Skip to content

A Will Eternal 471

บทที่ 471 เจ้าอยากเข้าร่วมกองถลกหนังจริงๆรึ

“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนน่ะหรือจะกลัว?” ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจ พยายามวางมาดเคร่งขรึมดุดันดั่งชายผู้กล้าหาญราวกับหากใครกล้าว่าเขาอีกประโยคเดียว เขาก็จะสู้ตายทันที

บวกกับการขว้างรวมยาวิญญาณออกไปเมื่อครู่นี้ที่ได้ผลลัพธ์ซึ่งสร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับทุกคน พริบตาเดียวรอบด้านก็เงียบสงัดลงไปอีกครั้ง เมื่อนักพรตกองถลกหนังที่อยู่บนกำแพงเมืองหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาก็ล้วนอ้าปากกว้างมองตาค้าง ก่อนที่สายตาจะเผยความกระตือรือร้นอย่างเร่าร้อน

แม้แต่จ้าวเทียนเจียวเองก็ยังลมหายใจชะงักค้างอย่างอดไม่อยู่ เมื่อครู่นี้เขาก็แค่พูดแซวไปเล่นๆ นึกไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีปฏิกิริยาตอบรับกลับมารุนแรงขนาดนี้ แค่โบกมือก็ดับวิญญาณพยาบาทไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่

อีกทั้งไม่ใช่เพียงแค่ตรงนี้ แม้แต่กลางโลงศพใหญ่ยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในขอบเขตของกองถลกหนังเองก็ยังมีสายตาหนึ่งเส้นที่มีไม่กี่คนสัมผัสได้กำลังมองไกลๆ มายังกำแพงเมือง และคล้ายว่าจะมองมายังร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ค่อยๆ ถอนสายตากลับ

“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนมีอะไรบ้างที่ไม่เคยผ่านมาก่อน ครานั้นที่สำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิตเปิดศึกกันก็ถูกข้าห้ามปรามเอาไว้ ทำให้ทั้งสองสำนักผสานเป็นหนึ่งกำราบโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนล่าง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าทอดสายตามองไปไกล ความเหี้ยมหาญยิ่งแผ่ออกมาเด่นชัดมากเป็นพิเศษ

“และภายหลัง ข้าก็ยิ่งได้เข้าร่วมสงคราม บุกตะลุยกองทัพใหญ่ของนักพรตนับล้าน รวมธาราโอสถ กลืนกินธาราทมิฬ แม้แต่ชื่อสำนักสยบธารนี้ข้าผู้แซ่ป๋ายก็เป็นคนตั้งเอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้ออีกครั้ง มีลมพัดมาจนเส้นผมของเขาปลิวไสว ทำให้เขาในเวลานี้มีพลังอำนาจเหนือล้ำโดดเด่น

“ศึกระหว่างสำนักสยบธารและสำนักธารฟ้า ข้าผู้แซ่ป๋ายก็ไล่สังหารศัตรูตัวฉกาจไปนับไม่ถ้วนอย่างไม่มีติดขัด ทั้งยังควบคุมเรือนกายของบรรพบุรุษโลหิตกำราบต้นไม้ปีศาจมะเดื่อฟ้าอันเป็นพลังแฝงของสำนักธารฟ้าได้สำเร็จ!”

“สหายนักพรตหลี่ เมื่อครู่นี้เจ้าตกใจใช่หรือไม่ว่าเหตุใดข้าผู้แซ่ป๋ายเพิ่งเหยียบลงบนกำแพงเมืองถึงได้ไม่ค่อยตื่นตะลึงไปกับภาพเหตุการณ์การสู้รบเท่าใดนัก ตอนนี้เจ้ารู้สาเหตุแล้วหรือยัง? ตั้งแต่ข้าผู้แซ่ป๋ายฝึกตนมาจนถึงตอนนี้…เคยผ่านสงครามมามากมายยิ่งนัก” บนใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายมีประกายแสงแห่งความยึดมั่นเด็ดเดี่ยวปรากฏออกมา โดยเฉพาะดวงตาของเขาที่บัดนี้ฉายให้เห็นถึงแววของคนที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน น้ำเสียงก็ยิ่งเปลี่ยนมาทุ้มต่ำ

ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกของชายเลือดเหล็กที่ไม่กลัวตายก็ยิ่งรุนแรง ทำให้ทุกคนรอบด้านที่มองดูอยู่ใจสั่นกันไปอีกครั้ง โดยเฉพาะหลี่หงหมิงที่ยิ่งหอบหายใจอย่างหนักหน่วง

พวกเขาไม่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุน อีกทั้งยังเพิ่งเคยเจอกันครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่คล้อยตามท่าทาง พลังอำนาจรวมไปถึงถ้อยคำของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างนี้ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาโง่เขลา แต่เป็นเพราะว่ายารวมวิญญาณที่โยนออกไปได้สร้างความครึกโครมแก่ทั้งสนามรบ มีผลสะเทือนขวัญมากเกินไป ทำให้พวกเขาตะลึงพรึงเพริดอย่างถึงที่สุดจนแม้แต่ความคิดก็ยังหยุดเคลื่อนไหว

หรือแม้แต่พวกชนพื้นเมืองที่อยู่นอกกำแพงเมืองในเวลานี้ก็ยังอกสั่นขวัญหาย รู้สึกเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันก็ถึงกับไม่กล้าเดินหน้าต่อ ส่วนพวกวิญญาณพยาบาทพวกนั้นได้พากันถอยร่นแล้ว…

“เสี่ยวฉุน ศิษย์พี่เข้าใจเจ้าผิดไปเอง” จ้าวเทียนเจียวกล่าวโทษตัวเอง

เขามองป๋ายเสี่ยวฉุน หลังจากที่ย้อนนึกความทรงจำที่ตัวเองเคยใช้เวลาร่วมกับป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็ประสานมือคารวะขออภัย

“ไม่เป็นไร ศิษย์พี่ท่านไม่ใช่คนแรกที่เข้าใจไปว่าข้าป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวตาย อันที่จริงข้าก็กลัวตายจริงๆ นั่นแหละ เพราะข้ากลัวว่าการตายของข้าจะไม่มีความหมาย เพราะข้ากลัวว่าชีวิตของข้าจะไม่มีอนาคต!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลดแขนเสื้อลง น้ำเสียงก็เซื่องซึม ทว่าในใจกลับฮึกเหิม รู้สึกว่าครั้งนี้ตนได้หน้าได้ตาสุดๆ อย่างแท้จริง ต่อไปก็ไม่มีใครกล้าพูดอีกแล้วว่าตนไม่กล้าลงสนามรบ

“เสี่ยวฉุน…” จ้าวเทียนเจียวตัวสั่นเยือก

“ศิษย์พี่จ้าว ความคิดของท่านนั้นข้าเข้าใจ ไม่ต้องพูดมากแล้ว ตอนนี้สงครามยังไม่สิ้นสุด สหายนักพรตหลี่ โอกาสเช่นนี้ยังไม่รีบสั่งความให้เปิดศึกอีกรึ เดี๋ยวโอกาสที่ข้าผู้แซ่ป๋ายสร้างไว้ให้ก็หายไปเสียหรอก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้าเอ่ยเสียงเรียบ

หลี่หงหมิงจึงมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง ไม่ได้พูดอะไรมากความมือขวาก็ยกขึ้นมาชี้ไปข้างนอกกำแพงเมือง

ทันใดนั้นอาวุธจำนวนมากที่อยู่บนกำแพงเมืองก็ดังส่งเสียงสะเทือนเลือนลั่น ลำแสงหลายเส้นพุ่งทะยานออกไป ทั้งยังมีนักพรตจำนวนไม่น้อยที่พากันบินไปข้างนอก เวทอภินิหารห้าแสงสิบสีสาดประกายเต็มท้องนภา

พริบตาเดียวบนสมรภูมิรบก็ดังอึกทึกครึกโครม วิญญาณพยาบาทเหล่านั้นพยายามดิ้นรน ทว่าเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนโยนยารวมวิญญาณออกไปอย่างต่อเนื่อง พวกมันก็แตกฮือจนไม่สามารถรวมกลุ่มกันได้อีก สุดท้ายก็ได้แต่ถอยหลังออกไปอย่างต่อเนื่อง

หลังจากที่โยนยารวมวิญญาณเหล่านั้นออกไปแล้ว เสียงปุ๊งๆๆ ก็ดังสะท้อนไปทั่ว พื้นที่ว่างเปล่าร้อยจั้งแถบแล้วแถบเล่าปรากฏขึ้นให้เห็นในชั่วพริบตา ภายใต้การเก็บกวาดจากยารวมวิญญาณ กระแสวิญญาณที่มองดูแล้วราวกับไร้ที่สิ้นสุดจึงถูกดูดมารวมกันอย่างไม่ขาดสาย เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เสียงคำรามแหบโหยเพราะพยายามดิ้นรนต่อต้านก็ยิ่งดังกังวานไปสี่ทิศ

เมื่อกระแสวิญญาณลดลงอย่างฮวบฮาบ พวกสัตว์ร้ายและชนพื้นเมืองเหล่านั้นจึงไม่มีที่กำบังจนเผยตัวออกมาให้เห็น และก็มิอาจต้านทานการโจมตีจากอาวุธมากมายที่อยู่บนกำแพงเมืองได้ การตายที่ราวกับถูกกวาดทิ้งแผ่ขยายออกไปอย่างบ้าคลั่ง

สำหรับชนพื้นเมืองแล้ว วิญญาณพยาบาทคือรากฐานของพวกเขา การบงการให้วิญญาณพยาบาทโจมตีกำแพงเมืองคือกลยุทธ์ในการสู้รบของแดนทุรกันดาร ทว่าตอนนี้กลยุทธ์ที่ว่านั้นกลับเสียประสิทธิผลไปแล้ว!

จิตวิญญาณของพวกเขาสั่นไหว แต่ละคนล้วนรู้สึกว่าสงครามครั้งนี้พิลึกพิลั่นกว่าครั้งที่ผ่านๆ มากมายนัก หลังจากยืนหยัดอยู่ชั่วครู่แล้วเห็นว่าการตายเกิดขึ้นอย่างมิอาจหยุดยั้ง จึงได้แต่พากันถอยกรูดออกไปอย่างรวดเร็ว

สงครามที่เดิมทีควรจะดำเนินต่อเนื่องไปถึงช่วงเที่ยงคืน ตอนนี้ยังไม่ทันถึงยามสนธยาก็ยุติไปก่อนล่วงหน้าแล้ว เมื่อสงครามยุติลง ในใจของนักพรตกองถลกหนังทุกคนต่างก็บังเกิดความไม่คาดคิด พวกเขาต่อสู้กับวิญญาณพยาบาทและพวกชนพื้นเมืองมานานปี ยังไม่เคยเห็นว่าอีกฝ่ายจะถอยทัพออกไปเร็วขนาดนี้มาก่อน

“ศึกครั้งนี้ต้องขอบคุณสหายนักพรตป๋ายมาก” มองเห็นพวกชนพื้นเมืองของแดนทุรกันดารถอยร่นกระเจิดกระเจิง หลี่หงหมิงก็หันมาคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วกล่าวด้วยความจริงใจ

เพื่อปกป้องกำแพงเมือง นักพรตที่อยู่ด้านในหากไม่ถึงคราวคับขันจริงๆ ก็จะไม่มีทางออกไปไล่ฆ่าด้านนอกเด็ดขาด ยามนี้ไม่เพียงแต่หลี่หงหมิงที่เป็นเช่นนี้ นักพรตของกองถลกหนังทุกคนที่อยู่บนกำแพงเมืองต่างก็หันมาคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน

“ไม่ต้องขอบคุณข้า ทุกอย่างนี้ข้าทำไปเพื่อพื้นที่ของแม่น้ำทงเทียน พวกเราเป็นพี่น้องร่วมมาตุภูมิ ทุกอย่างล้วนทำเพื่อสำนัก!

หากจะขอบคุณจริงๆ ก็ควรจะเป็นข้าป๋ายเสี่ยวฉุนที่ขอบคุณพวกเจ้า หากไม่มีพวกเจ้าคอยปกปักษ์รักษาอยู่ที่นี่มานานปี มีหรือที่พวกเราจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบและบำเพ็ญตบะได้อย่างราบรื่นถึงเพียงนี้!

สหายนักพรตทุกท่าน ขอบคุณพวกท่านมาก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวอย่างเคร่งขรึม ทั้งยังคารวะโค้งตัวลงต่ำ

คำพูดประโยคนี้เด็ดเดี่ยวมีพลังทั้งยังเต็มไปด้วยความจริงใจ ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่มองป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นมิตรมากขึ้น ทั้งยังเห็นด้วยอย่างยิ่ง หลี่หงหมิงก็ยิ่งหัวเราะฮ่าๆ

“พี่จ้าว พี่ป๋าย มาๆๆ วันนี้ต้องให้ข้าผู้แซ่หลี่จัดการเลี้ยงสุราพวกเจ้าให้ได้”

หลี่หงหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดึงเอาพวกป๋ายเสี่ยวฉุนและจ้าวเทียนเจียวลงไปจากกำแพงเมือง

ท่าทีของเขาแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง คอยแนะนำกำแพงเมืองให้อย่างกระตือรือร้น ทั้งยังพูดคุยเรื่องแดนทุรกันดาร และก็ยิ่งไม่ได้พาทุกคนไปส่งที่โรงเตี๊ยม แต่พาไปยังที่พักแห่งหนึ่งซึ่งสถานที่แห่งนี้คือที่อยู่ของหลี่หงหมิง มีหญิงรับใช้เตรียมเหล้ายาอาหารไว้รออยู่แล้วสองโต๊ะ ไม่นานทุกคนก็ร่ำสุราพร้อมพูดคุยกันอย่างครื้นเครง

“พี่จ้าว ออกไปนอกกำแพงเมือง วิกฤตอันตรายมีอยู่ทุกหนแห่ง ข้ารู้ว่าที่มาของเจ้าไม่ธรรมดา และย่อมมีวิธีการรักษาตัวรอด ที่ข้ามีแผ่นหยกอยู่แผ่นหนึ่ง นี่คือแผนที่ที่ข้าทำไว้เวลาออกไปทำภารกิจข้างนอกตลอดหลายปีมานี้ บางทีอาจเป็นประโยชน์กับเจ้า” หลี่หงหมิงยกจอกเหล้าขึ้นมา หลังจากดื่มลงไปหนึ่งอึกก็ส่งแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้กับจ้าวเทียนเจียว

“ขอบคุณมาก!” จ้าวเทียนเจียวพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด

“น้องป๋าย ข้ารู้ว่าเจ้ามีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร วันหน้าหากมีเรื่องใดที่ต้องการให้ข้าผู้แซ่หลี่ช่วย ขอแค่เจ้าเอ่ยปากก็พอ” หลี่หงหมิงมองป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาเผยการยอมรับ เขาเห็นความสำคัญของป๋ายเสี่ยวฉุนจากใจจริง หมายจะผูกมิตรกับอีกฝ่าย

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่พูดมากความ ยกจอกเหล้าขึ้นได้ก็ดื่มลงไปทันที คนทั้งสามมองสบตากันแล้วหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

เฉินเยว่ซานที่นั่งอยู่ด้านข้างมองคนทั้งสามด้วยท่าทีนิ่งสงบ บนใบหน้าประดับรอยยิ้ม คอยรินเหล้าให้คนทั้งสาม

ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยมาถึงกลางดึก คนทั้งสามต่างก็เป็นนักพรตก่อกำเนิด ทั้งยังมีใจอยากผูกมิตรต่อกัน ต่างฝ่ายจึงพูดคุยกันด้วยความเบิกบาน ทั้งยังยกเรื่องปัญหาบางอย่างที่ตัวเองประสบพบเจอตอนฝึกบำเพ็ญตบะ ก่อนจะช่วยไขความกระจ่างให้แก่กัน ทุกคนล้วนได้ผลประโยชน์ไม่น้อย

จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มสว่าง จ้าวเทียนเจียวจึงวางจอกเหล้าลง นัยน์ตาฉายแววคมกริบ ภายใต้การโคจรตบะในร่าง กลิ่นเหล้าที่อบอวลอยู่ทั่วกายจึงพลันหายไป จากนั้นเขาจึงลุกขึ้นยืน

“เสี่ยวฉุน พี่หลี่ ข้าผู้แซ่จ้าวจะขอลาไปก่อนแล้ว หวังว่าตอนที่ข้ากลับมา พวกเราสามคนจะยังได้ร่ำสุราด้วยกันอีกครั้ง!” พูดจบจ้าวเทียนเจียวก็ประสานมือคารวะ ภายใต้สายตามองส่งของป๋ายเสี่ยวฉุนและหลี่หงหมิง จ้าวเทียนเจียวกับเฉินเยว่ซานก็ไปบอกลากับผู้ติดตามที่นั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากลานที่พักโดยมีนักพรตกองถลกหนังนำทางให้ออกไปจากกำแพงเมือง มุ่งหน้าไปยัง…แดนทุรกันดาร! จากนั้นพวกผู้ติดตามของพวกเขาก็แยกย้ายกันไป

“ศิษย์พี่จ้าว เดินทางปลอดภัยนะ!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องแผ่นหลังของจ้าวเทียนเจียวนิ่ง เขานับถือจ้าวเทียนเจียวมากจริงๆ นับถือตบะของอีกฝ่าย นับถือจิตใจของอีกฝ่ายจนถึงขั้นที่ว่าบัดนี้ในใจเกือบจะเกิดความวู่วามอยากติดตามจ้าวเทียนเจียวไปยังแดนทุรกันดาร ความวู่วามนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนต้องรีบข่มกลั้นมันลงไป

“ศิษย์พี่จ้าวมีทางของเขา และข้า…ก็มีวิถีของข้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนสายตากลับ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่มเหล้าที่เหลืออยู่อึกสุดท้ายจนหมด

“เส้นทางของข้าคือกลับไปที่นครทะเลบูรพา หาพื้นที่ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเพื่ออยู่อาศัยไปสักแปดเก้าปีแล้วค่อยว่ากันใหม่ สถานที่บ้าๆ แบบนี้ข้าไม่อยากจะอยู่นานนักหรอก” หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอย่างจริงจังก็ลุกขึ้นยืนอย่างเด็ดเดี่ยว และเอ่ยลากับหลี่หงหมิง

“น้องป๋าย ในเมื่อเจ้าจะไป ข้าผู้แซ่หลี่ก็จะไม่รั้งไว้ ด้วยภารกิจติดตัว วันหน้าหากมีโอกาสได้พบกัน เจ้าและข้าค่อยมารวมตัวกันใหม่” หลี่หงหมิงไม่ได้พูดมาก เขาเดินไปส่งป๋ายเสี่ยวฉุนที่ประตูด้านข้างของเมืองหลักด้วยตัวเอง ระหว่างทางที่เดินไป พระอาทิตย์ก็โผล่พ้นขอบฟ้าสาดแสงลงมาบนพื้นดิน

ป๋ายเสี่ยวฉุนคอยหันไปมองท้องฟ้าของแดนทุรกันดารนอกกำแพงเมืองอยู่ตลอดเวลา หลังจากที่ส่งคำอวยพรสุดท้ายให้แก่จ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซานอยู่ในใจ เขาก็ก้าวเดินอย่างเด็ดเดี่ยว และไม่นานก็มาถึงประตูด้านข้าง

เดินออกไปจากที่นี่ก็ได้เท่ากับออกไปจากกำแพงเมือง เหยียบลงสู่เส้นทางเดิมที่เคยผ่านมา

“พี่หลี่ หากมีวาสนาคงได้พบกันใหม่” ป๋ายเสี่ยวฉุนหมุนกาย มองหลี่หงหมิงด้วยสายตาปลงอนิจจัง

“เสี่ยวฉุน…” หลี่หงหมิงลังเลเล็กน้อย

“อันที่จริงข้ารู้สึกว่าที่นี่เหมาะสมกับเจ้ายิ่งกว่า เจ้าไม่อยากจะเข้าร่วมกองถลกหนังบ้างหรือ? หากเจ้าอยากเข้าร่วมกับพวกเรา ข้าผู้แซ่หลี่ต้องพยายามยื่นคำร้องเพื่อเจ้าอย่างสุดกำลังแน่นอน!” หลี่หงหมิงเอ่ยด้วยความจริงใจ

“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ ความปลงอนิจจังทั้งหมดในใจก็หายวับไปในพริบตา แถมยังถึงขั้นใจหายวาบด้วย เขาไม่อยากอยู่ที่นี่เสียหน่อย พอนึกถึงอันตรายของที่นี่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อยากจะส่ายหัวรัวๆ ทันที แต่นึกขึ้นได้ว่าตัวเองจะทำให้คนดูถูกไม่ได้ ดังนั้นจึงถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง

“ข้าก็อยากเหมือนกันนะ แต่น่าเสียดายที่การเข้าร่วมกองถลกหนังมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ข้าไม่อยากให้พี่หลี่ต้องเหน็ดเหนื่อยเพราะข้า สักวันหนึ่งข้าจะต้องอาศัยกำลังของตัวเองเข้าร่วมศาลาเลือดเหล็กให้ได้…เอ่อ ข้าไปก่อนแล้วกันนะ”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง กลัวว่าหลี่หงหมิงจะพูดอะไรอีกจึงรีบถอยหลัง หมุนกายได้ก็หมายจะก้าวเท้าออกไปจากประตูด้านข้าง

ทว่าเท้าของเขายังไม่ทันเหยียบลงพื้นก็มีน้ำเสียงมากบารมีเสียงหนึ่งที่คล้ายออกมาจากความว่างเปล่าดังสะท้อนไปแปดทิศ

“เจ้าอยากเข้าร่วมกองถลกหนังจริงๆ รึ?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!