Skip to content

A Will Eternal 440

บทที่ 440 สำนักสยบธารที่ไม่ธรรมดา

เมื่อเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนมาปรากฏอยู่นอกกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา เมื่อเสียงของเจ้าสำนักดังสะท้อน ทุกคนที่จับตามองการประลองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็จิตใจสะท้านไหว หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพร้อมเพรียงกัน

หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่นสายตากระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่งของคนนับหมื่นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องมอบโอกาสให้คนอื่นเข้ามาใกล้ชิดตนเองอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์อะไรทั้งนั้น

วินาทีที่ได้พลังของคนฟ้ามาครอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวบินทะยานตรงไปยังค่ายกลนำส่งภายใต้การจับตามองของคนมากมาย

เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว เวลานี้จึงร้อนใจอยากจะกลับไปถึงศาลาปราบมารบนสายรุ้งแดนฟ้าเพื่อช่วยจางต้าพั่งให้ได้โดยเร็วที่สุด!

เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังเอ็ดอึงมาจากด้านหลังของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนในยามนี้ได้อยู่ในอันดับสูงสุดของลูกศิษย์สำนักอันตมรรคาฟ้าดารารุ่นนี้แล้ว!

เขาได้อยู่ในสิบอันดับแรก!!

แม้จะไม่มีใครรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเผชิญกับสิ่งใดบนสายรุ้งสีม่วง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเขาก็คือดวงดาวดวงที่สิบบนสายรุ้งสีม่วงแห่งนั้น!

เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปไกล สามารถจินตนาการได้เลยว่าอีกไม่นานเท่าไหร่นัก ชื่อเสียงของเขาในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแห่งนี้ก็จะบรรลุไปถึงระดับสูงสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามอู้มาตลอดทางด้วยความเร็วสูงสุด ไม่มีอารมณ์อวดอ้างความสำเร็จของตัวเอง แต่ใช้ความเร็วที่มากที่สุดมายังค่ายกลนำส่ง แล้วพริบตาเดียวก็หายตัวไป มาปรากฏอีกครั้งก็อยู่บนสายรุ้งแดนฟ้าแล้ว

เพิ่งจะออกมาจากค่ายกลนำส่ง รอบค่ายกลแห่งนี้ก็มีนักพรตของสายรุ้งแดนฟ้าจำนวนไม่น้อยที่จำป๋ายเสี่ยวฉุนได้เพียงแค่มองเห็น ดวงตาจึงเผยความเคารพเลื่อมใส คารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน

“คารวะศิษย์พี่ป๋าย!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นห่วงแต่จางต้าพั่ง ตอนที่คนเหล่านี้คารวะ เขาจึงแค่พยักหน้าแล้วทะยานจากไปไกล ด้วยตบะรวมโอสถช่วงท้ายของเขาในตอนนี้ เมื่อระเบิดความเร็วทั้งหมดรุ้งเส้นยาวของเขาจึงพุ่งแหวกอากาศไปอย่างรวดเร็ว

ทะยานผ่านคล้ายบุกราบเป็นหน้ากลองไปตลอดทาง แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้ามาขัดขวางแม้แต่นิดเดียว ต่อให้เป็นคนจากศาลาอื่นที่บินผ่านก็ยังไม่มีใครคิดขวางทาง

เพราะอย่างไรซะการที่อยู่อันดับสิบบนกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราก็มากพอจะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ดื่มดำกับสิทธิพิเศษมหาศาลจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เวลานี้ระหว่างที่ห้อทะยานไปจึงใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งก้านธูป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาถึงศาลาปราบมาร

เพิ่งจะเหยียบเข้ามาในพื้นที่ของศาลาปราบมาร นักพรตของศาลาปราบมารก็พากันเดินออกมาคารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน สีหน้านั้นแฝงไว้ด้วยความเคารพยำเกรง ซึ่งสายตาเคารพยำเกรงนี้ไม่เหมือนกับช่วงก่อนหน้า

ก่อนหน้านี้ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ได้ฝ่ากระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา แม้ว่าทุกคนจะให้ความเคารพเขาแต่ก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น ทว่าส่วนลึกในใจกลับดูหมิ่นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นแค่จิ้งจอกอวดอ้างบารมีเสือ

แต่ภายหลังเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในอันดับสี่ร้อยกว่า พวกเขาถึงได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนไปเล็กน้อย จนกระทั่งวันนี้ที่ดวงดาวของป๋ายเสี่ยวฉุนลอยขึ้นไปบนอยู่สายรุ้งสีม่วง ท่าทีที่พวกเขามีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

“คารวะศิษย์พี่ป๋าย!”

“ศิษย์พี่ป๋าย…”

น้ำเสียงประเภทนี้ทยอยกันดังออกมาจากปากของนักพรตรอบด้านหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทะยานเข้ามาในศาลาปราบมาร ซึ่งในบรรดานั้นก็มีหลายคนที่

ป๋ายเสี่ยวฉุนคุ้นหน้าคุ้นตาดี โดยเฉพาะอวิ๋นเต้าจื่อที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตำหนักใหญ่ศาลาปราบมาร พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ทั้งยังประสานมือโค้งตัวคารวะต่ำอย่างเกินจริงไปมากอีกด้วย

“ยินดีกับศิษย์พี่ป๋ายด้วย!”

เสินซ่วนจื่อ สวีเป่าไฉและเฉินม่านเหยาต่างก็อยู่นอกตำหนักใหญ่ หลังจากเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนพวกเขาสามคนล้วนเผยสีหน้าตื่นเต้นฮึกเหิม

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วพยักหน้าให้กับทุกคน จากนั้นจึงเดินดุ่มเข้าไปในตำหนักใหญ่ของศาลาปราบมารด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วก็มองเห็นจางต้าพั่งที่ร่างกายผอมแห้งราวกับโครงกระดูกที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางตำหนักใหญ่ได้ทันที บนใบหน้าของเขาเผยความเจ็บปวด พลังแห่งชีวิตมืดดับจนแทบจะหายเกลี้ยง ตลอดทั้งร่างอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย หากไม่เป็นเพราะข้างกายมีเฝิงโหย่วเต๋อคอยใช้ตบะก่อกำเนิดประคองชีวิตให้แก่เขาอยู่ตลอดเวลา เกรงว่าเขาก็คงตายไปนานแล้ว

“ท่านผู้อาวุโสเจินเหริน ข้านำพลังคนฟ้ามาแล้วขอรับ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีแต่ความกังวลเต็มหัวใจพอมองเห็นสภาพของจางต้าพั่งในตอนนี้ในใจก็ยิ่งร้อนรน รีบหยิบเอาใบไม้ธาตุไม้ที่ตนได้รับมาออกมาทันที

แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปาก เฝิงโหย่วเต๋อก็เงยหน้าขึ้นแล้วยกมือขวาขึ้นคว้าจับกลางอากาศ ใบไม้ในมือป๋ายเสี่ยวฉุนจึงบินออกมาลอยอยู่เหนือศีรษะของจางต้าพั่งทันที

เฝิงโหย่วเต๋อสีหน้าเคร่งขรึม ทำมุทราชี้ไปยังใบไม้แผ่นนั้น ใบไม้นั่นสั่นไหวเบาๆ แล้วก็เปล่งแสงสีเขียวออกมา ทันใดนั้นปราณสีเขียวเป็นเส้นๆ ที่ออกมาจากใบไม้ก็ลอดทะลุเข้าไปในร่างของจางต้าพั่งอย่างรวดเร็ว

จางต้าพั่งสั่นเยือกไปทั้งร่าง ความเจ็บปวดบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป และใบหน้าก็เริ่มมีเลือดฝาดแดงปลั่งน้อยๆ หลังจากที่ไอหมอกซึ่งโอบล้อมอยู่รอบกายเขาลอดเข้าไปอยู่ในร่างกายของเขาแล้วก็เป็นครั้งแรกที่มัน…ไม่ได้กระจายไปในร่างกาย แต่ค่อยๆ มารวมตัวกันอยู่ช้าๆ ในจุดตันเถียน

พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเช่นนี้อารมณ์ตึงเครียดถึงพอจะคลายลงมาได้บ้างเล็กน้อย เฝิงโหย่วเต๋อเองก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วลุกขึ้นยืน

“มีพลังของคนฟ้าช่วยเหลือ การรวมโอสถของศิษย์พี่ใหญ่เจ้าจะไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้ว เพียงแต่ว่าพลังชีวิตของเขาถูกเผาผลาญมากเกินไป การรวมโอสถครั้งนี้เกรงว่าคงต้องใช้เวลานานครึ่งปีถึงจะยุติลงได้ เอาเถอะ…ให้เขาอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”

เฝิงโหย่วเต๋อเอ่ยปากเนิบช้า

“ขอบพระคุณเจินเหรินมากขอรับ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนซาบซึ้งใจ ประสานมือคารวะต่ำๆ หนึ่งครั้ง แล้วก็มองไปยังจางต้าพั่ง หลังจากแน่ใจว่าจางต้าพั่งไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ เขาถึงได้วางใจอย่างแท้จริง พอหัวใจคลายความกดดัน ความรู้สึกเหนื่อยล้าจึงพลันแผ่ไปทั่วเรือนร่าง

สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว การต่อสู้กับรูปปั้นของกงซุนหว่านเอ๋อร์ไม่เพียงแต่เผาผลาญตบะของเขาไป ยังเผาผลาญกำลังกาย บวกกับใจที่เป็นกังวลกับความเป็นความตายของจางต้าพั่งด้วย ทว่าในที่สุดตอนนี้เรื่องทุกอย่างก็คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น เขารู้ว่าจางต้าพั่งต้องการความสงบ ดังนั้นหลังจากที่ออกมาจากตำหนักใหญ่จึงไม่ได้กลับถ้ำของตัวเอง แต่หาที่พักว่างแห่งหนึ่งในศาลาปราบมารแล้วนั่งสมาธิเข้าฌาน พักผ่อนและพักฟื้นร่างกาย

การพักผ่อนครั้งนี้กินเวลานานสามวัน

ภายในสามวันมานี้ ความครึกโครมของตลอดทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดารายังคงทะยานสูงอย่างต่อเนื่อง ชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนเลื่องระบือไปแปดทิศนานแล้ว อีกทั้งความเป็นมาของเขาก็ยังถูกคนสืบหามาจนรู้แน่ชัด ส่วนสำนักสยบธาร…ก็เริ่มถูกนักพรตของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารายกมาพูดถึง

เพราะอย่างไรซะ…ในสิบอันดับแรกของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราก็มีถึงสองคน…ที่มาจากสำนักสยบธาร!

“สำนักสยบธารแห่งนี้…ไม่ธรรมดาเลย!”

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวประกันสองคนของสำนักสยบธารต่างก็อยู่ในสิบอันดับแรก!”

“ข้ายังได้ยินมาด้วยว่าตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้นจากสำนักสยบธารมายังพาผู้พิทักษ์มาส่วนหนึ่งด้วย…คิดๆ ดูแล้วผู้พิทักษ์เหล่านั้นก็คงจะไม่ธรรมดามากเหมือนกัน!” ขณะเดียวกันกับที่คำวิพากษ์วิจารณ์มากมายแพร่ไปทั่วสำนัก ตัวตนของเหล่าผู้พิทักษ์ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกขุดค้นขึ้นมาพร้อมกัน

ซ่งเชวีย จางต้าพั่ง สวีเป่าไฉ่ เสินซ่วนจื่อ เฉินม่านเหยา ชื่อของพวกเขาทั้งห้าคนค่อยๆ ปรากฏอยู่ในหัวข้อพูดคุยเหล่านี้ สำหรับเรื่องนี้สวีเป่าไฉไม่รู้สึกอะไร แถมยังคิดว่าเป็นเกียรติมากด้วยซ้ำ แต่สำหรับซ่งเชวียแล้วนี่กลับทำให้ความไม่ยินยอมในใจเขาทะยานสูงขึ้นอย่างดุเดือดอีกครั้ง

ดังนั้นวันที่สี่ซ่งเชวียจึงเดินพรวดออกไปจากถ้ำของตัวเอง ตรงดิ่งไปที่กระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา เขาต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าแม้เขาซ่งเชวียจะสู้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเท่าใดนัก

การฝ่าด่านของซ่งเชวีย เนื่องจากเขาคือผู้พิทักษ์ของป๋ายเสี่ยวฉุน ดังนั้นจึงก่อให้เกิดความฮือฮาเล็กๆ ขึ้นมา โดยเฉพาะสุดท้ายแล้วอันดับของเขาอยู่ที่หกร้อยกว่า ความฮือฮานี้จึงค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย

และหลังจากซ่งเชวีย เฉินม่านเหยาเองก็เหยียบเข้าสู่กระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราเช่นกัน อันดับไม่สูงไม่ต่ำ พอๆ กับซ่งเชวีย

หรือแม้แต่เสินซ่วนจื่อเองก็ยังไปฝ่าด่านเพราะความไม่ยอมน้อยหน้า ทุ่มเทจนสุดพลัง สุดท้ายอยู่ในอันดับที่เก้าร้อยกว่า

ส่วนสวีเป่าไฉหลังจากที่ลังเลอยู่พักใหญ่เขาก็ยังไม่กล้าพอ ครุ่นคิดว่าต่อให้ตัวเองไปก็เข้าไปอยู่หนึ่งพันอันดับแรกไม่ได้ งั้นก็อย่าไปให้ขายหน้าเลยจะดีกว่า

แม้สวีเป่าไฉ่จะไม่ได้ไป ทว่าการฝ่ากระดานของซ่งเชวีย เฉินม่านเหยาและ

เสินซ่วนจื่อกลับยกระดับชื่อเสียงให้กับสำนักสยบธารอีกครั้ง จนผู้นำของสายรุ้งแดนฟ้าถึงกับออกคำส่งด้วยตนเองว่าให้ส่งข่าวนี้ไปแจ้งให้ทางสำนักสยบธารทราบ ทั้งยังส่งของกำนัลอีกส่วนหนึ่งไปพร้อมกันด้วย

ของกำนัลเหล่านั้นไม่ถือว่าสำคัญอะไร แต่ท่าทีของผู้นำแดนฟ้าต่างหากที่ถือเป็นกุญแจสำคัญ อีกทั้งด้วยการแสดงออกของพวกป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ทำให้อีกสามสำนักใหญ่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนกลางจำต้องกริ่งเกรงสำนักสยบธารอย่างห้ามไม่ได้

โดยเฉพาะการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนและกงซุนหว่านเอ๋อร์ต่างก็ติดสิบอันดับแรกก็ยิ่งทำให้อีกสามสำนักตอนกลางพากันตกตะลึง เลือกที่จะสร้างความสัมพันธ์ฉันท์มิตรต่อสำนักสยบธาร และเพิ่มความสนิทสนมชิดเชื้อให้มากขึ้น

ในสำนักสยบธาร หลังจากที่พวกบุรพาจารย์ได้ยินเรื่องพวกนี้แล้วก็พากันคึกคักฮึกเหิมขึ้นทันใด

“เสี่ยวฉุนเด็กคนนี้ ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหนก็เหมือนดาวดวงหนึ่งที่ส่องประกายแสงจนฝุ่นผงมากมายมิอาจบดบังได้!” บุรพาจารย์หันจงแหงนหน้าหัวเราะเสียงดังลั่น

ลูกศิษย์ทุกคนไม่มีใครที่ไม่ปิติยินดี ยิ่งพวกโหวเสี่ยวเม่ยกับซ่งจวินหว่านก็ยิ่งตื่นเต้นเบิกบานเกินผู้ใด

เวลาหนึ่งเดือนผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งเดือนมานี้ชื่อเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายมาเป็นคนที่ไม่มีใครในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราไม่รู้จักอย่างแท้จริง หรือแม้แต่พวกคนฟ้าหลายท่านในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ยังได้ยินชื่อของเขาและเริ่มพากันจับตามอง

ส่วนจางต้าพั่งที่ถึงแม้ว่าจะยังไม่ฟื้นตื่น ทว่าสภาวะกลับคงตัวมากขึ้น ร่างกายก็ไม่แห้งเหี่ยวอีกต่อไป ทั้งยังฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อย ไอหมอกกลุ่มนั้นก็ค่อยๆ ผสานตัวกันอยู่ในร่างกายของเขา ดูท่าแล้วคงไม่มีวิกฤตความเป็นความตายเกิดขึ้นอีก ขอแค่ผ่านไปอีกหลายเดือน เมื่อรวบรวมยาแห่งความคิดได้สำเร็จ เขาก็จะเหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตรวมโอสถ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!