Skip to content

A Will Eternal 488

บทที่ 488 อานุภาพแห่งยา

นอกกำแพงเมือง สงครามที่ยืดเยื้อมานานเกินครึ่งปี เนื่องจากความวุ่นวายในวันนั้นทำให้แดนทุรกันดารคุมแค้นเดือดดาล ขณะเดียวกันก็ทำให้พวกเผ่าของชนพื้นเมืองไม่กล้าปรากฏตัวง่ายๆ อีก

ตอนนี้บนสนามรบมีปริมาณของชนพื้นเมืองอยู่ไม่มาก ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ห่างออกไปไกล แม้แต่สัตว์รบก็ยังมีให้เห็นได้น้อย มีเพียงมหาสมุทรดวงวิญญาณเท่านั้นที่ยังคงพุ่งโจมตีลงบนกำแพงเมือง บนม่านแสงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่มากนัก แต่เนื่องจากปริมาณที่เยอะเกินไปก็ทำให้ม่านแสงส่องประกายวาบๆ เป็นระลอก

แต่เห็นได้ชัดว่าด้วยระดับการป้องกันของกำแพงเมือง วิญญาณพยาบาทเหล่านี้ยังมิอาจสร้างผลงานได้อย่างชัดเจนเท่าไหร่นัก อีกทั้งอาวุธบนกำแพงเมืองก็เคลื่อนโคจรอยู่ตลอดเวลา ลำแสงหลายเส้นพุ่งออกมาโจมตี และยังมีนักพรตห้ากองทัพที่ลงมืออย่างเป็นระเบียบ ทำให้วิญญาณพยาบาทเหล่านั้นถูกดับทำลายไปหลังจากการโจมตี

การต่อสู้เช่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่กำแพงเมืองก่อตั้งและก็ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง วิญญาณพยาบาทที่ถูกดับทำลายไปมีมากจนไม่สามารถนับได้หมด ทว่าในแดนทุรกันดารก็ยังคงมีวิญญาณพยาบาทอยู่เยอะเช่นเดิม

โดยเฉพาะการที่แม่น้ำอเวจีถูกเขย่าคลอนในครั้งนี้ ปริมาณการปรากฏตัวของวิญญาณพยาบาทก็ยิ่งเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากมายนัก

และเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาเผยแววรอคอย มือขวายกขึ้นก่อนจะเขวี้ยงออกไปข้างนอกอย่างแรง ทันใดนั้นยารวมวิญญาณสีทองเม็ดนั้นก็บินพรวดออกไปกลายร่างมาเป็นเงาเส้นโค้งงอสีทองเส้นหนึ่งที่ตกลงท่ามกลางมหาสมุทรดวงวิญญาณซึ่งอยู่บนพื้น

เสียงปังดังหนึ่งครั้ง วินาทีที่ร่วงลงพื้น ยารวมวิญญาณนี้ไม่ได้แตกกระจายอย่างยาอื่นๆ ก่อนหน้านั้น แต่แผ่แสงสีทองออกมา แสงนี้กลายมาเป็นคลื่นเคลื่อนไหว พอเสียงตูมดังหนึ่งครั้งมันก็กระเพื่อมแผ่จากเม็ดยาออกไปด้านนอกอย่างรุนแรง

นักพรตที่อยู่บนกำแพงเมืองรวมไปถึงชนพื้นเมืองต่างก็มองเห็นอย่างชัดเจนว่าคลื่นสีทองนั้นขยายกว้างไปทั่วรัศมีหมื่นจั้งในชั่วพริบตาเดียว!

ในพื้นที่หมื่นจั้งนี้ วิญญาณพยาบาททั้งหมดต่างก็ตัวสั่นเยือก ไม่ทันได้ตั้งตัว พริบตาเดียวเสียงสวบก็ดังขึ้นหนึ่งครั้ง ก่อนที่ร่างของพวกมันจะถูกยารวมวิญญาณเม็ดนั้นดูดอย่างแรงให้เข้าไปรวมกัน

แรงดึงดูดนี้มีมากราวกับยารวมวิญญาณได้กลายมาเป็นหลุมดำ พริบตาเดียวท่ามกลางเสียงร้องคำรามแหบโหยฟังไม่ได้ศัพท์นี้ ร่างของวิญญาณพยาบาทนับหมื่นที่อยู่ในอาณาเขตพั้นจั้งต่างก็กลายมาเป็นเส้นวิญญาณมากมายที่ถูกดูดฟั่บให้เข้าไปในยารวมวิญญาณ

รอบรัศมีพันจั้งเหลือแต่ความว่างเปล่า…หากเป็นเพียงเท่านี้ก็ยังไม่ค่อยเท่าไหร่ ป๋ายหลินเองก็ขมวดคิ้วมุ่น เพราะอย่างไรซะพลังของยารวมวิญญาณนี้มองดูแล้วก็คล้ายจะอ่อนด้อยกว่าเตาระเบิดเล็กน้อย

ทว่ายังไม่ทันให้พวกเขาได้ครุ่นคิดมากนัก เวลานี้เอง เมื่อวิญญาณพยาบาทนับหมื่นในรัศมีพันจั้งถูกดูดออกไป ยารวมวิญญาณสีทองนี้ก็พลันเปลี่ยนสีสันไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งพริบตาเดียวก็กลายมาเป็น…สีแดง!

ชั่วขณะที่มันกลายเป็นสีแดง เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดินเสียงหนึ่งก็ดังกังวานไปสี่ทิศ ยารวมวิญญาณสีแดงนี้ก็พลันระเบิดตัวพังทลายก่อเกิดกลายเป็นการทำลายล้างครั้งที่สอง จากนั้นคลื่นสีแดงเส้นหนึ่งก็ปกคลุมไปทั่วรัศมีหมื่นจั้ง!!

ทุกที่ที่ผ่านวิญญาณพยาบาททั้งหมดในรัศมีหมื่นจั้งก็ล้วนตัวสั่นเทาคล้ายถูกชำระล้าง ความดุร้ายในดวงตาของพวกมันสลายหายไป แทนที่ด้วยความเลื่อนลอย และร่างของพวกมันก็คล้ายควันที่อยู่ท่ามกลางพายุบ้าคลั่ง แค่แผล็บเดียว…ก็หายวับไปหมด ขณะเดียวกันกับที่หายไป ในดวงตาที่เลื่อนลอยของพวกมันก็ปรากฏความมีสติ!

ความมีสติเด่นชัดในดวงตานั้นราวกับเผยให้เห็นถึงความคิดที่รับรู้ว่าตัวเองได้หลุดพ้นแล้ว…

บนสนามรบ…เงียบสงัดลงไปอีกครั้ง ยักษ์ชนพื้นเมืองเหล่านั้นตัวสั่นเทิ้ม มองยาเม็ดเดียวที่สร้างผลลัพธ์อันน่าหวาดกลัวเทียบเท่ากับเตาหลายสิบเตาระเบิดพร้อมกัน จิตใต้สำนึกก็บอกให้พวกเขาก็รีบถอยกรูดออกไป

และบนกำแพงเมือง ทุกคนที่รวมป๋ายหลินอยู่ด้วยต่างก็หายใจถี่กระชั้น เริ่มฮึกเหิมขึ้นมา ต้องรู้ว่าถึงแม้ยาเม็ดนี้จะให้ผลลัพธ์ไม่ต่างไปจากการระเบิดของเตาหลอมหลายสิบเตาเท่าใดนัก

ทว่าอย่างไรแล้วนี่ก็เป็นเพียงยาเม็ดเดียวเท่านั้น!!

“ปรมาจารย์ป๋าย ยาเม็ดนี้จำเป็นต้องให้เจ้าควบคุมด้วยตัวเองหรือว่า…ไม่ว่าใครก็ใช้ได้!” ป๋ายหลินหันขวับมามองป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนจะเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น

“ยาที่ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นผู้หลอม แน่นอนว่าทุกคนย่อมเอาไปใช้กันได้!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองภาพนอกกำแพงเมืองเขาเองก็ตกใจมากเหมือนกัน ประสิทธิผลของยารวมวิญญาณนี้ทำให้เขาตื่นตะลึงอย่างมาก โดยเฉพาะความหลุดพ้นที่แสดงออกมาทางดวงตาในช่วงเวลาสุดท้ายของพวกวิญญาณพยาบาทก็ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความรู้สึกประหลาดบางอย่าง

เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมยาของตัวเองถึงสร้างการทำลายล้างได้ถึงสองครั้ง อีกทั้งยังให้ผลลัพธ์ประหนึ่งถูกชำระล้างให้สะอาดด้วย

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าบนท้องฟ้าในยามนี้มีเงาร่างพร่าเลือนร่างหนึ่งกำลังก้มหน้ามองแผ่นดินใหญ่ นั่นคือผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ถึงแม้จะมองเห็นลักษณะไม่ชัดเจน

ทว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเขาต้องจำได้ในปราดเดียวว่า คนผู้นี้…ก็คือ…คนเฝ้าสุสาน!!

รอบด้านของเขามีคลื่นน้ำมายากระเพื่อมไหว นั่นคือ…น้ำของแม่น้ำอเวจี

เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้งก่อนจะถอนสายตากลับไป เดินไปทางทิศไกลแล้วผสานรวมเข้ากับน้ำของแม่น้ำอเวจีอย่างแยกไม่ออก…

บนกำแพงเมืองที่อยู่ด้านล่าง ป๋ายหลินได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็เปล่งประกายสุกใสราวกับมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ซ่อนแฝงอยู่ในดวงตาของเขา

“ดี ยานี้สามารถหลอมในปริมาณมากได้หรือไม่?”

“ต้องได้แน่นอนอยู่แล้ว ทว่าท่านเองก็เห็นแล้ว ตอนนี้พืชหญ้าไม่พอ อีกทั้งหากหลอมปริมาณมาก เตาหลอมก็ไม่พอเหมือนกันนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ดึงสายตากลับมาจากสนามรบนอกกำแพงแล้วโบกไม้โบกมือกล่าว

ป๋ายหลินแหงนหน้าหัวเราะร่าอย่างปิติยินดี

“ไม่เป็นไร เตาหลอมยาหนึ่งพันเตาพอหรือไม่! ส่วนพืชหญ้า ข้าจะพาเจ้าไปพบทูตแห่งสำนักอันตมรรคฟ้าดารา เจ้าต้องการอะไรขอแค่ไม่มากเกินไปก็บอกเขาได้เลย”

“ก็ได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าป๋ายหลินกำลังเตือนตนไม่ให้ละโมบเกินไปนัก ดังนั้นจึงหัวเราะแหะๆ หนึ่งที ครุ่นคิดว่าอีกเดี๋ยวตัวเองควรจะต้องใช้อะไรบ้าง

ป๋ายหลินสูดลมหายใจเข้าลึก ยามนี้ในใจของเขาฮึกเหิมอย่างหาอะไรมาเปรียบไม่ได้ พอนึกว่าต่อไปนักพรตทุกคนในกองถลกหนังของตนสามารถครอบครองยารวมวิญญาณกันได้คนละส่วนหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกเขาก็อาจถึงขั้นพลิกเปลี่ยนโฉมหน้าของสงครามได้เลย!

โดยเฉพาะ…หากสามารถเดินพ้นออกไปจากการปกป้องของกำแพงเมือง กลายเป็นกองทัพใหญ่กองแรกของสำนักอันตมรรคฟ้าดาราที่ได้บุกเข้าไปสังหารถึงในแดนทุรกันดาร!

และนี่ก็เป็นตัวแทนของคุณความชอบในการรบที่มากมหาศาลรวมไปถึงเกียรติยศอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ชื่อเสียงของเขาต้องถูกจารึกไปอีกนับพันปี คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายหลินก็ข่มกลั้นไม่ให้ใจเต้นรัวแรงไม่อยู่ หลังจากที่กวาดสายตามองผ่านสนามรบก็หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง

“เสี่ยวฉุน จากการวิเคราะห์ของบุรพาจารย์คนฟ้า การเปิดฉากสงครามครั้งนี้ของแดนทุรกันดารต่างไปจากเมื่อครั้งอดีต ตอนนี้มองดูเหมือนว่าพลังอำนาจของพวกเขาถดถอย ทว่าความเป็นจริงแล้วในอีกหลายเดือนข้างหน้า ต้องมีการโจมตีที่รุนแรงยิ่งกว่าตอนนี้แน่นอน!

ศึกครั้งนั้นเป็นไปได้มากว่าอีกฝ่ายจะเผยตัวผู้อาวุโสมากความสามารถขอบเขตคนฟ้า…แต่เรื่องนี้มีผู้อาวุโสเฉินเป็นคนรับผิดชอบ พวกเราเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ ทว่าเมื่อศึกครั้งนั้นมาถึง ขนาดของสงครามจะยิ่งขยายใหญ่ ชนพื้นเมืองและกระแสวิญญาณที่มาเยือนก็ต้องมากถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อ

ดังนั้น…เจ้าไม่เพียงแต่ต้องหลอมยารวมวิญญาณออกมาให้ได้เร็วที่สุด ทั้งเจ้ายังต้อง…คิดหาวิธีสร้างเตาระเบิดที่พลานุภาพมากกว่าเดิม ทางที่ดีที่สุดคือหลังจากระเบิดแล้ว อานุภาพของมันจะต้องมากกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า ยิ่งทรงพลังเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็ทำท่าครุ่นคิดอย่างหนัก ในส่วนลึกของจิตใจเขาไม่ต้องการหลอมยาที่ทำให้เตาหลอมระเบิดเช่นนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นอาจารย์โอสถ สิ่งที่อาจารย์โอสถต้องทำคือหลอมยา ไม่ใช่ทำเตาหลอมระเบิด อีกอย่างเตาระเบิดนี้ก็เป็นแค่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างหลอมยาเท่านั้น

หากเขาเพิ่งมาอยู่ที่กำแพงเมืองก็คงมิอาจปฏิเสธได้ ทว่าตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองควรจะมีความกล้าหาญและความยืนหยัดเสียหน่อย เพราะอย่างไรซะตนก็เป็นถึงปรมาจารย์ใหญ่เชียวนา…ดังนั้นเขาจึงถลึงตา ส่ายหัว

“ท่านขุนพลป๋าย เรื่องนี้อย่าได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะพูดมาถึงตรงนี้ ยังไม่ทันกล่าวจบ ทันใดนั้นป๋ายหลินที่อยู่ด้านหน้าเขาก็พลันหน้าเปลี่ยนสี เวลาเดียวกันนั้นรอบด้านก็มีเสียงร้องคำรามและเสียงอุทานด้วยความตกใจดังลอยมา

เห็นเพียงว่านอกกำแพงเมืองมีรุ้งยาวนับร้อยเส้นพุ่งพรวดเข้ามาใกล้อย่างไม่กลัวตาย ความเร็วนั้นมากจนทำให้เข้ามาใกล้ในชั่วพริบตา นั่นคือยักษ์ชนพื้นเมืองนับร้อยตน แต่ละคนเรือนกายใหญ่มโหฬารพอยี่สิบกว่าจั้ง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งในชนเผ่าของตัวเอง อีกทั้งบนร่างยังแผ่คลื่นที่ไม่ธรรมดาออกมา

การคำรามอู้เข้ามาใกล้เพื่อโจมตีของยักษ์นับร้อยนี้ดึงดูดความสนใจจากบนกำแพงเมืองได้ทันที ก่อนที่พวกเขาจะระเบิดตัวเองเพื่อพาตัวเข้าสู่ความตาย ท่ามกลางเสียงตูมตามเสียงแล้วเสียงเล่า เมื่อดึงดูดความสนใจจากคนมากกว่าเดิมได้แล้วก็มีรุ้งยาวสามเส้นโผล่พรวดออกมาจากความว่างเปล่าอย่างน่าพิศวง พวกเขาเป็นเหมือนลูกศรแหลมคมสามลูกที่พุ่งเข้าใกล้ ความเร็วนั้นมากจนมิอาจบรรยายได้ ทั้งยังอาศัยการระเบิดตัวเองของยักษ์นับร้อยตนเป็นการอำพรางตัว เผยกายอีกทีก็อยู่ริมขอบของกำแพงเมืองแล้ว!

เรือนกายที่เผยออกมานั้นไม่ใช่ชนพื้นเมือง ทว่าเป็น…ผู้ฝึกวิญญาณสามคนที่สูงศักดิ์แห่งแดนทุรกันดาร!

สามคนนี้แบ่งเป็นชายสองหญิงหนึ่ง หลังจากที่ปรากฏตัวก็ลงมือทันที เวทอภินิหารของพวกเขาแปลกประหลาด แสงสีเขียวแปลกตากลายร่างมาเป็นมือใหญ่ยักษ์ที่ตบโครมลงมา ทุกอย่างพูดแล้วเหมือนยาว แต่ในความเป็นจริงเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาเสี้ยวนาทีเท่านั้น ดวงตาป๋ายหลินฉายแสงคมกล้า

มือขวายกขึ้นโบกหนึ่งครั้งพลังมหาศาลระลอกหนึ่งก็แผ่กระจายออกไปโจมตีใส่ผู้ฝึกวิญญาณทั้งสามคน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็หันขวับไปมอง

ผู้ฝึกวิญญาณสามคนนั้นจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็งผ่านม่านแสง ไม่ทันรอให้เวทอภินิหารของป๋ายหลินมาถึง คนทั้งสามนี้กลับพากัน…ระเบิดตัวเองก่อน!

คนสองกลุ่มที่ระเบิดตัวเองติดต่อกัน ต้องมีเหตุผลสำคัญแน่นอน!!

ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม รีบถอยกรูดออกห่างทันที…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!