Skip to content

A Will Eternal 465

บทที่ 465 สัตว์เมฆาแห่งแดนทุรกันดาร

ภาพเหตุการณ์เหล่านี้พิลึกพิลั่นเกินกว่าการเดินทางช่วงแรกมากนัก เมื่อเทียบกันแล้วจากนครทะเลบูรพามาถึงนครเขตแดนถือว่าราบรื่นมาตลอดทาง แม้จะมีคลื่นลมเล็กน้อยทว่าก็ยังถือว่าราบเรียบไม่น้อย

แต่จากนครเขตแดนมาถึงนครกำแพงเมืองกลับเจอคลื่นลมลูกใหญ่ที่ถาโถมราวกับต้องการม้วนกวาดฟ้าและดิน ไม่ว่าจะเป็นพืชพรรณหรือสัตว์ร้าย เรื่องราวแปลกประหลาดเหล่านี้ต่างก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญหาย ไม่เพียงเขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ แม้แต่จ้าวเทียนเจียวที่มีตบะแกร่งกร้าวและกล้าหาญชาญชัย ตลอดทางมานี้ก็ยังระมัดระวังทุกก้าวย่างราวกับเหยียบอยู่บนน้ำแข็งชั้นบาง

สีหน้าของเฉินเยว่ซานซีดขาวน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา ส่วนผู้ติดตามที่เหลือเหล่านั้นก็ยิ่งหวาดผวาพรั่นพรึงกันอยู่หลายครั้ง แถมเวลาส่วนใหญ่ก็มักจะตกใจสนเท่ห์ไม่คลาย แค่มีลมพัดใบไม้ไหวนิดหน่อยก็ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนพืชหญ้าเหล่านั้นกลายมาเป็นกองทหารเสียทั้งหมด

ที่นี่แตกต่างไปจากโลกที่พวกเขาเคยรู้จักมาอย่างสิ้นเชิง ปราณวิญญาณยิ่งเบาบางลง และที่ยิ่งทำให้พวกจ้าวเทียนเจียวหายใจลำบากก็คือแม้แต่การบินก็ยังต้องเอาอาวุธออกมาใช้ อาศัยหินวิเศษในการขับเคลื่อน

ส่วนปราณวิญญาณในตัวเองหากเป็นไปได้พวกเขาจะไม่มีทางไปแตะต้องเด็ดขาด อีกทั้งเพื่อไม่ให้ปราณวิญญาณในร่างแผ่กระจายออกไปข้างนอก

จ้าวเทียนเจียวยังปิดผนึกตัวเองอย่างไม่เสียดายด้วย

คนอื่นๆ ก็ล้วนทำตามกัน ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุน เขาทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว…

ถึงแม้การปิดผนึกร่างของตัวเองจะลดระดับความเฉียบไวในการรับสัมผัสลง ทว่ามันก็สามารถแก้ปัญหาไม่ให้ปราณวิญญาณสลายตัวออกไปด้านนอกได้

ทำให้เมื่อพวกเขามาอยู่ท่ามกลางฟ้าดินที่ปราณวิญญาณเบาบางเช่นนี้ก็เหมือนเป็นร่างแยกเดี่ยวที่ไม่ผสานรวมเข้ากับฟ้าดิน

ทว่าด้วยวิธีการเช่นนี้ ถึงแม้จะแก้ปัญหาการไหลออกของปราณวิญญาณได้ แต่กลับไม่สามารถแก้ไขวิกฤตที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณที่คำรามผ่านไปเป็นกลุ่ม หรือสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดบางอย่างที่ผลุบๆ โผล่ๆ ให้เห็นเป็นบางครั้งต่างก็ทำให้พวกป๋ายเสี่ยวฉุนต้องเพิ่มความระมัดระวังกันไปตลอดทาง

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ วันนี้หลังจากที่พ้นจากนครเขตแดนมาได้สองเดือน ขณะที่พวกเขากำลังนั่งทำสมาธิอยู่บนเรือยาวอันเป็นอาวุธของจ้าวเทียนเจียว ทันใดนั้นห่างออกไปไกลก็มีเสียงคำรามรวดร้าวดังลอยมา

เสียงนี้บาดแก้วหูจนคล้ายจะสามารถทะลุทะลวงตราผนึกพุ่งตรงเข้าไปยังจิตวิญญาณของทุกคน จ้าวเทียนเจียวเบิกตาโพลง ม่านตาทั้งคู่หดตัวลง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ใจหายวาบ ขณะที่สูดลมหายใจเขาก็ลืมตาขึ้นมาด้วย แล้วก็เห็นทันทีว่าชั้นเมฆบนท้องฟ้าเบื้องหน้าคล้ายถูกใครควบคุมให้พุ่งจากสี่ด้านแปดทิศมารวมตัวกัน

มองออกไปก้อนเมฆรอบด้านไหลทะลักทลาย กองทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ทั้งยังก่อตัวกันขึ้นมาเป็นแมลงเปลือกแข็งขนาดใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งบนท้องฟ้าที่ห่างออกไปไกล ร่างกายของแมลงเปลือกแข็งนี้ใหญ่มโหฬารเกินจะเปรียบซึ่งเหมือนจะใหญ่พอพันจั้ง แม้ว่าจะเกิดจากการรวมตัวกันของชั้นเมฆ แต่ก็มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ามันกลับกลายมาเป็นสีดำ!

แมลงเปลือกแข็งสีดำตัวใหญ่มหึมานับพันจั้งนี้สกัดขวางหนทางเบื้องหน้าเอาไว้ อีกทั้งยังมีเสียงร้องคำรามน่าหวาดหวั่นดังออกมาจากในแมลงเปลือกแข็งและสั่นคลอนไปทั่วทิศด้วย

“สัตว์เมฆาแดนทุรกันดาร!!” เฉินเยว่ซานร้องอุทานเสียงหลง จ้าวเทียนเจียวหน้าเปลี่ยนสี พวกผู้ติดตามของเขาก็ตัวสั่นกันไม่หยุด

“สัตว์เมฆาแดนทุรกันดารนี้มีความเป็นมาไม่รู้ชัด สาเหตุที่ก่อตัวกันก็ไม่รู้ชัด ตามคำบันทึกดูเหมือนว่าบนพื้นแผ่นดินของแดนทุรกันดาร ต่อให้เป็นในกำแพงเมืองก็ยังสามารถรวมตัวกันขึ้นมาได้เอง!”

“ไม่มีเรือนกายที่เป็นรูปธรรมราวกับว่าการดำรงอยู่ทั้งหมดล้วนสามารถก่อตัวขึ้นมาเป็นสัตว์เมฆาได้จากความว่างเปล่า จะมาในรูปแบบพืชหรือหญ้าก็ได้หมด ตอนนี้ที่เห็นคือเป็นลักษณะของแมลงเปลือกแข็ง!”

“สัตว์เมฆาจะพูดว่าเป็นสัตว์ก็ไม่ได้ ควรจะเรียกมันว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศอย่างหนึ่งจะเหมาะกว่า!”

“สัตว์เมฆาตัวใหญ่ขนาดนี้ต้องดึงดูดความสนใจจากนครกำแพงเมืองแน่นอน!” ขณะที่จ้าวเทียนเจียวพูดรัวเร็ว เขาก็รีบควบคุมเรือบินให้เลี่ยงออกไปจากแมลงเปลือกแข็งที่ห่างไปไกลนั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนเวลานี้สูดลมหายใจหนักๆ ความรู้สึกถึงวิกฤตอันรุนแรงแผ่ซ่านขึ้นมากลางใจของเขาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้นกำเนิดของความรู้สึกถึงวิกฤตนี้ก็คือแมลงเปลือกแข็งตัวนั้น

ทว่าวินาทีที่ทุกคนหมายจะเปลี่ยนทิศทางนั้นเอง เสียงคำรามแหบโหยในร่างของแมลงเปลือกแข็งขนาดหนึ่งพันจั้งพลันหยุดชะงัก แล้วก็มีสายตาเย็นเยียบเส้นหนึ่งพุ่งออกจากตัวแมลงเปลือกแข็งมาตกอยู่บนร่างของทุกคน

ลำพังเพียงแค่เส้นสายตาก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกขวัญหนีกระเจิดกระเจิง ในสมองเกิดเสียงตูมดังหนึ่งครั้ง คนอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ต่อให้เป็นจ้าวเทียนเจียวก็ยังมีเหงื่อผุดพรายออกมาตรงหน้าผาก

ยังไม่ทันรอให้ทุกคนตั้งตัวได้ แมลงเปลือกแข็งใหญ่ยักษ์นั่นก็แผดเสียงคำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดิน แล้วอยู่ๆ ก็พลันอ้าปากออกกว้างก่อนจะสูบอย่างแรง…

การสูบครั้งนี้ทำให้สายลมและอสนีบาตซัดโถมครืนครั่น แรงดูดมหาศาลระลอกหนึ่งปรากฏพรวดขึ้นมาท่ามกลางฟ้าดิน ประหนึ่งว่าปากใหญ่ของแมลงเปลือกแข็งได้กลายมาเป็นหลุมดำที่ต้องการดูดกลืนทุกอย่างเข้าไป

พื้นแผ่นดินสั่นสะเทือน เมล็ดทราย ก้อนหินและก้อนกรวดจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวคละคลุ้ง ชั้นเมฆบิดเบือน และนกหน้าตาดุร้ายกลุ่มหนึ่งที่บินห่างออกไปไกลซึ่งเวลานี้กำลังร้องโหยหวนเพราะร่างถูกดูดเข้าไปอย่างมิอาจควบคุมได้

แผ่นดินสั่นไหว หรือแม้แต่ภูเขาลูกเล็กๆ ที่เมื่ออยู่ใต้แรงสูบนี้ก็ยังถูกถอนกระชากขึ้นมาแล้วถูกดูดเข้าไป

ภาพนี้ทำให้จิตวิญญาณของพวกป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดคลื่นยักษ์ถาโถม ทุกคนรั้งตัวแน่นให้อยู่บนเรือ แม้แต่ผมและอาภรณ์ หากไม่เป็นเพราะใช้พลังวิญญาณป้องกันเอาไว้เกรงว่าก็คงฉีกขาด ยุ่งเหยิงไปแล้ว ทว่าตอนนี้เรือก็เริ่มบิดๆ เบี้ยวๆ มิอาจหลุดพ้นแรงดึงดูดนั้นได้

เมื่อมองไกลๆ ภาพเหตุการณ์น่าหวาดหวั่นที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้านี้คือภาพแมลงเปลือกแข็งสีดำที่ราวกับกลายร่างมาเป็นน้ำวนซึ่งกำลังดูดดึงทุกสิ่งอย่างต่อเนื่อง และเรือลำน้อยก็เป็นราวกับกิ่งไม้ที่อยู่บนมหาสมุทรพิโรธ มันหมุนคว้างไม่หยุดคล้ายว่าสามารถพังทลายลงได้ทุกเมื่อ!

จ้าวเทียนเจียวร้อนใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ร้อนรน ทุกคนต่างก็กระวนกระวายกันหมด เวลานี้ไม่สนใจอีกแล้วว่าต้องประหยัดปราณวิญญาณ ทุกคนระเบิดตบะทั้งหมดที่มีออกมาควบคุมเรือ ใช้ตัวเองกับหินวิเศษที่อยู่ในตัวร่วมกระตุ้นเรือลำน้อยไปพร้อมกัน หมายจะพุ่งออกไปจากน้ำวนนี้ให้ได้

เสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหวไม่หยุด ไม่นานหินวิเศษที่ฝังเลื่อมอยู่บนเรือลำนี้ก็พากันสาดประกายแสงเจิดจ้า ก่อนจะมีเสียงดังปุ๊งๆๆ แล้วแตกกระจายกลายเป็นเถ้าธุลีทั้งหมด

อาศัยแรงการแตกสลายนี้ประสานกับตบะของทุกคน ในที่สุดเรือรบลำนี้ก็ส่งเสียงร้องคำรามด้วยความเดือดดาลคล้ายพยายามดิ้นรน จนกระทั่งพุ่งพรวดออกไปไกลจากแรงดึงดูดนี้ได้ในที่สุด

เมื่อห่างออกมาแล้ว แมลงเปลือกแข็งสีดำที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาก็แผดเสียงร้องคลุ้มคลั่งตามหลังมา ทว่าไม่ได้ไล่ตามต่อ แค่จ้องมองเรือลำน้อยที่ห่างออกไปไกลด้วยสายตาเย็นชาเท่านั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนหอบหายใจหนักหน่วง ในสมองว่างเปล่าขาวโพลน เวลานี้เขากรอกตบะทั้งหมดลงไปในเรือรบ คนที่เหลือก็ทำเช่นเดียวกัน แถมพวกเขายังทุ่มสุดกำลังเพื่อเผ่นหนีไปให้ไกล หลังจากหนีมาได้ไกลมากแล้ว เรือลำนี้ก็ค่อยๆ เคลื่อนช้าลงจนกระทั่งจอดลงบนภูเขาลูกหนึ่ง พวกเขาถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด ทุกคนมองหน้ากันไปมา ต่างก็มองเห็นถึงความหวาดผวาที่ยังไม่หายไปจากใจของแต่ละคน

“สัตว์เมฆานั่น…อย่างน้อยก็มีพลังก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ…”

“สัตว์เมฆา…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหันกลับไปมองด้านหลังที่ห่างออกไปไกล เขารู้สึกว่าเมื่อครู่นี้ตนเพิ่งจะเก็บเอาชีวิตน้อยๆ ของตัวเองกลับมาได้ หากเรือลำนี้มิอาจสลัดพ้น เขาก็ไม่รู้ว่าหลังจากถูกสัตว์เมฆานั่นกลืนเข้าไปตัวเองจะเป็นอย่างไร

เรื่องนี้ไม่มีคำตอบ ในแดนทุรกันดาร การปรากฏตัวของสัตว์เมฆาไม่เพียงแต่ทำให้นักพรตปวดหัว แม้แต่พวกชนพื้นเมืองของแดนทุรกันดารเองก็ยังปวดขมับไม่ต่างกัน นี่คือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ไม่ได้เกิดขึ้นจากพลังคน อีกทั้งสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่ถูกเขมือบกลืนเข้าไปก็ไม่มีใครได้รอดชีวิตกลับมา

ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าหลังจากถูกกินเข้าไปแล้วจะต้องเผชิญกับสิ่งใด และได้เห็นอะไร…

“ที่นี่ทำไมถึงมีสิ่งประหลาดแบบนี้อยู่ได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วมุ่น ถอนหายใจเฮือกๆ

“พวกเรามีป้ายตัวตน อยู่ที่นี่…ขอแค่ระมัดระวังให้มากหน่อยก็น่าจะ…ไม่มีปัญหาอะไรมาก นอกเสียจากว่าออกไปจากนครกำแพงเมืองและไปอยู่โลกภายนอก…”

จ้าวเทียนเจียวสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยปลอบใจ

เฉินเยว่ซานพยักหน้าด้วยใบหน้าซีดขาว ในพื้นที่ว่างเปล่าร้างผู้คนแห่งนี้ พวกเขาได้แต่เชื่อในพลังของป้ายตัวตน เชื่อว่าอย่างไรซะที่นี่ก็ยังอยู่ในกำแพงเมือง สำหรับลูกศิษย์สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแล้วที่นี่น่าจะปลอดภัยไม่น้อย

“จริงหรือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตามู่ทู่ รีบหยิบเอาป้ายตัวตนออกมา ตอนนี้เขาเริ่มเสียใจแล้วที่ติดตามจ้าวเทียนเจียวมาถึงที่นี่ ครุ่นคิดว่าหากตัวเองซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ กับนครทะเลบูรพาไปตลอดสิบปีก็ดีน่ะสิ อย่างไรก็ย่อมปลอดภัยมากกว่าที่นี่อยู่แล้ว

ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดดำ และการพังทลายของหินวิเศษในเรือรบรวมไปถึงการพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูงสุดตลอดทางทำให้เรือลำนี้เกิดรอยปริร้าวมากมายจนมิอาจนำมาใช้ต่อได้อีก

ยังดีที่การเดินทางครั้งนี้พวกจ้าวเทียนเจียวเตรียมตัวมาพร้อม หลังจากพักผ่อนในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เฉินเยว่ซานก็หยิบเอาเรือรบอีกลำหนึ่งออกมา พอบรรจุหินวิเศษไว้เรียบร้อยทุกคนถึงได้เดินทางกันต่อ

เพียงแต่ว่าการเดินทางในช่วงต่อมาพวกเขาต่างก็ระมัดระวังตัวกันมากขึ้น อีกทั้งเนื่องจากตบะในร่างเผาผลาญมากเกินไป แถมปราณวิญญาณฟ้าดินก็เบาบางอย่างยิ่ง พวกเขาจึงทำให้ได้เพียงอาศัยหินวิเศษมาฟื้นตัว ถึงแม้จะใช้เวลานานแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วสองเดือน สองเดือนมานี้กลุ่มของป๋ายเสี่ยวฉุนได้เจอกับวิกฤตอีกบางส่วน ยังดีที่ต่างก็รอดผ่านมาได้อย่างปลอดภัย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่าความเหนื่อยล้าในจิตใจกลับยิ่งเข้มข้นมากขึ้นทุกที

ยังดีที่เมื่อฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าตบะของพวกเขาจะไม่กลับไปสู่สภาวะสมบูรณ์แบบ ทว่าก็ฟื้นตัวมาได้ถึงเจ็ดแปดส่วน นี่ถึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาได้บ้าง

“ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าในกำแพงเมืองจะมีอันตรายมากถึงขนาดนี้…ไม่รู้ว่านอกกำแพงเมืองจะเป็นอย่างไรบ้าง…” จ้าวเทียนเจียวทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง ก่อนจะเงยหน้าทอดสายตามองไปไกล

“เสี่ยวฉุน เป้าหมายของข้ายังไม่เปลี่ยน พอไปถึงนครกำแพงเมืองแล้ว ข้าจะต้องออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกให้ได้ เจ้าจะไปด้วยกันไหม?”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็กำลังมองออกไปไกลด้วยความปลงอนิจจังเช่นกัน แต่พอได้ยินคำพูดของจ้าวเทียนเจียวเขาก็รีบส่ายหัวทันที

“ข้าไม่ไป…เอ่อ…ข้ารู้สึกว่าข้าควรจะทำความคุ้นเคยกับในนครกำแพงเมืองเสียก่อน ต้องรู้เราให้เรียบร้อย ถึงจะรู้เขาได้อย่างไรล่ะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!