บทที่ 424 ประลองอย่างมีศิลปะ
แทบจะเวลาเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกพายุบ้าคลั่งพัดหมุนให้ลอยออกไปจากสายรุ้งสีส้ม เนื่องด้วยพายุคลั่งนี้น่าหวาดกลัว นักพรตทุกคนที่เข้าร่วมการประลองจึงต้องถอยหลังกรูดด้วยความตะลึงพรึงเพริดไปด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ พอคนเหล่านี้ถูกบีบให้ต้องออกจากที่นั่นมาอยู่นอกกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา เดิมทีพวกเขาควรโกรธแค้น ทว่าสีหน้าของพวกเขากลับมองไม่เห็นความแค้นเคืองใดๆ เห็นแค่เพียงความเหลือเชื่อและตื่นตะลึง
“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้เขาฝึกวิชาอะไร มนุษย์หินตนนั้นถึงได้ส่งเขาไปยังทางออกด้วยตัวเอง!”
“นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร…”
“ในการประลองสีแดง เขาว่ายน้ำผ่านมา ในการประลองสีส้ม มีมนุษย์หินให้ความช่วยเหลือ คนผู้นี้มีภูมิหลังเช่นไรกันแน่!”
ขณะที่เสียงเอะอะโหวกเหวกดังขึ้นๆ ลงๆ ดวงดาวที่เป็นตัวแทนของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เคลื่อนขึ้นสูงอีกครั้ง เลื่อนจากรุ้งสีส้มมาเป็นรุ้งสีเหลือง อยู่ขั้นเดียวกับดวงดาวหลายพันดวง!
นี่หมายความว่าป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ห้าพันอันดับแรกแล้ว!
เรื่องนี้สร้างความฮือฮาได้ทันที ทำให้คนมากกว่าเดิมย่อมจ่ายค่าคะแนนคุณความดีอย่างไม่เสียดายเพื่อจับตามองการฝ่าด่านของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้ในสายรุ้งสีเหลือง ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะปรากฏตัวก็สัมผัสได้ถึงความเย็นรวมไปถึงพื้นดินที่สั่นไหวในทันใด
ลมหายใจเขาไม่มั่นคง เวลานี้ดวงตายังคงเผยความเลื่อนลอย ภาพเหตุการณ์ในรุ้งสีส้มก่อนหน้านี้เขาเองก็รู้สึกเหลือเชื่อเช่นกัน ตอนนี้มาย้อนนึกดูก็ยังหวาดหวั่นไม่คลาย โดยเฉพาะสุดท้ายที่มนุษย์หินเปลี่ยนจากการจับเป็นการโบก และยังมีความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจป๋ายเสี่ยวฉุนหลังจากที่พวกเขาเชื่อมโยงกันแล้ว ทุกอย่างนี้ล้วนทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องสูดลมหายใจเข้าลึก
“ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา…มีความลับซุกซ่อนไว้มากมายยิ่งนัก ทั้งๆ ที่มนุษย์หินนี้เป็นเผ่าพันธ์หนึ่ง แต่กลับถูกกักขังให้อยู่ที่นี่ ในกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราแห่งนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็คือ…คุกขนาดใหญ่ดีๆ นี่เอง!” นอกเหนือจากความหวาดกลัวแล้วยังมีความฮึกเหิม เขารับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการฝึกคาถาคนขุนเขาของเขาเร็วกว่าก่อนหน้านี้ไปอีกขั้น
“ขอแค่ครั้งนี้ข้าเข้าไปอยู่หนึ่งพันอันดับแรก หลังจากแลกเอาหญ้าทะเลหมอกเจ็ดสีและหลอมยาออกมาได้ ข้าก็มีความมั่นใจมากว่าจะสามารถฝึก…คาถาคนขุนเขาได้สำเร็จ!” ท่ามกลางความตื่นเต้นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปมองโลกของสายรุ้งสีเหลือง แค่มองไปครั้งเดียวต่อให้ผ่านทะเลเพลิงลาวาสีแดง และผ่านการต่อสู้ของมนุษย์หินมาก่อน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงตะลึงงันไปกับโลกแห่งนี้ที่ตัวเองเห็นอยู่ดี อึ้งค้างไปกับวิธีการที่ยิ่งใหญ่ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราอีกครั้ง
โลกแห่งนี้เล็กมาก…เป็นเพียงแค่ห้องห้องหนึ่งเท่านั้น ในห้องมีชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่เปลือยท่อนบน หน้าผากรัดด้วยเชือกสีแดง มือข้างหนึ่งถือคีมเหล็ก และคีมเหล็กนั้นก็หนีบเหล็กร้อนๆ สีแดงฉานเอาไว้หนึ่งชิ้น!
ด้านล่างเหล็กร้อนนี้คือบ่อน้ำที่แคบยาวแห่งหนึ่ง ในบ่อน้ำมีของเหลวสีดำสนิท และกลิ่นอายความเย็นที่ยากจะบรรยายระลอกแล้วระลอกเล่าก็กำลังแผ่ออกมาจากในของเหลวสีดำทมิฬนี้
มืออีกข้างหนึ่งของชายฉกรรจ์เหวี่ยงค้อนเหล็กขนาดใหญ่ยักษ์ตีลงไปบนเหล็กแบนๆ ชิ้นนั้นเต็มแรงอย่างต่อเนื่อง
เสียงเคร้งๆๆ ดังสะเทือนแก้วหู
ชายฉกรรจ์ผู้นี้คือช่างตีเหล็กคนหนึ่ง และห้องนี้ก็คือห้องตีเหล็ก! และตอนนี้
ป๋ายเสี่ยวฉุน…ก็ราวกับถูกหดตัวให้เล็กลงไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ที่ที่เขายืนอยู่นั้นก็คือบนคีมเหล็กชิ้นนั้น!!
บางทีคงอาจไม่ใช่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนถูกย่อตัวให้เล็กลง แต่เป็นเพราะห้องนี้ใหญ่มากเกินไป ส่วนช่างตีเหล็กคนนี้ก็คือ…ยักษ์ตนหนึ่ง ระดับความใหญ่โตของร่างเขาแทบจะสูสีได้กับมนุษย์หินสองตนนั้น
ทุกครั้งที่ฟาดค้อนเหล็กลงมา เสียงกัมปนาทก็ดังกึกก้อง สั่นสะเทือนไปทั้งปฐพี!
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดเผือด ในสมองมีเสียงดังอึงอล ตกใจไปกับทุกอย่างนี้จนร่างสั่นสะท้านอยู่หลายครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นช่างตีเหล็กที่ร่างใหญ่ราวกับยักษ์ตนนั้นเหวี่ยงค้อนเหล็ก เมื่อก้มหน้าลงก็หันว่าด้านหน้านอกคีมเหล็กที่ตนยืนอยู่ก็คือแผ่นเหล็กร้อนๆ นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แล้วก็ก้มหน้าลงมองบ่อน้ำด้านล่างอีกครั้ง…
บ่อน้ำนี้ในสายตาของเขามันไม่ต่างอะไรไปจากมหาสมุทรใหญ่
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกคิดไม่ตกทันที ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงได้กัดฟันแรงๆ หนึ่งครั้งแล้วพุ่งพรวดออกไป มายืนอยู่บนแผ่นเหล็กร้อนแดงฉาน เพิ่งจะเหยียบลงไปเขาก็สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิความร้อนที่เพิ่มขึ้นมาจากฝ่าเท้า จึงรีบโคจรตบะทันทีแล้วถลาไปข้างหน้าอีกครั้ง
เขาห้อตะบึงสุดชีวิต ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะร้องไห้ออกมาเต็มแก่ ที่นี่ร้อนแผดเผามากเกินไป เขาอดไม่ได้จนต้องร้องโวยวายออกมา กระโดดเหยงๆ ไปตลอดทาง ใจอยากจะบินขึ้น แต่สถานที่แห่งนี้กลับห้ามการบิน
ไม่เพียงต้องแบกรับอุณหภูมิที่ร้อนสูงอย่างมาก ทั้งยังต้องเจอกับความสั่นสะเทือนทุกครั้งที่ค้อนเหล็กฟาดลงมา และที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือตอนที่ค้อนเหล็กฟาดลง ยังมีสะเก็ดดาวที่ไม่ใช่แค่สะเก็ดเดียวแตกกระจายไปทั่ว หากโดนโดยไม่ทันระวัง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้ทันทีว่าต่อให้ร่างของตัวเองจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งเพียงไหนก็ยังต้องตายอนาถแน่นอน
“จะตายแล้วๆ!”
“อ๊าก ร้อนลวกนายท่านป๋ายจนจะตายอยู่แล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหวีดร้องโหยหวน ระดับความร้อนของที่นี่มากกว่าทะเลเพลิงลาวาในรุ้งสีแดงอย่างเห็นได้ชัด ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าคนอื่นผ่านกันไปได้อย่างไร แต่เขาจำได้ว่าสีเขียวที่อยู่ถัดจากสายรุ้งสีเหลืองนี้มีเพียงดวงดาวประมาณหนึ่งพันดวง นี่หมายความว่าตลอดทั้งในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามีเพียงนักพรตรวมโอสถหนึ่งพันคนเท่านั้นที่สามารถผ่านด่านนี้ไปได้
จำนวนหนึ่งพันเมื่อเทียบกับสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลแล้วช่างน้อยนิดจนแทบไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง และก็มองออกได้ถึงความยากของด่านนี้!
แต่ว่าความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับราวกับบิน อีกทั้งยังฝึกคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิด เวลานี้ไอความเย็นทั้งหมดจึงมารวมกันอยู่ที่เท้าทั้งสอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะรู้สึกร้อนระอุ แต่กลับไม่ส่งผลต่อการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า เขาห้อเต็มเหยียดมาตลอดทาง และผ่านไปไม่นานนักก็วิ่งพ้นมาจากอาณาเขตสามส่วนแล้ว
“เร็วกว่านี้อีกหน่อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่ายังช้าไป เขาจึงห้อตะบึงสุดฝีเท้าไปด้านหน้าอย่างคลุ้มคลั่งราวกับมดที่อยู่บนกระทะร้อนฉ่า ทว่าพวกคนที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ด้านนอกกลับพากันเบิกตากว้าง เสียงสูดลมหายใจกลับลดน้อยลง กลายมาเป็นการกลั้นลมหายใจเพื่อตั้งสมาธิเพ่งมอง
พวกเขาเคยเห็นคนมากมายผ่านด่านที่สามนี้ อีกทั้งในบรรดาคนเหล่านี้ยังมีคนที่เคยทดลองฝ่าด่านมาก่อนเองด้วย
จึงรู้ดีถึงความยากลำบากของด่านที่สาม ปกติเวลามองคนอื่นก็มักจะเห็นว่าคนเหล่านั้นต่างระมัดระวังและใช้เวลาไปมาก เพราะเวลาส่วนใหญ่เหล่านั้นล้วนหมดไปกับการสังเกตการณ์
เพราะอย่างไรซะสิ่งที่ด่านนี้ทดสอบก็ไม่ใช่ความเร็ว และไม่ใช่ความสามารถในการต้านทานความร้อน แต่เป็น…การสั่นสะเทือน นั่นคือทุกครั้งที่ค้อนเหล็กฟาดลงมาแล้วแผ่นเหล็กสีแดงสั่นสะเทือนก็จะใช้การสั่นสะเทือนเช่นนี้มากระจายความร้อน ขณะเดียวกันก็อาศัยการสั่นสะเทือนมาทำให้ตัวเองเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น หากสามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยเคลื่อนหน้าไปให้พอดีกับการสั่นสะเทือนนี้ ถ้าเช่นนั้นตลอดทางก็จะไม่รู้สึกถึงความร้อนลวกเท่าใดนัก
อีกทั้งในด่านนี้ยังทดสอบระดับความเฉียบไวทางพลังจิตของนักพรตด้วย หากพลังจิตละเอียดอ่อนอย่างแท้จริง การผ่านด่านนี้ก็จะลดความยากลงมาไม่น้อย
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีใครเป็นแบบป๋ายเสี่ยวฉุน…ที่อาศัยแค่แรงกายอย่างเดียวโดยที่ไม่คิดพิจารณาถึงการสั่นสะเทือน เอาแต่ห้อตะบึงไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้…
“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้…เขา…เขา…”
“คนผู้นี้ก็คือบุคคลที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร…ไม่เดินตามรอยใครเลย…” ทุกคนที่อยู่ด้านนอกมองหน้ากันไปมา สีหน้าเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเหยเก มองป๋ายเสี่ยวฉุนในภาพที่มีท่าทางราวกับกระต่ายถูกไฟลนก้น กรีดร้องเสียงแหลมพลางห้อทะยานไปตลอดทาง ยิ่งพอพวกเขาได้ยินเสียงป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ ด้วยแล้ว สีหน้าของแต่ละคนก็ยิ่งปั้นยากเข้าไปใหญ่
“ประลองบ้าบออะไร นี่มันทดสอบเรื่องอะไร ใครร้อนกว่ากันงั้นหรือ มันร้อนมันลวกข้าจนจะตายอยู่แล้ว!!”
“คนอื่นๆ เขาผ่านกันไปได้อย่างไร แต่คงไม่มีใครสู้ข้าได้หรอก สงสัยจะต้องวิ่งไปร้องไห้โฮกันไปตลอดทาง หรือไม่แน่บางคนอาจจะยังคลานไปด้วยซ้ำ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้ร้องไห้เต็มแก่ ขณะที่วิ่งห้ออย่างต่อเนื่อง ความเร็วของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเวลาเพียงแค่หนึ่งก้านธูป เขาก็วิ่งผ่านมาได้แล้วถึงเจ็ดส่วน…
“หึหึ มีแต่ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่แหละที่ร้ายกาจ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าตัวเองเดินผ่านมาได้เกินครึ่งทางก็ทั้งตะลึงและดีใจทันที แม้ว่าจะยังคงร้องเสียงแหลมไม่หยุดเพราะความร้อนระอุ แต่เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีกว่าเดิมเยอะมาก
“แต่จะว่าไปนาบเท้าด้วยความร้อนแบบนี้ก็สบายดีเหมือนกันนะ”
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนที่อยู่โลกภายนอกเงียบงันไปตามๆ กัน ทุกคนได้แต่มองตาค้างมายังป๋ายเสี่ยวฉุนที่ใช้วิธีการเถื่อนๆ เช่นนี้จนเกือบจะผ่านด่านสามไปได้แล้ว
“หากปล่อยให้เขาผ่านไปได้ สวรรค์ก็ไม่มีตาแล้ว!!” ท่ามกลางความเงียบงันนี้ บางคนที่อยู่ข้างนอกเอ่ยปากขึ้นมาอย่างเคียดแค้นเพราะความริษยา
“บัดซบเอ๊ย ด่านที่สามทำไมถึงผ่านไปได้เร็วขนาดนี้ ที่นั่นไม่ใช่ว่าต้องอาศัยการสั่นสะเทือนหรอกหรือ…” หลังจากที่มีคนเปิดปากเป็นคนแรก คนอื่นๆ ก็ทยอยกันออกเสียง พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผ่านขอบเขตเก้าส่วนมาได้และใกล้กับปลายทางมากแล้ว แต่ละคนก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอิจฉาหรือจนใจกันแน่
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็กำลังลำพองใจ ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นเขาก็พลันรู้สึกไม่ชอบมาพากล
“แผ่นเหล็กนี้ขยับได้ยังไง?” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังแปลกใจ คนด้านนอกที่จับตามองอยู่ก็พากันเบิกตากว้าง ทั้งยังมีคนเผยสีหน้าตะลึงระคนดีใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เห็นเพียงว่ายักษ์ที่กำลังตีเหล็กอยู่ในโลกของด่านที่สามนี้คล้ายรู้สึกว่าการตีเหล็กสิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นมือซ้ายที่ถือคีมเหล็กจึงพลันยกขึ้นแล้วจุ่มแผ่นเหล็กลงไปในของเหลวสีดำสนิทที่อยู่ในบ่อ
“ฮ่าๆ จะผนึกเหล็กแล้ว!”
“จะผนึกเหล็กแล้ว เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่ดวงซวยจริงๆ ดันมาเจอกับการผนึกเหล็กเสียได้!”
“การผนึกเหล็กที่จะเกิดขึ้นสักครั้งในการตีเหล็กสิบครั้ง เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ดันเจอเข้าจังๆ ดวงดีเหลือเกิ๊น!” ขณะที่ทุกคนด้านนอกรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ ฝ่ายป๋ายเสี่ยวฉุนก็กรีดร้องโหยหวน
เขาเองก็มองออกว่ากำลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ตั้งตัวไม่ทัน และแผ่นเหล็กร้อนๆ ของยักษ์ตนนั้นก็ยื่นเข้ามาในมหาสมุทรที่มีไอความเย็นสีดำแล้ว
“ไม่นะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยกรูดออกไปข้างหลังทันที ทว่าเขาอยู่ห่างจากปลายแผ่นเหล็กมากแล้ว ตอนนี้ยังไม่ทันได้วิ่งออกไปกี่ก้าว แผ่นหยกเจ็ดสีก็ไม่ทันได้หยิบออกมา แผ่นเหล็กร้อนนั่น…ก็พาเขาจมลงไปในของเหลวสีดำ เสียงโหยหวนก็ขาดหายไปกลางคัน