บทที่ 485 ยากระสันซ่านสะเทือนขวัญหมื่นสรรพสิ่ง
ในหอเรือน ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าบิดเบี้ยวดุร้าย ดวงตาทั้งคู่ของเขาเบิกกว้าง สามารถมองเห็นประกายแสงสีแดงคล้ายไฟโทสะที่กำลังลุกไหม้อยู่ในนั้น ทว่าลมหายใจของเขากลับเรียบนิ่งผิดปกติ เมื่อยกมือขวาขึ้นเขาก็หยิบเอาผลึกอัคคีออกมาวางไว้ล่างเตา
“ใครใช้ให้พวกเจ้าทำให้ข้าต้องขายหน้าต่อหน้านักพรตมากมายขนาดนั้น สมควรตายเอ๊ย ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวฟ้ากลัวดินกลัวฟ้าผ่า แต่ไม่กลัวสัตว์ร้าย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าว ก่อนจะสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งทีทำให้พืชหญ้าปริมาณมากบินออกไปแล้วร่วงลงไปอยู่ในเตาหลอม
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะจัดการเจ้าสัตว์พุงป่องพวกนั้นไม่ได้ บังอาจมาเขมือบเตาหลอมยาของข้า ดับทำลายยาของข้า ทำให้ข้าไม่ได้คุณความชอบในการรบก็ยังพอว่า แต่นี่ยังทำให้ข้าเสียหน้าซะจนไม่มีเหลือ นี่มันเท่ากับตบหน้าข้าชัดๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งเดือด พกพาเอาไฟแค้นเต็มอกเริ่มลงมือหลอมยาราวกับคนสติวิปลาส
เขาไม่ได้บ้าคลั่งแบบนี้มานานมากแล้ว ขณะที่สองมือโบกสะบัดพัลวัน เตาหลอมยาก็ส่งเสียงครืนครั่น น้ำยาที่อยู่ด้านในพุ่งเข้ามาเกาะตัวกันอย่างรวดเร็ว ภายใต้การควบคุมของป๋ายเสี่ยวฉุน กลิ่นหอมเป็นระลอกก็แผ่ออกมา
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว สามวันมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เดินออกมาจากหอเรือนแม้แต่ครึ่งก้าว เขาอยู่แต่ในห้องตัวเองและคอยหลอมยาอย่างต่อเนื่อง แถมบางครั้งมีเสียงหัวเราะน่าขนลุกดังลอยมาเป็นพักๆ ด้วย
“กล้ามายั่วโมโหข้า ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้รู้ถึงความร้ายกาจของข้าป๋ายเสี่ยวฉุน!”
“หึหึ อานุภาพของยานี้ยังไม่พอ พวกเจ้ารอดูข้าเถอะ!”
เสียงหัวเราะนี้ลอดทะลุจากในห้องไปยังลานกว้าง พวกจ้าวหลงและหลิวลี่ได้ยินเข้าต่างก็สูดลมหายใจเฮือกด้วยความหวาดผวา แอบรู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีท่าทางผิดปกติ
พวกเขาเองก็ได้ยินเหตุการณ์บนกำแพงเมืองเมื่อหลายวันก่อนแล้ว รู้ว่าเตาหลอมยาของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกสัตว์ยักษ์ตัวกลมของชนพื้นเมืองเขมือบกลืนเข้าไป แล้วก็เข้าใจด้วยว่าเหตุใดป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้เดือดเป็นฟืนเป็นไฟกลับมา
“ต่อให้วิธีการระเบิดเตาจะถูกยับยั้ง แต่ก็ไม่ควรเป็นถึงขนาดนี้กระมัง?” ขณะที่ทุกคนมองหน้ากันไปมา เวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งวัน จนกระทั่งยามสนธยาของวันที่สามมาถึง ทันใดนั้นประตูใหญ่ของหอเรือนก็เปิดออก ป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งพรวดออกมาด้วยสภาพผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เรือนกายก็ผอมซูบลงไปอีกหนึ่งรอบตัว
“จ้าวหลง ไปบอกป๋ายหลินว่าข้าต้องการใบพืชฟ้า ธูปสัตว์เพศเมีย กระดูกสัตว์เพศผู้ รากมังกรดิน…พืชหญ้าเหล่านี้ข้าต้องการวันนี้เลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดชื่อพืชหญ้าออกมาทีเดียวหลายสิบชนิด เอ่ยจบก็กลับเข้าไปในหอเรือนอีกครั้ง ก่อนจะปิดประตูห้องตัวเองดังปัง
จ้าวหลงตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาแอบรู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในสภาพนี้เหมือนจะมีความอันตรายบางอย่างที่บอกไม่ถูก หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่เขาก็รีบออกไปหาแม่ทัพป๋ายหลินข้างนอก ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมพืชหญ้าทั้งหมดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการ
เขาเคาะประตูห้องของของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความระมัดระวัง เมื่อประตูเปิดออก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เอื้อมมือมาคว้าพืชหญ้าทั้งหมดไป ขณะเดียวกันจ้าวหลงก็มองลอดไปตามช่องของประตูจึงเห็นได้ว่าเวลานี้ในห้องตลบอบอวลไปด้วยควันสีชมพูจำนวนมาก
ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ผลุบๆ โผล่ๆ ท่ามกลางควันเหล่านั้นดูอ่อนเพลียอย่างมาก ทว่าประกายแสงในดวงตากลับน่ากลัวจนคนมองขนลุกขนชัน พอคว้าพืชหญ้าไปได้ก็ปิดประตูลงทันที
เวลาผ่านไปอีกสองวัน ทันใดนั้นเที่ยงของวันนี้ บนท้องฟ้าที่เดิมทีมีน้ำวนและชั้นเมฆปกคลุม แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ถึงมีสายฟ้าหลายเส้นแลบปลาบผ่านนภากาศดังเปรี้ยงปร้าง และสายฟ้าส่วนใหญ่ก็ล้วนพุ่งเข้ามาที่หอกงเจี่ย
เสียงกัมปนาทดังสะเทือนจนค่ายกลของหอกงเจี่ยสั่นไหว
ขณะเดียวกันเสียงหัวเราะแหบแห้งของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดังออกมาจากในหอเรือนอย่างคลุ้มคลั่ง เวลานี้บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยสายฟ้า ทั้งยังมีเสียงหัวเราะของป๋ายเสี่ยวฉุนดังประกอบก็ยิ่งทำให้พวกจ้าวหลงที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ด้านนอกพากันหน้าเปลี่ยนสี
“เกิดอะไรขึ้น!!”
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน!” ขณะที่พวกจ้าวหลงหน้าซีดเผือดก็เห็นควันเป็นเส้นๆ ไหลลอดออกมาตามซอกรอยแตกของผนังหอเรือน ก่อนจะแผ่กระจายออกมาข้างนอก พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปสี่ทิศ หมอกควันพวกนั้นคล้ายมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง ตอนที่พวกมันกระจายตัวออกมาถึงได้บิดเบือนกลายมามีรูปร่างเหมือนงูตัวเล็กๆ มากมาย
พวกจ้าวหลงที่มองดูอยู่หน้าเปลี่ยนสีกันไปอีกครั้ง พากันถอยกรูด หากเป็นเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า แต่ไม่รู้ทำไมหลังจากที่หมอกควันพวกนี้ปรากฏตัว มดแมลงจำนวนมากที่อยู่ในหอกงเจี่ยถึงได้แตกฮือกันไปทั่วทิศอย่างรวดเร็วราวกับว่าการหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก็คือสัญชาตญาณของพวกมัน
ต้องรู้ด้วยว่าถึงแม้บนกำแพงเมืองจะมีมดแมลงให้เห็นน้อย ทว่าตอนนี้เมื่อเห็นมดแมลงที่ดำมะเมื่อมเบียดเสียดกันยั้วเยี้ยเต็มพื้นดิน ไม่เพียงแต่พวกหลิวลี่เท่านั้นที่ชาไปทั้งหนังหัว ตลอดทั้งหอกงเจี่ยก็เกิดความโกลาหลกันขึ้นมาทันใด เสียงร้องอุทานด้วยความตกใจฟังไม่ได้ศัพท์
“นี่…นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร!!”
“สวรรค์ ฟ้าร้องฟ้าผ่า ควันสีชมพูอบอวล มดแมลงหนีภัย นี่แสดงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
ภาพเหตุการณ์นี้ของหอกงเจี่ยสร้างความแตกตื่นไปถึงนักพรตของห้ากองทัพ
แม้แต่พวกชนพื้นเมืองที่อยู่นอกกำแพงเมืองก็ยังทอดสายตามองไกลๆ มายังภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยสายฟ้าแลบแปลบปลาบนี้ด้วย ในใจพวกเขาตื่นตะลึง ไม่รู้ว่าในกำแพงเมืองจะมีวัตถุน่ากลัวอะไรเกิดขึ้นอีก
ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ ทันใดนั้นในชั้นเมฆบนท้องฟ้าก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว สายฟ้ารูปร่างโค้งงอเส้นหนึ่งที่หนาใหญ่ราวกับมีสายฟ้าจำนวนมากมารวมตัวกันก็ผ่าเปรี้ยงลงมาจากนภากาศ ระเบิดตูมลงบนหอกงเจี่ย ทำลายค่ายกลให้แตกออก ก่อนจะร่วงดิ่งเข้าหาหอเรือนของป๋ายเสี่ยวฉุน
แม้แต่พื้นดินก็ยังสั่นสะเทือน หอเรือนสั่นโงนเงนอยู่หลายทีก่อนที่จะพังถล่มลงมาเกินครึ่ง ครั้งนี้พวกจ้าวหลงหวาดผวากันอย่างสุดจิตสุดใจจริงๆ แล้ว พวกเขารีบถอยกรูดออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนที่มองมายังหอเรือนของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเฮือกๆ อย่างต่อเนื่องไปด้วย
“ปรมาจารย์ป๋าย…เขา…เขากำลังหลอมยาอะไร?” ขณะที่พวกจ้าวหลงตื่นตะหนก เสียงหัวเราะที่ทำให้คนฟังสยดสยองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดังออกมาจากในหอเรือนที่พังถล่ม
“ไม่พอๆ จ้าวหลง เจ้าไปเอาพืชหญ้าแบบคราวก่อนมาให้ข้าอีกสามพันชุด!!”
จ้าวหลงตัวสั่นเทา มองหอเรือนที่พังถล่มลงมา มองหมอกควันที่ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เขาก็มีความรู้สึกถึงวิกฤตอันรุนแรง พอกลืนน้ำลายลงคอเขาก็หันมามองทุกคนที่อยู่รอบกาย แล้วจึงพบว่าพวกหลิวลี่ต่างก็หน้าซีดเผือด ท่าทางทั้งตกใจระคนสงสัย ดังนั้นจึงกัดฟันกรอดแล้วรีบออกไปอีกครั้ง
รอจนเขากลับมา ป๋ายหลินก็มาพร้อมกับเขาด้วย
“เสี่ยวฉุน เจ้าอย่าวู่วาม…” ป๋ายหลินเพิ่งจะมาถึงก็มองเห็นควันสีชมพูที่น่าหวาดกลัวกลุ่มนั้นทันที แล้วพอเงยหน้าเห็นสายฟ้าที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็รีบตะโกนบอกเสียงสูง
“พวกเจ้าไม่ต้องมายุ่ง! ก็แค่สัตว์ร้ายไม่กี่ตัวไม่ใช่หรือ ข้าผู้อาวุโสมีวิธีรับมือกับสัตว์นับหมื่นวิธี พวกเจ้าคอยดูก็พอแล้ว!” ผ่านไปครู่ใหญ่ ในกลุ่มควันนั้นก็มีเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยมา
“จ้าวหลง โยนพืชหญ้าเข้ามา!” ภายใต้เสียงแผดดังของป๋ายเสี่ยวฉุน จ้าวหลงไม่กล้าปฏิเสธ เขามองป๋ายหลินก่อนจะโยนถุงเก็บของถุงหนึ่งเข้าไปในกลุ่มควัน
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่นัก ขณะที่ป๋ายหลินกำลังสองจิตสองใจว่าควรจะพูดเกลี้ยกล่อมอย่างไรดี ทันใดนั้นในกลุ่มหมอกก็มีเสียงอึกทึกดังลอยมาแล้วอยู่ๆ กลุ่มหมอกสีชมพูก็เปลี่ยนมาเป็นสีแดง ขณะเดียวกันบนท้องฟ้าก็มีเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น สายฟ้าเส้นแล้วเส้นเล่าคำรามอู้ตรงเข้ามายังที่แห่งนี้ แถมยังมองเห็นด้วยว่าบนท้องฟ้าที่ห่างออกไปไกลก็กำลังมีสายฟ้ารวมตัวกันเตรียมจะพุ่งเข้ามา
พริบตาเดียวสายฟ้าก็มีมากนับหมื่นสาย เสียงกัมปนาทดังกึกก้องไปแปดทิศ พวกมันคล้ายรวมตัวกันจนกลายมาเป็นตาข่ายสายฟ้าขนาดใหญ่ที่ปิดผนึกนภากาศเอาไว้ พอเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ต่อให้เป็นป๋ายหลินเองก็ยังสูดลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างตะลึงพรึงเพริด นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักพรตคนอื่นๆ ที่อยู่ในกำแพงเมืองแห่งนี้เลย
ต่อให้เป็นกองทัพใหญ่ของแดนทุรกันดารที่กำลังโจมตีกำแพงเมืองอยู่ข้างนอกก็ยังหยุดชะงักอย่างอดไม่ได้ โดยเฉพาะพวกสัตว์ร้ายในกองทัพที่ต่างก็มีท่าทีงุ่นง่าน พวกมันหอบหายใจหนักหน่วง เมื่อมองมายังกำแพงเมือง ดวงตาก็เริ่มเผยให้เห็นประกายแสงสีแดงราวกับว่าแค่ถูกกระตุ้นเร้าน้อยๆ ก็พร้อมจะคลุ้มคลั่งทันที
“เสี่ยวฉุน เจ้า…เจ้าอย่าเพิ่งวู่วามนะ พวกเราก็กำลังคิดหาวิธีไปจัดการกับสัตว์ลูกกลมพวกนั้นเหมือนกัน เจ้า…” ป๋ายหลินเห็นว่าควันพวกนั้นกลายมาเป็นสีแดง ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอย่างน่าฉงน นี่ไม่เกี่ยวข้องกับตบะ แต่เป็นความรู้สึกจากสัญชาตญานที่บอกกับเขาว่าควันสีแดงพวกนั้นผิดปกติ
“ไม่ต้องพูดมาก ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะต้องทำให้สัตว์พวกนั้นรู้ให้ได้ว่าเตาหลอมยาของข้านายท่านป๋ายไม่ได้กินอร่อยอย่างที่พวกมันคิด!” ในหมอกควันมีเสียงแหบทุ้มของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยมา เขาในเวลานี้นั่งอยู่ข้างเตาหลอมยาแดงโร่ที่แผ่อุณหภูมิสูงกลางหอเรือนที่พังถล่ม ผมของเขายุ่งเหยิงจนพัวพันกันเป็นปม แก้มก็ตอบลึกลงไป ตลอดทั้งร่างดูอ่อนเพลียซีดเซียวอย่างถึงที่สุด ทว่านัยน์ตากลับมีประกายแสงน่าหวาดกลัวเปล่งวาบๆ
รอบกายเขามีขวดยาวางอยู่จำนวนมาก หลายวันมานี้เพื่อการหลอมยาแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่คลุ้มคลั่งได้อาศัยเหล้าวิเศษเหล่านั้นมาประคับประคองตบะของตัวเอง ทั้งยังกินยาพิเศษที่เขาหลอมออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายสามารถต้านทานการรุกรานจากควันนี้ได้
สามารถพูดได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนสู้สุดใจขาดดิ้นแล้ว!
ลมหายใจของเขาไม่ได้ราบเรียบอีกต่อไป เขาจ้องเขม็งไปที่เตาด้านหน้าแล้วโยนพืชหญ้าจำนวนมากเข้าไปไม่ขาดระยะ จนกระทั่งเตาหลอมยาเหล่านั้นสั่นไหวไม่หยุด แรงสั่นสะเทือนยิ่งรุนแรง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คำรามดังลั่น มือทั้งคู่ยกขึ้นก่อนจะตบลงไปบนเตาหลอมทั้งเจ็ดแปดเตาอย่างแรง
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง เตาหลอมทั้งเจ็ดแปดใบนี้ก็เกิดรอยปริร้าวอยู่สี่ห้าเส้น เมื่อรอยแตกปรากฏขึ้น พลังดึงดูดระลอกหนึ่งก็ถูกส่งออกมาจากในเตาหลอมยา ทันใดนั้นควันสีแดงรอบด้านจึงถูกชักนำให้พุ่งทะยานเข้าหาเตาหลอมยาทั้งเจ็ดแปดใบ ซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าพวกมันหายเข้าไปในเตาทั้งหมด!
พอควันจางหาย ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยอยู่ตรงหน้าพวกป๋ายหลิน เมื่อพวกเขามองเห็นเรือนร่างที่ราวกับคนสติไม่สมประดี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กำลังแหงนหน้าคำรามอย่างบ้าคลั่ง นัยน์ตาของเขาลุกเรืองไปด้วยแสงคมกล้า ไม่ต่างอะไรไปจากคนวิปลาส
“กะอีแค่สัตว์พุงโต คราวนี้ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้ให้พวกเจ้าด้วย อยากจะรู้นักว่าต่อไปพวกเจ้ายังจะกล้าเขมือบกลืนเตาของข้าอีกไหม!!”
“นี่คือยาที่ข้าใช้วัตถุดิบระดับดีเยี่ยมหลายพันชนิดมาหลอม แถมยังใช้มหาเวทสายฟ้าชะล้างโอสถมาขจัดสิ่งเจือปนออก ก่อนจะใช้วิชาแห่งการสำแดงอานุภาพหลอมมันเป็นครั้งที่สอง จากนั้นก็นำเตากระถางมาทำให้แตกสลายโดยไม่เสียดาย เมื่อกระถางแตกกระจายก็ใช้วิชาการรวมตัวมาชุบหลอมเป็นครั้งที่สาม นั่นถึงทำให้ออกมาเป็น…ยาที่สูงส่งเลิศล้ำเหนือฟ้าดิน สามารถทำให้สัตว์ร้ายทุกชนิดที่ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมียเมื่อได้กลิ่นก็ต้องหน้าเปลี่ยนสี กินเข้าไปแล้วก็ต้องคลุ้มคลั่ง…จะเทพหรือผีก็หวาดหวั่นกริ่งเกรง สะเทือนขวัญหมื่นสรรพสิ่งอย่าง…ยากระสันซ่าน!”