Skip to content

A Will Eternal 413

บทที่ 413 สำนักช่างดีกับข้ายิ่งนัก

“หึ อาจารย์เจ้าแล้วอย่างไร ครั้งนี้หากข้าไม่ฆ่าเจ้า ปล่อยให้คนน่ารังเกียจเช่นเจ้าเติบโตขึ้นแล้วกลับมาแก้แค้นข้าน่ะหรือ ต่อให้เอาชนะข้าไม่ได้ แล้วถ้าเจ้าไปแก้แค้นพวกเพื่อนๆ ของข้าแทนล่ะจะทำยังไง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน คราวนี้เขารู้สึก

สะอิดสะเอียนอย่างแท้จริง หลังจากพึมพำไม่กี่ประโยคจบ อยู่ๆ เจ้าเต่าน้อยก็โผล่หัวออกมาจากในถุงเก็บของของเขา

“จากประสบการณ์ของนายท่านเต่าเมื่อครั้งอดีต เวลาเจ้าพวกคนที่มีภูมิหลังตะโกนออกมาแบบนี้ก่อนตาย ภูมิหลังของพวกเขามักจะปรากฏตัวเสมอ…” เจ้าเต่าน้อยโคลงศีรษะ ขณะที่มันเอ่ยปากด้วยความภาคภูมิใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หนังหัวชาหนึบ แผดเสียงใส่

“หุบปาก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย มองไปรอบด้านด้วยความระแวง จิตใจไม่เป็นสุข ขณะที่กำลังจะจากไป แต่เวลานี้เอง ทันใดนั้น…ห่างออกไปไกลก็มีเสียงคำรามเดือดดาลเกินเสียงฟ้าผ่าดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่ว

“ใครฆ่าศิษย์รักของข้า!!” เสียงนี้ดังมากจนก่อให้เกิดพายุหมุนคว้าง ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี เมฆและลมพัดตลบ แม้แต่ต้นไม้ในผืนป่าด้านล่างก็ยังส่ายไหวอย่างรุนแรง

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสีทันใด ร้องคร่ำครวญขึ้นมา

“เพราะเจ้าคนเดียวเลย ปากพาซวยอะไรอย่างนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตาบึ้งตึง ลำพังเพียงแค่เสียงพูดก็ยังน่ากลัวขนาดนี้ พอจะจินตนาการได้เลยว่าผู้ที่แผดเสียงคำรามนี้ต้องไม่ใช่รวมโอสถแน่นอน มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นก่อกำเนิด

พอนึกถึงว่าอีกฝ่ายคือนักพรตก่อกำเนิด รูขุมขนของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตั้งชันไปทั้งร่าง ขยายความเร็วโกยแนบสุดชีวิตพร้อมร้องโหยหวน มุ่งหน้าตรงดิ่งไปยังทิศทางที่ตั้งของค่ายกลนำส่ง

“ไม่เห็นหัวข้าผู้อาวุโสตี้ซา บังอาจมาสังหารศิษย์รักของข้าถึงหน้าถ้ำข้า เจ้ารนหาที่ตาย!!” ขณะที่เสียงคำรามซึ่งเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้นนั้นดังออกมาอีกครั้ง ระยะห่างก็ขยับเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนหันกลับไปมองหนึ่งครั้งก็เห็นทันทีว่าระหว่างฟ้าดินในจุดที่ห่างไปไกล มีก้อนเมฆสีดำขนาดหลายพันจั้งผืนหนึ่งกำลังคำรามอู้เข้ามาใกล้ด้วยพลานุภาพที่ทรงพลังยิ่งใหญ่ ท่ามกลางเมฆสีดำนั้นเต็มไปด้วยวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วน วิญญาณเหล่านี้ต่างก็ร้องคำรามเสียงแหบโหย ทั้งยังกัดทึ้งกันเอง มองดูแล้วน่าสยดสยองอย่างมาก

บนเมฆดำก้อนนั้นมีผู้เฒ่าสวมชุดสีดำคนหนึ่งยืนอยู่ ซึ่งก็คืออาจารย์ของจั่วเหิงเฟิง ตี้ซาเหล่าไกว้ เขาเอามือไพล่หลัง ดวงตาคมกริบดุจสายฟ้า สีหน้ามืดทะมึน นัยน์ตาแค้นเคือง ป๋ายเสี่ยวฉุนห่างจากเขานับพันจั้ง ทว่าวินาทีที่ประสานสายตากัน ในสมองของเขาก็ยังคงเกิดเสียงดังอึงอล ตบะในร่างสั่นคลอนไม่มั่นคง

“ก่อกำเนิดจริงๆ ด้วย!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหวีดร้องเสียงแหลม เวลานี้น้ำตาของเขาใกล้จะหยดลงมาเต็มทีแล้ว พอนึกถึงความหมายในคำพูดเมื่อครู่นี้ของอีกฝ่ายที่บอกว่าตนฆ่าศิษย์รักของเขาที่หน้าถ้ำเขาเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกเหมือนได้รับความอยุติธรรม

“ข้าจะไปแล้วแท้ๆ เขามาหาเรื่องข้าเองนะ…”

“แล้วก็สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราอีก ภารกิจที่ให้ข้าบอกแค่ว่าสังหารสร้างฐานรากช่วงท้าย แต่ดันไม่บอกข้าว่าเจ้าคนทุเรศนั่นมีอาจารย์เป็นก่อกำเนิด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยังคับแค้นใจ เวลานี้ร่ายใช้วิชาอมตะมิวางวาย แม้แต่ไอความเย็นก็ยังแผ่ออกมาด้วย ใช้การหายตัวมาหนีอีกฝ่าย ทว่าไม่นานก็ถูกเมฆดำที่กลิ้งซัดสาดด้านหลังนั่นตามมาทัน

“ตายซะเถอะ!!” เสียงคำรามคลุ้มคลั่งดังมาจากเหนือหัวของป๋ายเสี่ยวฉุน ท่ามกลางเมฆดำที่ปกคลุม มือใหญ่ขนาดพอร้อยจั้งข้างหนึ่งลอดทะลุออกมาจากในเมฆดำ ตรงดิ่งเข้ากดทับป๋ายเสี่ยวฉุน

อานุภาพเกรียงไกร พลานุภาพสยบน่าครั่นคร้าม ทั้งยังมีพลังแห่งการปิดผนึกกักกันไปรอบด้าน ทำให้พื้นแผ่นดินสั่นไหว พืชหญ้าแห้งเหี่ยวโรยราทันใด อีกทั้งพลังแห่งชีวิตในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนยังถูกดึงออกไปอย่างมิอาจควบคุมได้ด้วย

มองเห็นว่ามือใหญ่นี้กำลังจะร่วงลงมา วิกฤตคับขัน ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงกรีดร้องเสียงแหลมหนึ่งครั้ง รีบกระตุ้นภาพเก้าเกาะออกมาทันที ภาพเก้าเกาะนี้ปกคลุมไปทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนในชั่วพริบตา มันม้วนตลบร่างของเขาแล้วแผ่พลังนำส่งที่คล้ายคลึงกับการย้ายที่ออกมา

ชั่วขณะที่มือใหญ่ร่วงลง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หายวับไป มาปรากฏอีกครั้งในจุดที่ห่างไปหลายสิบลี้ ใบหน้าเขาซีดขาว ไม่มีเวลาหันกลับไปมอง ได้แต่ขยายความเร็วห้อตะบึงเผ่นหนีไปอีกครั้ง

“เจ้าหนีไม่พ้นหรอก รอข้าผู้อาวุโสจับตัวเจ้าได้เมื่อไหร่ ข้าจะเถือหนังเจ้าออกมา โยนร่างเจ้าแช่ในบ่อน้ำมันทิ้งไว้ทั้งคืน ก่อนจะจับเจ้ามัดโยงกับเสาแล้วจุดไฟเผาตั้งแต่เท้าเจ้าขึ้นมา!” ด้านหลังของเขา เมฆดำที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตี้ซาเหล่าไกว้ตามมาอีกครั้ง พริบตาเดียวก็พุ่งเข้ามาปกคลุมเบื้องบนป๋ายเสี่ยวฉุน บดบังแสงอาทิตย์เอาไว้ มือขวาของตี้ซาเหล่าไกว้ทำมุทราแล้วชี้ลงมาข้างล่าง

ทันใดนั้นแผ่นดินก็สั่นสะเทือน และพืชหญ้าทั้งหมดที่อยู่ในรัศมีพันจั้งรอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ล้วนแห้งเหี่ยวไปหมด กลายเป็นไอสีดำที่ระเหยขึ้นฟ้า พริบตาเดียวก็ก่อตัวกันเป็นวงกลมกว้างพอพันจั้ง คล้ายตราผนึกอย่างหนึ่งที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจพุ่งออกไปจากพื้นที่แห่งนี้ได้

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง มือใหญ่สีดำข้างนั้นก็เคลื่อนครั่นครืนลงมาจากในชั้นเมฆตรงดิ่งเข้าหาเขาเป็นครั้งที่สอง ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องโหยหวนหนึ่งที แล้วร่ายใช้ภาพเก้าเกาะอีกครั้ง

พริบตาเดียวก็หายวับไป ทว่ากลับไม่ได้มาปรากฏตัวอยู่นอกรัศมีพันจั้งนั้น เพราะกำแพงแห่งหนึ่งที่เกิดจากไอดำซึ่งอยู่ในรัศมีพันจั้งเปล่งแสงวาบ ร่างของเขาจึงถูกตัดขาดการหายตัว ยังคงเผยตัวอยู่ในรัศมีพันจั้งนี้

เพิ่งจะปรากฏตัว มือใหญ่สีดำข้างนั้นก็เยื้องกรายมาเยือนอีกครั้ง ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความสิ้นหวัง เมื่อถูกก่อกำเนิดไล่ล่า เขาจึงมิอาจหลบหนีไปได้ เมื่อเห็นว่าวิกฤตมาเยือน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันคำรามดังลั่น

“เจ้ากล้าฆ่าข้ารึ ภูมิหลังของข้ายิ่งใหญ่นักล่ะ หากเจ้ากล้าแตะต้องข้า เจ้าตายแน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวจบ ตี้ซาเหล่าไกว้ก็แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ความเร็วของมือใหญ่สีดำยิ่งเพิ่มขึ้น และใกล้จะฟาดโดนร่างเขาเต็มที

“ต่อให้หยิบเอาหม้อกระดองเต่าออกมาใช้ก็ไม่มีประโยชน์…” ป๋ายเสี่ยวฉุนน้ำตาไหล เขารู้สึกว่าจั่วเหิงเฟิงพูดประโยคนี้อาจารย์ของเขาก็ปรากฏตัวทันที ทำไมพอตนพูดบ้าง ถึงไม่มีใครโผล่ออกมา…

ขณะที่กำลังตกอยู่ในวิกฤต ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนแดงก่ำ เตรียมจะทุ่มสุดตัว ทว่าทันใดนั้น…

“ตี้ซาเหล่าไกว้ เจ้ากล้ารึ!!” เสียงคำรามที่โกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดจนแทบจะใกล้เคียงกับความคลุ้มคลั่งพลันดังลอยมาจากทิศไกล

เสียงนี้ปรากฏขึ้นจึงทำให้มือใหญ่สีดำข้างนั้นหยุดชะงัก ตี้ซาเหล่าไกว้เงยหน้าขึ้นพรวด นัยน์ตาเผยความสะท้านสะเทือน ทั้งยังสูดลมหายใจเฮือกใหญ่

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็อึ้งงันไปเช่นกัน รีบหันไปมองทางทิศไกล แล้วก็เห็นทันทีว่าชั้นเมฆระหว่างฟ้าดินซัดตลบคล้ายมีกองกำลังนับพันนับหมื่นอยู่ในนั้น ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมและเมฆพัดโหมอย่างบ้าคลั่ง พอจะมองเห็นเรือรบสิบลำที่น่ากริ่งเกรงซึ่งกำลังห้อทะยานมายังที่นี่ด้วยความเร็วถึงขีดสุดได้รำไร

บนเรือรบมีนักพรตนับหมื่นคน แต่ละคนแผ่คลื่นตบะออกมา ทำให้ตลอดทั้งฟ้าดินคล้ายกลายมาเป็นมหาสมุทรใหญ่ยักษ์ที่มีคลื่นสาดกระทบกันไม่จบสิ้น

อีกทั้งเบื้องหน้าของเรือรบทั้งสิบลำนั้นยังมีแสงเจิดจ้าที่พุ่งเข้ามาเล็งตัวตี้ซาเหล่าไกว้เอาไว้ แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไป แสงสว่างบาดตาหน้าเรือรบทั้งสิบเหล่านี้ก็ส่งเสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดิน เสียงนั้นดังจนแก้วหูสะท้าน แถมยังทำให้พื้นดินสั่นไหว แล้วจึงกลายร่างเป็นรุ้งยาวสิบเส้นที่คำรามตรงดิ่งมายังที่แห่งนี้

ความรวดเร็วนั้นมากจนสามารถทะลุทะลวงความว่างเปล่า พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้แล้วระเบิดตูมอยู่เบื้องหน้าตี้ซาเหล่าไกว้ ตี้ซาเหล่าไกว้หน้าเปลี่ยนสี สะบัดปลายแขนเสื้ออย่างแรง ไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจป๋ายเสี่ยวฉุนต่อ ถอยกรูดออกไปด้านหลัง

แทบจะเวลาเดียวกันกับที่เขาถอยออกไป เสียงกัมปนาทที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมก็สะท้อนออกมา มือใหญ่สีดำนั่นถูกลำแสงกระแทกจนกระจายเป็นเสี่ยงๆ แม้แต่เมฆดำที่อยู่กลางอากาศก็ยังพังทลายไปหมดเพราะลำแสงเหล่านี้ ส่วนตี้ซาเหล่าไกว้เองแม้จะต้านทานลำแสงมากมายไว้ได้ ทว่าร่างก็ยังถอยกรูดห่างออกไปหลายพันจั้ง หน้าเปลี่ยนสีต่อเนื่อง ลำแสงทั้งสิบนี้ซัดทลายให้พื้นดินกลายมาเป็นหลุมลึกใหญ่ยักษ์มากถึงสิบหลุม

ขณะที่แผ่นดินสั่นไหว ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกๆ ไม่หยุด เงาร่างหนึ่งก็บินทะยานออกมาจากในเรือรบ พุ่งเข้ามาตรงจุดนี้ ตัวคนยังไม่ทันถึง ทว่าเสียงกลับดังกังวานไปรอบด้าน

“ตี้ซาเหล่าไกว้ เจ้ากล้าทำร้ายลูกศิษย์ศาลาปราบมารของข้ารึ!!” คนผู้นี้ก็คือเจ้าศาลาปราบมารผู้มีใบหน้าใจดีมีเมตตา เฝิงโหย่วเต๋อ ร่างของเขาขยายความเร็วเต็มกำลัง เข้ามาถึงพร้อมเสียงดังตูมตาม พริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าตี้ซาเหล่าไกว้ แล้วจึงยกมือขวาขึ้นตบฉาดลงไปอย่างแรง

“เฝิงโหย่วเต๋อเจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไร!”

ตี้ซาเหล่าไกว้หน้าถอดสี ร่างถอยกรูดออกไปอีกครั้ง คำรามกร้าวด้วยความโมโห ในใจทั้งหวาดกลัวทั้งงุนงง เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ไปหาเรื่องศาลาปราบมารของแดนฟ้าเสียหน่อย เหตุใดพวกเขาต้องยกขบวนแห่กันมามากมายขนาดนี้เพราะตนคนเดียวด้วย!

เขาเพิ่งจะพูดจบ แสงบาดตาที่อยู่ด้านหน้าของเรือรบสิบลำนั้นก็ระเบิดตูมออกมาอีกครั้ง พัดกวาดบุกขยี้เข้าหาตี้ซา เสียงอึกทึกดังกึกก้อง ตี้ซากระอักเลือดสด ร้องโหยหวนถอยกรูดออกไป ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง สภาพกระเซอะกระเซิงอย่างมาก แถมแขนข้างหนึ่งก็ขาดสะบั้น นัยน์ตาเผยความแค้นเคืองและรู้สึกไม่เป็นธรรม ตวาดเสียงดังใส่เฝิงโหย่วเต๋อ

“เรือดับก่อกำเนิดสิบลำ…เจ้าๆๆ …เจ้ามันบ้าไปแล้ว!! เพื่อสังหารข้า เจ้าต้องถึงขนาดยกพวกมามากมาย ยอมสิ้นเปลืองทรัพยากรมหาศาลขนเรือดับก่อกำเนิดมาตั้งสิบลำแบบนี้เชียวหรือ มันคุ้มกันแล้วหรือไง!!” ตี้ซาเหล่าไกว้อกสั่นขวัญแขวน นอกจากแผดเสียงคำรามแล้วยังร่ายใช้เวทลับอย่างไม่มีเสียดาย เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว ในใจเขาเองก็สิ้นหวัง รู้สึกว่าครั้งนี้ตนต้องตายแน่ๆ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าเพื่อสังหารตน สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจะถึงกับยอมทุ่มทรัพยากรก้อนใหญ่ขนาดนี้

“ตายด้วยเรือดับก่อกำเนิดสิบลำ ข้าก็ยอมแล้ว…” ตี้ซาสิ้นหวัง แต่ความหวังที่จะได้มีชีวิตอยู่ก็ยังคงระเบิดออก ขณะที่ห้อตะบึงไปอย่างรวดเร็ว เขาก็พลันรู้สึกผิดปกติ จึงหันกลับไปมองหนึ่งครั้งและพบว่าเฝิงโหย่วเต๋อไม่ได้ไล่ตามมา

ตี้ซาปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง ตื่นเต้นจนรีบเพิ่มความเร็วทะยานหนีไป ในใจสั่นรัว ทว่าก็ยังดีใจที่รอดพ้นภัยมาได้

ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนในยามนี้ก็มองภาพเหตุการณ์นี้ด้วยความอึ้งงัน มองเรือรบสิบลำที่น่าพรั่นพรึง มองเจ้าศาลาปราบมารที่อยู่กลางอากาศด้วยบารมีเกรียงไกร เขาก็เริ่มซาบซึ้งใจขึ้นมา

“สำนักช่างดีกับข้ายิ่งนัก…” รอบดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนแดงก่ำ เขารู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนไม่ควรคลางแคลงใจในตัวสำนัก เวลานี้จึงรีบประสานมือคารวะเจ้าศาลาปราบมารที่อยู่กลางอากาศ

“ศิษย์…”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ายังสบายดีหรือไม่!” คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ทันจบ เฝิงโหย่วเต๋อก็หันมามองด้วยความตื่นตระหนกแล้วรีบเอ่ยถามทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!