Skip to content

A Will Eternal 451

บทที่ 451 เทพแห่งความรักป๋ายเสี่ยวฉุน

“ข้า…” จ้าวเทียนเจียวอ้าปากหมายจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไรดี เมื่อได้ยินป๋ายเสี่ยวฉุนพูดว่าทุกอย่างมีเขาคอยช่วยเหลือ

ในใจจ้าวเทียนเจียวก็ยิ่งซาบซึ้ง

“หลังจากนั้นก็คือจังหวะและโอกาส ซึ่งตอนนี้ก็คือโอกาสอันดี พวกเราล้วนอยู่บนเรือลำเดียวกัน อีกทั้งพวกท่านยังอาศัยอยู่ชั้นเดียวกันด้วย นี่ก็คือชัยภูมิที่ดี เรียกได้ว่าท่านมีพร้อมทั้งโอกาสทั้งสถานที่ กำลังคนก็มีข้า ต้องสำเร็จแน่นอน!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนตบมือฉาดใหญ่ เสียงดังกว่าเมื่อครู่อีกเล็กน้อย

“รองลงมาจากนั้นก็คือเปลือกหอย อันนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ท่านเองก็น่าจะมีพร้อม สุดท้ายคือเรียบ ข้อนี้ก็สำคัญ มองดูแล้วอาจตรงกันข้ามกับอักษรคำว่าตาย แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ ขณะเดียวกันกับที่ท่านมีความรู้สึกถึงวิกฤต ท่านยังต้องรักษาใจที่เรียบนิ่ง ห้ามให้ใจวุ่นวายเด็ดขาด ต้องสุขุมมีสติ ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องควบคุมให้ได้ จำเอาไว้ว่าทุกอย่างมีข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือด้วยท่าทางฮึกเหิม เสียงของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของการให้กำลังใจ ทำเอาจ้าวเทียนเจียวที่ฟังอยู่เลือดร้อนพลุ่งพล่าน เกิดอารมณ์ห้าวหาญ

พวกเสินซ่วนจื่อที่อยู่ด้านข้างมองป๋ายเสี่ยวฉุนที่ทำท่าพูดจามีเหตุมีผล พอได้ยินคำอธิบายอย่างละเอียดของเขาแล้วในใจแต่ละคนต่างก็ตื่นเต้น ทั้งยังตั้งใจรับฟังอย่างอดไม่ได้ แถมแอบรู้สึกว่าในภายภาคหน้าคำพูดเหล่านี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนอาจช่วยเหลือตนอย่างมากก็เป็นได้

มีเพียงซ่งเชวียเท่านั้นที่ในใจดูแคลน ทว่าขณะเดียวกันก็เริ่มขัดแย้งในตัวเอง ไม่รู้ว่าตนควรจะฟังต่อไปดีหรือไม่

“ท่านอย่าเพิ่งรีบดีใจเกินไปนัก ข้ายังพูดไม่จบ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมเบาๆ หนึ่งครั้ง จ้าวเทียนเจียวจึงรีบยกกาเหล้าขึ้นมารินใส่จอกป๋ายเสี่ยวฉุนจนเต็มด้วยตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่มหนึ่งอึกเพื่อทำให้ลำคอชุ่มชื้นก่อนจะพูดต่อ

“คาถาคำว่าชนะที่พูดเมื่อครู่นี้คือให้ท่านรู้ถึงพื้นฐานประสบการณ์ในการบุกตะลุยสมรภูมิรักมาหลายสิบปีของข้าเทพแห่งความรักป๋ายเสี่ยวฉุน ตอนนี้ข้าจะพูดรายละเอียดให้ท่านฟัง”

“ท่านต้องเข้าใจว่าเมื่ออยู่ในสมรภูมิรักต้องรู้เขารู้เรา รู้จักสนองตอบความต้องการของผู้อื่น หากท่านต้องการให้นางชอบท่าน อันดับแรกที่ท่านต้องโจมตีก็คือญาติสนิทมิตรสหายของนาง เมื่อคนเหล่านี้ล้วนพูดถึงความดีของท่าน ต่อให้ท่านไม่ดี นางก็จะคิดว่าท่านดี!” นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนฉายความมั่นใจทำให้คำพูดของเขายิ่งฟังดูมีพลังน่าเชื่อถือ

เสินซ่วนจื่อที่อยู่ด้านข้างตบขาตัวเองป้าบใหญ่ นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายระยิบระยับ รีบนั่งลงข้างกัน มองนิ่งมายังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยท่าทางเลื่อมใสศรัทธา เขารู้สึกป๋ายเสี่ยวฉุนช่างพูดถูกยิ่งนัก

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เหล่ตามองเสินซ่วนจื่อหนึ่งที หยุดชะงักไปครู่ถึงได้ยอมพูดต่อ

“ท่านต้องรู้ว่าอันที่จริงแล้วผู้หญิงหลายคนไม่มีความรู้สึกปลอดภัยเท่าใดนัก โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรที่โหดร้ายใบนี้ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้น…หากท่านสามารถทำให้นางรู้สึกปลอดภัยได้ ทำให้นางรู้สึกเหมือนเห็นแสงสว่างในราตรีที่มืดมิด นางก็จะเกิดความรู้สึกพึ่งพาท่านอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ หากท่านทำได้เมื่อไหร่ก็เท่ากับว่าท่านประสบความสำเร็จในก้าวแรกแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเนิบนาบ จ้าวเทียนเจียวที่ตั้งใจฟังหน้าบานเป็นกระด้ง ตื่นเต้นถึงขีดสุด

เสินซ่วนจื่อกลัวว่าตัวเองจะลืมจึงรีบหยิบเอาแผ่นหยกขึ้นมาบันทึก และยังมีคนติดตามสองคนนั้นของจ้าวเทียนเจียวที่พอมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยความเคารพยำเกรงสุดประมาณ

“สองข้อข้างต้นนั้นหากจะพูดให้ตรงสักหน่อยก็คือเพื่อดึงดูดนาง! และหลังจากที่ดึงดูดความสนใจจากนางได้แล้ว ท่านก็สามารถเริ่มทำตัวให้คลุมเครือ ให้นางรู้สึกว่าท่านลึกลับคาดเดาไม่ได้ นี่เรียกว่านางเข้าหาท่านถอยห่าง นางถอยห่างท่านเข้าหา พอทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายๆ ครั้งย่อมทำให้นางเกิดความรู้สึกว่าอยากจะปล่อยมือแต่ก็ทำไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ หึหึ นางก็ติดเบ็ดแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งพูดยิ่งฮึกเหิม โบกสะบัดชายแขนเสื้อเป็นพัลวัน

“ท่านเห็นไหม ภายนอกนั้นเหมือนว่านางเป็นฝ่ายยอมเข้าใกล้ท่านเอง ทว่าในความเป็นจริงนั้นท่านได้บรรลุถึงเป้าหมายแท้จริงในการไล่จีบนางที่ท่านซุกซ่อนเอาไว้แล้ว!”

“ปีนั้นตอนที่อยู่ในสำนักโลหิต ข้าก็คว้าอาหญิงน้อยของเชวียเอ๋อร์มาครองด้วยวิธีนี้นี่แหละ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวถึงที่มาที่ไป ทั้งยังชี้ไปยังซ่งเชวียที่ยืนอยู่ข้างๆ

ซ่งเชวียสีหน้าดำมืดทันที แต่ในใจกลับประจักษ์แจ้งโดยพลัน ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดอาหญิงน้อยผู้ไม่เคยชายตามองใครถึงได้ปักใจรักมั่นต่อป๋ายเสี่ยวฉุนถึงเพียงนั้น…

“ข้าจะต้องให้อาหญิงน้อยรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ให้ได้!”

ใจซ่งเชวียอยากจะจากไป แต่กลับรู้สึกว่าวิธีเหล่านั้นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดคล้ายจะช่วยตนได้มากเลยตัดใจจากไปไม่ได้อีก ดังนั้นพอหาเหตุผลให้ตัวเองได้ถึงสูดลมหายใจเข้าลึก นั่งเงี่ยหูรับฟังอย่างตั้งใจต่อไป

จ้าวเทียนเจียวตัวสั่นเยือก เขาเห็นสีหน้าของซ่งเชวียก็รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้โกหก ดังนั้นความเชื่อมั่นที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไต่ไปถึงจุดสูงสุด

“ทว่าเมื่อมาถึงตรงนี้ก็ยังไม่ถือว่าท่านได้รับชัยชนะจากสมรภูมิรักครั้งนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ยังมีความเสี่ยงอีกมากรอท่านอยู่ ดังนั้นพวกเราจึงต้องมาเสริมสร้างความมั่นคงกันเสียหน่อย” ป๋ายเสี่ยวเห็นว่าทุกคนตะลึงงันไปกับข้อคิดของตน ในใจก็ยิ่งลำพองใจ สามวันมานี้เวลาที่เขาสื่อสารกับเย่จั้งตัวปลอมก็อึ้งตะลึงไปกับคำพูดบางอย่างของเย่จั้งตัวปลอมเช่นกัน

“ข้ารู้!” จ้าวเทียนเจียวเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ห้าวเหิมทันที

“สร้างความมั่นคงนั้นข้าทำได้ ก็เหมือนกับการบำเพ็ญตบะที่หลังจากฝ่าทะลุสู่ขอบเขตใหม่แล้วจำเป็นต้องทำให้ตบะมั่นคง ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”

“ท่านไม่รู้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนขึงตาใส่พร้อมพูดเสียงดัง

“ท่านคงจะเข้าใจว่าควรจะเพิ่มระดับความลึกซึ้งอย่างไรสินะ แต่นี่ไม่ถูกต้อง ท่านจำเป็นต้องรู้ว่าเวลาไหนควรห่างเวลาไหนควรชิดใกล้ นั่นถึงจะเรียกได้ว่าบรรลุระดับสุดยอดอย่างแท้จริง ท่านต้องกระตุ้นอารมณ์ของนาง ท่านต้องให้นางมีความรู้สึกว่าสามารถสูญเสียท่านไปได้ตลอดเวลา มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นนางถึงจะคว้าท่านไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม!

จะอยู่ด้วยกันนานเกินไปไม่ได้เด็ดขาด มีเพียงทำเช่นนี้นางถึงจะรู้สึกว่าความรักระหว่างพวกท่านได้มาไม่ง่าย จำต้องรู้ค่าและทะนุถนอม นางถึงจะได้ปักใจรักมั่นต่อท่าน ต้องจำไว้ว่ายิ่งได้มาครองง่ายเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่เห็นค่ามากเท่านั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดมาถึงตรงนี้สีหน้าของเขาก็คล้ายกำลังย้อนนึกความทรงจำและปลงอนิจจังเหมือนว่าจมจ่อมอยู่กับประสบการณ์แห่งรักช่วงใดช่วงหนึ่งที่ขมขื่น

ทว่าในความเป็นจริงแล้วเขากำลังคิดว่าควรจะอธิบายข้อคิดหลังจากนี้ที่เย่จั้งตัวปลอมพูดกับตนออกมาเช่นไร ดังนั้นจึงใช้เวลาเกือบครึ่งก้านธูปจัดระเบียบความคิดในสมองของตัวเอง

ทว่าเวลาเกือบครึ่งก้านธูปนี้ทำให้จ้าวเทียนเจียวเลื่อมใสป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างสุดใจแล้ว เขารู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนช่างผ่านประสบการณ์ด้านความรักมามากมายยิ่งนัก

อันที่จริงหากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น ด้วยประสบการณ์ของจ้าวเทียนเจียวเขาย่อมไม่มีทางเชื่อถือง่ายๆ แน่นอน แต่เป็นเพราะร้อนใจกับเรื่องของเฉินเยว่ซานมากเกินไป ทั้งยังสะท้านสะเทือนไปกับคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน

จึงคล้อยตามจังหวะของป๋ายเสี่ยวฉุนไปอย่างง่ายดายจนสูญเสียความสามารถในการวิเคราะห์อย่างที่ควรจะมี…

“ท่านต้องให้เวลากับตัวเองเล็กน้อย แสร้งทำเป็นว่าตนค่อยๆ ยอมรับนางทีละนิด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเบาๆ นัยน์ตายังคงหลงเหลือการย้อนทวนความทรงจำ เขาพึมพำแผ่วเบาคล้ายลืมไปแล้วว่ากำลังช่วยจ้าวเทียนเจียว แต่ยังคงจมอยู่ในความทรงจำของตัวเอง มิอาจเดินออกมาได้

“เมื่อเป็นเช่นนี้พอถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม ท่านสามารถมอบความตกตะลึงระคนดีใจครั้งใหญ่ให้แก่นาง และให้นางกลายมาเป็นคู่บำเพ็ญตบะของท่านอย่างสมเหตุสมผล หลังจากผ่านขั้นตอนเหล่านี้ไปแล้ว เมื่อนางได้รับความดีใจอย่างไม่ทันคาดคิด นางจะต้องซาบซึ้งมากอย่างแน่นอน ถ้าเช่นนี้ก็ยินดีกับศิษย์พี่จ้าวด้วย ท่านทำสำเร็จแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เดินออกมาจากในความทรงจำของตัวเองได้ในที่สุด ดวงตาทั้งคู่จ้องนิ่งไปยังจ้าวเทียนเจียว

“แต่ข้าต้องเตือนท่านไว้ก่อน ศิษย์พี่จ้าว ความรักนั้นไม่ง่าย เรื่องเกี่ยวกับสมรภูมิรัก ท่านได้ใช้เล่ห์กลพิชิตใจนางไปแล้ว ดังนั้นท้ายที่สุดก็ห้ามทอดทิ้งนาง มิฉะนั้นท่านจะต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเน้นย้ำทีละคำ โดยเฉพาะพูดมาถึงประโยคสุดท้ายเขาก็เพิ่มน้ำเสียงให้ดังสนั่นแก้วหู ทำให้จิตใจของจ้าวเทียนเจียวเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง มองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่นานถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก ครั้นจึงลุกขึ้นคารวะโค้งตัวต่ำ

“ข้าจ้าวเทียนเจียวขอสาบานว่าหากได้สมรักกับศิษย์น้องหญิงเยว่ซานเมื่อใด ชีวิตนี้จะมีนางเป็นคู่บำเพ็ญตบะเพียงคนเดียว หากผิดคำสาบาน ขอให้ฟ้าดินลงโทษ!” จ้าวเทียนเจียวสีหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาฉายความหนักแน่น ถ้อยคำที่ใช้ก็ยิ่งเด็ดเดี่ยวแข็งแกร่งประดุจเหล็กและหิน

“ดี หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่เสียแรงที่ข้าเทพแห่งความรักป๋ายเสี่ยวฉุนบอกวิชาลับที่ไม่เคยถ่ายทอดต่อใครให้แก่ท่าน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้าอย่างชื่มชม เผยความอบอุ่นอ่อนโยนราวกับคนที่เป็นผู้ใหญ่ออกมาอย่างอดไม่ได้

“แล้วก็พวกเจ้าด้วย ต้องทำแบบเดียวกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยจบก็หันมามองพวกเสินซ่วนจื่อและซ่งเชวีย

เสินซ่วนจื่อชื่มชมเลื่อมใสป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่นานแล้วจึงเอ่ยคำสาบานออกมาทันที ซ่งเชวียที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนมองมานิ่งๆ ก็รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะจนเกือบจะกล่าวคำสาบานออกไป ยังดีที่ตั้งตัวได้ทันจึงทำเสียงขึ้นจมูกหนึ่งครั้งไม่ยอมพูดอะไร

ส่วนคนติดตามสองคนของจ้าวเทียนเจียวเวลานี้ได้ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเขย่าคลอนจิตวิญญาณไปอย่างสมบูรณ์แบบแล้วจึงรีบเอ่ยคำสาบานเช่นกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หลังจากหยิบจอกเหล้าขึ้นมาจิบอีกหนึ่งคำก็เห็นว่าจ้าวเทียนเจียวกำลังมองตนอยู่ด้วยสายตาที่กระตือรือร้นอย่างหนัก ดังนั้นเขาจึงยิ้มบางๆ พร้อมเชิดคางน้อยๆ

“เรื่องที่ควรพูดข้าก็พูดไปหมดแล้ว ศิษย์พี่จ้าว ท่านสามารถไปเอาใจญาติสนิทมิตรสหายของศิษย์พี่หญิงเยว่ซานได้แล้ว”

“ไม่ได้หรอก เพื่อนสนิทของศิษย์น้องหญิงเยว่ซานนั้นมีไม่มาก มีแค่สองคนเท่านั้น ทว่าเมื่อหลายปีก่อนพวกนางก็ไปอยู่แดนทุรกันดารแล้ว ไม่ได้อยู่ที่นี่ ส่วนญาติของนาง…บิดานางอยู่ที่นี่ก็จริง

แต่นั่นคืออาจารย์ของข้านะ ท่านเข้มงวดกับข้ามาโดยตลอด ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าจะไปประจบเอาใจเขาอย่างไร” จ้าวเทียนเจียวคิดแล้วก็ปวดหัว เริ่มหน้าม่อยคอตก

“สามตาคืออาจารย์ของท่าน?”

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง พอคิดได้ว่าผู้เฒ่าสามตาชื่อเฉินเห้อซานจึงเอ่ยถาม

จ้าวเทียนเจียวไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ใจอยากจะแก้ไขคำเรียกขานที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีต่ออาจารย์ของตน ทว่าอย่างไรซะตอนนี้ตนก็มาขอความช่วยเหลือจากป๋ายเสี่ยวฉุน ดังนั้นจึงได้แต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนเร่าในใจขึ้นมาทันที

เขารู้สึกว่าหากตนสามารถทำให้จ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซานสมรักกันได้ก็เท่ากับว่าตนมีที่พึ่งพิงเป็นคนฟ้าคนหนึ่ง ดังนั้นในสมองจึงครุ่นคิดหาวิธีช่วยเหลือ

จ้าวเทียนเจียวทันที

ผ่านไปครู่ใหญ่ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปล่งประกาย

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราเปลี่ยนวิธีกัน ท่านจำเป็นต้องดึงดูดความสนใจจากศิษย์พี่หญิงเยว่ซาน พวกเราต้องรู้ก่อนว่านางชอบผู้ชายนิสัยอย่างไรกันแน่”

“เรื่องนี้ข้าไม่รู้หรอก” จ้าวเทียนเจียวยังคงหน้ามุ่ยเช่นเดิม

“ไม่เป็นไร ทุกอย่างมีข้า เรื่องนิสัยใจคอนี่อันที่จริงสามารถแสดงออกผ่านอาภรณ์ได้ เอาอย่างนี้ ข้าจะจัดการให้ท่านเอง ท่านต้องเปลี่ยนชุดใหม่ทุกวัน ดูสิว่านางชอบชุดแบบไหนมากที่สุด” ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนมีภาพจ้าวเทียนเจียวที่สวมใส่ชุดไม่เหมือนกันลอยขึ้นมาก็ยิ่งรู้สึกว่าแผนการนี้ของตนช่างสมบูรณ์แบบหาที่ติไม่ได้ ดังนั้นจึงดึงเอาตัวจ้าวเทียนเจียวเข้ามาใกล้แล้วกระซิบกระซาบบอกกับเขาว่าต้องเตรียมอาภรณ์แบบใดบ้าง

จ้าวเทียนเจียวหน้าเปลี่ยนสี เบิกตากว้าง สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าเกือบจะบูดเบี้ยวเป็นลูกมะระ

“จะเอาอย่างนี้จริงๆ หรือ?”

“ต้องแบบนี้แหละ! ท่านสังเกตสีหน้าของนาง ไม่ว่าจะมองเมินหรือขมวดคิ้วต่างก็หมายความว่าไม่ชอบ หากนางมองอยู่หลายครั้งนั่นแสดงว่าชอบ แล้วท่านก็เอามาบอกข้าทันที” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างจริงจัง

จ้าวเทียนเจียวคิดอยู่นาน พวกเสินซ่วนจื่อเองก็ใคร่รู้ ไม่รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนให้จ้าวเทียนเจียวสวมใส่อาภรณ์แบบใดกันแน่ถึงทำให้จ้าวเทียนเจียวคิดไม่ตกขนาดนี้

ผ่านไปครู่ใหญ่จ้าวเทียนเจียวก็กัดฟันกรอด พยักหน้าตอบรับคล้ายยอมทุ่มสุดตัว

“ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!