตารีบประสานมือคารวะอย่างรวดเร็ว
“คารวะท่านผู้นำพรรคมังกรเขียว!”
เสียงเช่นนี้ทยอยกันดังออกมา ไม่นานทุกคนที่อยู่ในศาลาหลายสิบแห่งต่างก็ทำแบบเดียวกัน ซ่งเชวียมองอึ้งไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังเดินมา ในสมองเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น งุนงงอย่างสมบูรณ์แบบ
“เชวียเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็มาสักที!” ใบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความเอ็นดูสงสาร เดินเร็วๆ เข้าหาหลายก้าวแล้วตะโกนเสียงดัง
“เชวียเอ๋อร์ ทำไมสภาพเจ้าถึงน่าเวทนาถึงเพียงนี้ ข้านึกว่าตัวข้าน่าเวทนามากพอแล้วนะ ไม่นึกว่าเจ้าจะน่าเวทนายิ่งกว่าข้าเสียอีก”
พอเขาพูดแบบนี้ ทุกคนที่อยู่รอบด้านจึงสูดลมหายใจเข้าลึกฉับพลัน หันมามองซ่งเชวียอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งยังมีคนไม่น้อยแสดงความอิจฉาออกมา ยามนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าผู้นำของพรรคมังกรเขียวและนักพรตที่ชื่อว่าเชวียเอ๋อร์ผู้นี้ต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกันแน่นอน
อีกทั้งดูจากการเรียกชื่อแล้วก็ดูเหมือนว่า…เชวียเอ๋อร์ผู้นี้คือเด็กรุ่นหลังของผู้นำพรรคมังกรเขียว
ใบหน้าซ่งเชวียซีดขาว ในสมองมีคลื่นยักษ์ถาโถม ยื่นทื่อราวกับคนโง่ รู้สึกเพียงว่าโลกใบนี้พลิกคว่ำคะมำหงาย เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่เบื้องหน้า แสงแพรวพราวจากเพชรนิลจินดานั้น หยกประดับกายจำนวนนับไม่ถ้วนที่ห้อยแขวนอยู่เต็มร่างนั้น ลำพังเพียงแค่เครื่องประดับเหล่านี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาลองคำนวณดูคราวๆ อย่างน้อยก็ต้องมีคะแนนคุณความดีนับล้านคะแนน
โดยเฉพาะด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุนยังมีกลุ่มของหุ่นเชิดหญิงรับใช้สิบกว่าตนติดตามมา แถมสาวใช้ทุกตนยังจูงสัตว์วิเศษแตกต่างกันออกไป รวมๆ กันแล้วก็น่าจะหลายล้านคะแนนคุณความดี
ส่วนเขาต้องลำบากลำบนมาตลอดทั้งปี ประหยัดกินประหยัดใช้ เกือบเอาชีวิตไม่รอด ทว่าก็ยังขาดคะแนนคุณความดีอีกส่วนหนึ่งถึงจะได้เป็นลูกศิษย์ชุดเหลือง เมื่อเอามาเปรียบเทียบกัน ทั้งร่างกายและจิตใจของเขาจึงใกล้จะแตกสลายเต็มที
“เจ้า…เจ้า…ผู้นำ…พรรคมังกรเขียว?” เบื้องหน้าของซ่งเชวียพร่าเลือนเล็กน้อย เขารู้สึกว่าทุกอย่างนี้เหลือเชื่อเกินไป ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็ไม่อาจทำใจให้เชื่อได้
เวลาเดียวกันนั้น จางต้าพั่งและเฉินม่านเหยาก็เดินออกมาด้วย หลังจากมองเห็นซ่งเชวีย พวกเขาก็มองตากันหนึ่งครั้ง ขณะที่พวกเขากำลังมองซ่งเชวีย สายตาของซ่งเชวียก็ย้ายไปจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างยากลำบากเพื่อมองมายังคนอื่นๆ ซึ่งแต่ละคนดูร่ำรวยสูงศักดิ์ไม่ด้อยไปกว่ากัน นั่นยิ่งทำให้ซ่งเชวียรู้สึกกระสับกระส่าย
“พวกเจ้า…”
สวีเป่าไฉที่อยู่ข้างๆ ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง มองซ่งเชวียด้วยสายตาสงสารและเห็นใจ
“ซ่งเชวีย ที่นี่เป็นของพวกเราแล้ว บุรพาจารย์น้อยเป็นคนก่อตั้งพรรคมังกรเขียวขึ้นมา โรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็เป็นของพวกเรา สถานที่แห่งนี้ก็เป็นที่ดินส่วนตัวของบุรพาจารย์น้อย ป้ายคำสั่งของเจ้าใช้ไม่ได้แล้วจริงๆ แต่เจ้าคือหลานของบุรพาจารย์น้อย พวกเราเป็นคนกันเองทั้งนั้น ป้ายคำสั่งไม่คำสั่งอะไรนั่นเจ้าโยนทิ้งไปเถอะ…นับแต่นี้ไป เจ้าสามารถเข้าออกสถานที่แห่งนี้ได้ตามใจชอบ ใช่ไหมขอรับบุรพาจารย์น้อย?” สวีเป่าไฉถอนหายใจหนึ่งครั้ง หันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเคร่งขรึม ตบไหล่ซ่งเชวียที่ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้น วางมาดของผู้อาวุโส พยักหน้าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงของคนเป็นผู้ใหญ่
“เชวียเอ๋อร์ ตอนที่ข้ามา อาหญิงน้อยของเจ้าก็ฝากฝังเจ้าไว้กับข้า ในฐานะที่ข้าเป็นผู้อาวุโสก็สมควรต้องรับผิดชอบเจ้า แม้ว่าตอนนั้นเจ้าจะทิ้งข้าไปอย่างไร้เยื่อใย ทว่าอาเขยเป็นคนใจกว้างมากพอ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าไปที่ซากโบราณสถานนั้นอันตรายเกินไป อาเขยไม่สามารถทนมองเจ้าไปเสี่ยงภัยได้
เจ้ายังขาดคะแนนคุณความดีอีกเท่าไหร่ล่ะ มานั่งคุยเป็นเพื่อนอาเขยสิ เดี๋ยวอาเขยจะช่วยออกให้เจ้าเอง อยากเป็นลูกศิษย์ชุดเหลือง อาเขยอย่างข้าพูดคำเดียวเจ้าก็เป็นได้แล้ว”
ประโยคนี้ดังออกมา รอบด้านก็มีสายตากระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่งและเสียงสูดลมหายใจจากคนจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นทันที สำหรับนักพรตที่อยู่ที่นี่ การได้เป็นลูกศิษย์ชุดเหลืองคือความฝันสูงสุดในชีวิตของพวกเขา ทว่าตอนนี้…กลับได้เห็นกับตาและได้ยินกับหูว่าโอกาสอันดีแบบนี้ได้ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนนำมามอบให้ซ่งเชวีย สายตาที่คนเหล่านี้มองซ่งเชวียจึงฉายความอิจฉาริษยาเด่นชัด
ทว่าซ่งเชวียเป็นคนหยิ่งทระนงในตัวเอง พอประโยคนี้ดังเข้าหู สมองเขาก็เกิดเสียงดังอื้ออึงทันใด ไม่พูดถึงคำว่าอาเขยที่อีกฝ่ายพูดคล่องปาก แล้วก็ไม่พูดถึงคำเรียกขานตนว่าเชวียเอ๋อร์ ลำพังเพียงแค่ความแตกต่างที่รุนแรงระหว่างคนทั้งสองประหนึ่งฟ้ากับเหวเช่นนี้ก็มากพอจะทำให้ธาตุไฟในใจของเขาพุ่งโจมตีสมอง กระอักเลือดสดออกมาหนึ่งคำ โกรธจนหมดสติไปทันที