บทที่ 421 อุ่นจังเลย
ทว่ายังมีสัตว์ร้ายบางส่วนที่เดิมทีก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ท่ามกลางการดิ้นรนและร้องคำรามนี้ พวกมันยังคงห้อทะยานไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่องแล้วค่อยๆ จากไปไกล ยังสามารถเห็นได้ด้วยว่าบนมหาสมุทรใหญ่แห่งนี้คล้ายจะมีพื้นที่ที่บิดเบือนราวกับพื้นผิวของกระจกอยู่ด้วย ซึ่งบางครั้งก็มีสัตว์ร้ายพุ่งถลันออกมา เมื่อมองไป สัตว์ร้ายนับพันนับหมื่นห้อตะบึงไปพร้อมกัน พลานุภาพเกรียงไกร มองแล้วน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง!
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นภาพเหตุการณ์เหล่านี้ก็ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าปอด ในสมองของเขามีข้อมูลเกี่ยวกับกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราที่ตัวเองรวบรวมในช่วงที่ผ่านมาลอยขึ้นมา
“กระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราแบ่งออกตามสีที่ต่างกัน ซึ่งมีการประลองทั้งหมดเจ็ดชั้น สีแดง…เป็นเพียงแค่การประลองชั้นแรกเท่านั้น ซึ่งก็คือชั้นที่ง่ายที่สุด แค่เคลื่อนหน้าไปในทะเลเพลิงแห่งนี้และผ่านพ้นระยะทางประมาณสามส่วนของทะเลเพลิงก็สามารถเลื่อนขั้นเป็นดวงดาวได้แล้ว!”
“จนกระทั่งเดินไปถึงปลายทาง และจะจัดอันดับตามระยะห่างที่ต่างกัน เมื่อเดินเข้าสู่ปลายทางได้ก็จะสามารถเลื่อนขั้นเข้าสู่การประลองชั้นต่อไป และในการประลองสีแดงนี้ก็มีคนมากมายจนนับไม่ถ้วนที่ไม่สามารถบรรลุถึงปลายทางได้…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง มองสัตว์ร้ายที่พุ่งออกไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง มองภาพความตายที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลานาที หูก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดฟังไม่ได้ศัพท์ เขาจึงยิ่งมีความเข้าใจที่ลึกล้ำต่อกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราแห่งนี้มากยิ่งขึ้น
“การจัดอันดับเช่นนี้…มิน่าล่ะถึงได้ทำให้คนมากมายคลุ้มคลั่ง ลักษณะการจัดการที่ยิ่งใหญ่แบบนี้…ไม่เคยเจอมาก่อนเลยจริงๆ”
“และวิธีการข้ามผ่านการประลองชั้นแรกก็คืออาศัยกระแสสัตว์ร้ายพวกนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือคลำถุงเก็บของ แล้วจึงหยิบหยกเจ็ดสีชิ้นหนึ่งออกมา หยกชิ้นนี้เขาจ่ายคะแนนคุณความดีบางส่วนเพื่อซื้อมา เป็นวัตถุนำส่งที่เอาไว้ใช้ในกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารานี้โดยเฉพาะ
หากบีบให้แตกละเอียด มันก็จะนำร่างของนักพรตส่งออกไปจากพื้นที่การประลองแห่งนี้ในชั่วพริบตาเดียว ช่วยรับประกันความปลอดภัยอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็ทำให้คะแนนของคนที่ใช้หยุดอยู่ตรงจุดที่ถูกนำส่งออกไป
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ทุกปีก็มีคนไม่น้อยที่ไม่ทันได้บีบให้หยกแตกละเอียด และต้องตายอยู่ในการประลองชั้นแรกนี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินมาหยุดอยู่ตรงริมขอบหน้าผาช้าๆ เขาสังเกตเห็นแล้วว่าสถานที่แห่งนี้ห้ามใช้การบิน ดังนั้นจึงก้มหน้าลงมองทะเลเพลิงลาวาที่อยู่เบื้องล่าง มองสัตว์ร้ายจำนวนเหลือคณานับที่ห้อทะยานออกมา ดวงตาของเขาเปล่งแสงวาบ หลังจากรออยู่พักหนึ่งก็พลันสะบัดร่างกระโดดพรวดออกไปหางูหลามสีแดงเพลิงตัวหนึ่งที่กำลังร้องคำรามห้อเต็มเหยียดไปข้างหน้า
ขณะที่งูหลามเพลิงตัวนี้กำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ร่วงตุ้บลงมาบนหลังของมัน ร่างของงูหลามเพลิงพลันส่ายสะบัดพยายามดิ้นรน ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยกเท้าขวาขึ้นแล้วกระทืบลงไปหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นงูหลามเพลิงก็สั่นเยือกไปทั้งร่าง มันสัมผัสได้ถึงพลานุภาพสยบจึงไม่กล้าต่อต้าน ได้แต่เลื้อยไปข้างหน้าต่อด้วยดวงตาแดงก่ำ
ราวกับว่า…สำหรับสัตว์ร้ายเหล่านี้ ขอแค่พวกมันสามารถมีชีวิตไปได้จนถึงปลายทาง ถ้าเช่นนั้นพวกมันก็จะได้รับอิสระ
ถ้าจะพูดว่านี่คือการประลองสีแดง ก็สู้พูดว่าสถานที่แห่งนี้…คือนรกสำหรับสัตว์ร้ายจะเหมาะกว่า!
“เด็กดี ยืนหยัดเข้าไว้ รีบเลื้อยเร็วเข้า…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่บนร่างของงูหลามเพลิงด้วยความหวาดหวั่น คลื่นความร้อนรอบด้านแผ่ออกไปทั่ว ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งก้านธูป น้ำทะเลยิ่งโหมซัดสาดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และบนทะเลเพลิงแห่งนี้ก็ใช่ว่าจะมีแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียว เมื่อเคลื่อนที่มาข้างหน้า มองออกไปจึงเห็นได้ว่ารอบด้านยังมีนักพรตอีกเจ็ดแปดคนที่ต่างก็กำลังกระโดดสลับสับเปลี่ยนสัตว์อย่างต่อเนื่อง พยายามยืนหยัดไปให้ไกลยิ่งกว่าเดิม
และยังมีสองคนที่พอเห็นงูหลามเพลิงที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนดวงตาก็เผยความละโมบออกมา ต้องรู้ว่าสัตว์ร้ายที่มีธาตุไฟเช่นนี้ สามารถยืนหยัดได้นานกว่าสัตว์ร้ายธาตุอื่นไม่น้อย
“ตรงนั้นมีงูหลามเพลิงตัวหนึ่ง!”
“แม้ว่าสัตว์ร้ายธาตุไฟของที่แห่งนี้จะมีอยู่ก็จริง แต่กลับไม่มีให้เห็นบ่อยนัก…” นักพรตสองคนนั้นควบคุมสัตว์ร้ายให้เปลี่ยนทิศทางเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุน ดูท่าทางแล้วเห็นได้ชัดว่าต้องการบีบให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยไปเพื่อช่วงชิงงูหลามเพลิงตัวนี้และเข้ามาอยู่แทน
“พวกเจ้าจะทำอะไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเดือดดาลทันที
นักพรตสองคนนั้นล้วนเป็นรวมโอสถช่วงกลาง ไม่มีใครพูดอะไร หลังจากมองหน้ากันไปมาแล้วก็ลงมือโจมตีลงไปบนทะเลเพลิงอย่างพร้อมเพรียงกัน ทันใดนั้นคลื่นลาวายักษ์ก็โถมตัวขึ้นสูงม้วนตลบเข้ามาทางป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีเวลาให้โมโหไปมากกว่านั้น คลื่นร้อนที่ถาโถมเข้าใส่ทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนร่างกำลังจะสุก ตกใจจนกรีดร้องโหยหวนออกมาโดยไม่รู้ตัว รีบเบี่ยงหลบออกไป ทว่าก็ยังมีลาวาส่วนหนึ่งที่กระเซ็นมาโดน
ลาวานั้นสาดลงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
ทว่าหลังจากร้องโหยหวนไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับอึ้งงัน เขามองแขนของตัวเองด้วยความประหลาดใจ อาภรณ์ตรงจุดนั้นถูกละลายจนกลายมาเป็นรูโบ๋ขนาดใหญ่เผยให้เห็นผิวหนังของเขา ทว่าผิวหนังของเขากลับไม่มีร่องรอยบาดเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว
“เอ๊ะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ และเวลานี้เอง ลาวาจำนวนไม่น้อยก็สาดกระเซ็นเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลอยู่เล็กน้อยแต่ก็ไม่หลบเลี่ยง ปล่อยให้ลาวาพวกนั้นสาดลงบนร่าง หลังจากหลอมละลายอาภรณ์ของเขาไปหมดแล้วก็กระทบลงบนผิวหนังของเขาเต็มๆ
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกแค่อุ่นๆ เท่านั้น ไม่มีความรู้สึกร้อนลวกใดๆ ดวงตาทั้งคู่ของเขาจึงเปล่งประกายทันที เวลาเดียวกันนั้น นักพรตสองคนที่มีเจตนาชั่วร้ายก็เบิกตากว้าง ทำสีหน้าเหลือเชื่อ
“เขา…เขาไม่เป็นอะไร?”
“บนร่างของคนผู้นี้ต้องมีของวิเศษอะไรแน่นอน แต่ไม่ถูกสิ ที่นี่ไม่อนุญาตให้ใช้อาวุธวิเศษนะ!” ขณะที่คนทั้งสองกำลังคลางแคลงใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยื่นมือซ้ายออกมาจุ่มลงไปในทะเลเพลิงลาวา แถมยังเอามือคนอีกสองสามที
“อุ่นจังเลย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงระคนดีใจทันที
ทว่าเมื่อภาพเหตุการณ์นี้ตกอยู่ในสายตาของนักพรตสองคนนั้น ดวงตาของพวกเขาทั้งสองก็แทบจะถลนออกมาจากเบ้า ในสมองมีเสียงดังอึงอล หน้าเปลี่ยนสี สำลักลมหายใจแล้วร้องอุทานเสียงหลง
“เป็นไปไม่ได้!!”
“สวรรค์ เขา…เขาถึงกับยื่นมือเข้าไปในลาวา!!”
“อะไรกันนี่…” ขณะที่คนทั้งสองอ้าปากกว้างมองตาค้าง ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับฮึกเหิมอย่างถึงที่สุด แหงนหน้าหัวเราะเสียงดังด้วยความลำพองใจ
“ทะเลเพลิงลาวาอะไรนี่ ข้านึกว่าจะร้ายกาจกว่านี้เสียอีก” ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาจากร่างของงูหลามเพลิงหนึ่งก้าวด้วยความห้าวเหิมแล้วเหยียบลงบนลาวาโดยตรง จากนั้นร่างของเขาก็ค่อยๆ จมลงไป…อาภรณ์ของเขาละลายหายวับไปในพริบตา เผยให้เห็นเรือนกายของเขาที่ยังคงไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ แถมสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนยังดูสบายอุราอย่างมากด้วย
“ไม่เลวๆ …” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เหล่ตามองนักพรตสองคนนั้นที่ก่อนหน้านี้คิดจะทำร้ายเขา คนทั้งสองหน้าซีดขาว ทำท่าราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น ไม่รอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือ พวกเขาก็หยิบเอายันต์หยกเจ็ดสีออกมาแล้วบีบให้แตกละเอียด ร่างจึงหายวับไปจากบนร่างของสัตว์ร้าย ถูกนำส่งออกไปทันทีทันใด
กลัวว่าหากตัวเองจากไปช้ากว่านี้แล้วป๋ายเสี่ยวฉุนคิดแก้แค้นขึ้นมา พวกเขาคงต้องเผชิญกับวิกฤตความเป็นความตายแน่นอน
“ขี้ขลาด! อย่าเพิ่งไปซี้ ลงมาเล่นด้วยกันก่อน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอย่างได้ใจ ถือโอกาสแหวกว่ายอยู่ในทะเลเพลิงลาวานี้เสียเลย เขาว่ายไป ว่ายไป…เมื่อเคลื่อนหน้าไปเรื่อยๆ เมื่อเขามองเห็นพวกนักพรตที่กำลังประลองอยู่ในชั้นที่หนึ่งซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนักพรตเหล่านั้นมองเห็นเขา เสียงอุทานด้วยความแตกตื่นฮือฮาอย่างไม่คาดคิดและเหลือเชื่อก็ดังลั่นสะท้อนไปแปดทิศทันที
“นั่น…นั่นมันอะไร…”
“นี่…นี่มันใครกัน!!”
“สวรรค์ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนกำลังว่ายน้ำ นี่มันทะเลเพลิงลาวานะ ทะเลเพลิงลาวาที่ต่อให้เป็นเหล็กนิลก็ยังละลายได้!!”
“หรือว่านั่นคือสัตว์ร้ายประเภทหนึ่งที่รูปร่างเหมือนคน!!”
เสียงพูดทำนองนี้ดังออกมาไม่ขาดสาย ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังเสียงอุทานด้วยความตกตะลึงเหล่านั้นด้วยความลำพองใจมาตลอดทาง แถมบางครั้งยังยื่นมือออกไปทักทายคนอื่นด้วย “ลงมาว่ายน้ำด้วยกันไหม…อุ่นมากเลยนะ”
ไม่นานเขาก็ว่ายเลยขอบเขตสามส่วนของทะเลเพลิงแห่งนี้ วินาทีที่เขาผ่านมาได้นั้น โลกด้านนอกก็มีคนสังเกตเห็นทันทีว่าบัดนี้บนรุ้งสีแดงมีดวงดาวปรากฏเพิ่มขึ้นมาหนึ่งดวง!
แม้ว่าดวงดาวที่อยู่บนรุ้งสีแดงนี้จะแน่นขนัดจนนับไม่หวาดไม่ไหว ดาวอีกดวงที่เพิ่มขึ้นมาเลยดูเหมือนว่าจะไม่สะดุดตานัก แต่เป็นเพราะปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกจึงทำให้กะพริบแสงสว่างพร่างพราวอยู่หลายที ถึงได้ชักนำคนส่วนหนึ่งให้หันมาสนใจ และเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นก็ยังคงมีคนแสดงความอิจฉาออกมา
“มีคนเลื่อนขั้นได้เป็นดวงดาวอีกแล้ว!”
“ไหนข้าดูสิว่าคนผู้นี้คือใคร…ป๋ายเสี่ยวฉุน? ไม่เห็นรู้จักเลย”
หากเปลี่ยนเป็นช่วงเวลาอื่น คำวิพากษ์วิจารณ์ย่อมมีมากกว่านี้ ทว่าตอนนี้เนื่องจากการฝ่าด่านของจ้าวอี้ตง ดวงดาวที่เป็นของเขาจึงยิ่งพร่างพราวมากกว่า ทำให้สายตาของทุกคนตกมาอยู่ที่ดวงดาวของจ้าวอี้ตงอีกครั้ง
แถมยังมีคนบางส่วนหยิบเอาป้ายพิเศษแผ่นหนึ่งออกมา ซึ่งหากตั้งสมาธิมองป้ายนี้จะทำให้มองเห็นภาพเหตุการณ์ที่จ้าวอี้ตงฝ่าด่านได้ แต่เห็นได้ชัดว่าหากคิดจะแลกป้ายเช่นนี้มาต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อย ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วการนำมันมาใช้จึงจะไม่เอามาสิ้นเปลืองกับนักพรตที่อันดับต่ำกว่าหนึ่งพันแรก
และแน่นอนว่าย่อมไม่มีใครใช้ป้ายที่ราคาไม่ธรรมดานี้กับป๋ายเสี่ยวฉุน ดังนั้นจึงไม่มีใครได้เห็นภาพการว่ายน้ำที่ทำให้คนตะลึงพรึงเพริด…
ทว่าในการประลองสีแดง บนทะเลเพลิงลาวา เนื่องจากคนที่ได้เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนมีไม่น้อย ความตะลึงลานและเสียงอุทานของพวกเขาจึงดังขึ้นๆ ลงๆ แผ่ไปรอบด้าน
และความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ช้าด้วย ท่ามกลางการว่ายน้ำนี้ เขาว่ายผ่านสัตว์ร้ายจำนวนไม่น้อยที่ห้อตะบึงไปข้างหน้าพร้อมกรีดร้องโหยหวน สัตว์ร้ายเหล่านั้นพอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็เบิกตากว้างเหมือนกัน อึ้งงันไปพักใหญ่
ป๋ายเสี่ยวฉุนคลอเพลงเบาๆ อยู่ในลำคอ ความเร็วยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และก็ค่อยๆ สัมผัสได้ถึงความร้อนแผดเผา จึงถือโอกาสแผ่ความเย็นออกมาเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงสามารถรักษาอุณหภูมิอุ่นๆ ที่ทำให้เขารู้สึกสบายตัวไว้ได้ตลอดเวลา และขยับเข้าไปใกล้ชายฝั่งมากยิ่งขึ้น
“การประลองนี้ช่างง่ายจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจถึงขีดสุด ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง อยากให้ทุกคนรู้เรื่องที่ตัวเองว่ายน้ำอยู่ในนี้เสียจริง
“รอข้าออกไปก็สามารถพูดกับคนอื่นได้ว่าข้าว่ายน้ำอยู่ในการประลองสีแดงนี้ ถ้าได้พูดออกไปเมื่อไหร่ต้องร้ายกาจมากแน่นอน” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น จึงเพิ่มความเร็วเข้าไปอีก ไม่นานเขาก็มองเห็นชายฝั่งที่อยู่เบื้องหน้า
เวลาเดียวกันนั้นคนมากมายที่อยู่โลกภายนอกก็มีอยู่สองสามคนที่กวาดสายตามามองเป็นบางครั้ง และก็พบทันทีว่าบนสายรุ้งสีแดงมีดาวดวงหนึ่งที่เลื่อนขั้นขึ้นข้างบนด้วยความเร็วสูงสุด อีกทั้งยังเข้าไปใกล้ปลายทางของสายรุ้งสีแดงมากขึ้นทุกขณะ คนที่มองอยู่เหล่านี้จึงเริ่มแปลกใจกันขึ้นมา
“เร็วขนาดนี้เชียว…ชื่อนี้…ป๋ายเสี่ยวฉุน? นี่ไม่ใช่คนที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นดวงดาวเมื่อครู่นี้หรอกหรือ!”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นดวงดาวได้แค่แปบเดียวเอง กลับใกล้จะถึงปลายทางแล้วหรือนี่!” ท่ามกลางความสงสัย ลูกศิษย์หนึ่งในนั้นที่ครอบครองป้ายพิเศษก็อดใจไม่ไหว รวบรวมสมาธิไปมองบนดวงดาวของป๋ายเสี่ยวฉุนโดยอาศัยป้ายพิเศษแผ่นนั้น อยากจะเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนใช้สัตว์ร้ายอะไร…
ทว่าเมื่อเขามองไป ซึ่งก็คือเวลาแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจ คนผู้นี้ก็พลันเบิกตากว้างมองเซ่ออย่างแท้จริง เขาอ้าปากค้างแล้วกรีดร้องเสียงหลง
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน!!”