Skip to content

A Will Eternal 499

บทที่ 499 โลกแห่งความเย็น

เห็นว่ารอบกายมีนักพรตมากมายมารวมตัวกัน อีกทั้งยักษ์ชนพื้นเมืองเหล่านั้นก็ดูขลาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดจนถึงขนาดที่ไม่มีใครกล้าขัดขวาง อารมณ์ที่ตึงเครียดมาตลอดเวลาของป๋ายเสี่ยวฉุนบัดนี้เกิดส่ายไหวเล็กน้อย

เขาแอบรู้สึกว่านี่คือโอกาสอันดี…

“คนเยอะกำลังมาก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ยังคงรักษาสีหน้าเย็นชาเอาไว้ เงยหน้าขึ้นปล่อยพลังอำนาจบนร่างออกมา ยกมือขวาก่อนจะโบกอย่างแรงหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นเสียงแหบต่ำของเขาก็ดังก้องไปสี่ทิศ

“ไป ข้าจะพาพวกเจ้ากลับกำแพงเมือง!”

เพียงแค่ประโยคเดียว ทว่าวินาทีที่ประโยคนี้ดังเข้าหูของนักพรตที่อยู่รอบด้าน พวกเขากลับตัวสั่นเทา หันขวับมามองป๋ายเสี่ยวฉุน

บนสนามรบที่กว้างใหญ่ไร้ซึ่งความช่วยเหลือ มองไปทางใดก็มีแต่ชนพื้นเมือง ท่ามกลางวิกฤตที่มีโอกาสตายมากกว่ารอดนี้ ปรารถนาสูงสุดของพวกเขาก็คือได้กลับเข้าไปในกำแพงเมือง แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าบางทีตัวเองอาจจะหวังมากเกินไป

โดยเฉพาะพวกนักพรตที่เห็นสหายตายไปกับตาตัวเองก็ยิ่งรู้สึกเช่นนี้ ทว่าตอนนี้เมื่อมีคนคนหนึ่งบอกกับพวกเขาว่าเขาจะพาทุกคนกลับกำแพงเมือง อีกทั้งดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะทำได้จริง แถมประโยคนั้นที่ตะโกนออกมายังทำให้พวกชนพื้นเมืองขยาดกลัว…นี่จึงเป็นประโยคที่พวกเขามิอาจลืมเลือนไปชั่วชีวิต และความซาบซึ้งในใจของพวกเขาก็ยากเกินกว่าจะหาคำใดมาบรรยาย!

“ยังมีใครอยากตายอีก!!” ประโยคนี้บัดนี้ได้ลอยขึ้นมากลางใจของนักพรตทุกคนที่อยู่รอบด้านอีกครั้ง ลมหายใจของพวกเขาถี่กระชั้น ไม่ใช่เพราะขึงเครียด แต่เป็นเพราะฮึกเหิม

หลังจากที่หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาก็ทยอยกันหันกลับไปคุ้มกันอยู่รอบกายของป๋ายเสี่ยวฉุน สายตาของพวกเขาระเบิดความกระหายใคร่ต่อการมีชีวิตอยู่ ปรารถนาอย่างยิ่งยวดที่จะได้มีชีวิตรอดกลับไป

“ไป ใครกล้าขัดขวางพวกเราก็ฆ่ามันผู้นั้น!”

“ไป กู่ร้องเสียงของพวกเราให้นักพรตมากกว่าเดิมหาทางกลับกำแพงเมืองเจอ!”

“ไป ต่อให้สุดท้ายพวกเราจะกลับไปไม่ได้ แต่พวกเราก็ต้องทำให้โลกใบนี้ ทำให้พื้นที่แห่งนี้จดจำเสียงของพวกเราไปตลอดกาล!” เสียงทุ้มต่ำของป๋ายเสี่ยวฉุนดังกังวาน นักพรตหลายร้อยคนที่อยู่รอบกายเขาคล้ายคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ได้ท่ามกลางความสิ้นหวัง ดวงตาของพวกเขาเริ่มแดงก่ำขึ้นมา

“ไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงสะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง กัดฟันกรอด รู้ดีว่าตัวเองจำเป็นต้องรบนำหน้าทุกคน มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะสร้างอิทธิพลที่ยิ่งแข็งแกร่งได้มากกว่าเดิม ถึงจะมีโอกาสรอดชีวิตจากความตาย ดังนั้นจึงตะโกนกร้าวเสียงดัง ก่อนที่จะทะยานดิ่งไปยังม่านแสงค่ายกลที่ห่างไปไกล!

“ไป!!”

“ไป!!!” เสียงคำรามเดือดดาลที่ถูกจุดไฟแห่งความหวังขึ้นมาใหม่ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน นักพรตหลายร้อยคนนี้ระเบิดพลังทั้งหมดที่มีห้อมล้อมอยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุน พุ่งเข่นฆ่าจากพื้นที่กลางสนามรบราวกับลูกธนูแหลมคมที่แล่นออกจากแล่ง

ทุกที่ที่ผ่าน พวกชนพื้นเมืองที่ขวางอยู่ด้านหน้ารีบถอยหลังกรูด เพราะอย่างไรซะเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าสู้ไม่ได้จึงไม่มีใครอยากพาตัวไปตาย โดยเฉพาะได้เห็นความอำมหิตของป๋ายเสี่ยวฉุนกับตาตัวเอง พวกเขาก็ยิ่งเลือกจะทำเช่นนี้

ต่อให้รู้ดีว่าหากกรูกันเข้าใส่ ต่อให้ต้องตายกันทั้งหมด แต่ขอแค่มีกำลังหนุนมาช่วยเรื่อยๆ ก็ต้องสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนได้อย่างแน่นอน!

ทว่ากลับยังคง…ไม่มีใครเข้าขัดขวาง ปล่อยให้นักพรตหลายร้อยคนนี้พุ่งเข้ามาประหัตประหารไปตลอดทาง ยิ่งป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่หน้าสุดด้วยแล้ว เขาใช้เพียงแค่พลังกล้ามเนื้อของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ร่ายใช้เวทลับเลยสักวิชาเดียว

เพราะเขากลัว เขารู้สึกว่าคนที่ต้องการฆ่าตัวเองนั้นมีไม่น้อย พลังวิญญาณจึงต้องกลายมาเป็นท่าไม้ตายสุดท้ายเท่านั้น ยังดีที่การฟื้นคืนพลังของวิชาอมตะมิวางวายน่าตะลึงมากพอ เมื่ออาศัยวิชานี้ เขาจึงสามารถพานักพรตหลายร้อยคนบุกตะลุยไปข้างหน้าได้อย่างเหี้ยมหาญ!

ตลอดทางที่ผ่านสรรพสิ่งพินาศวอดวาย ชีวิตดับราบเป็นหน้ากลอง ที่สามารถร้ายกาจได้มากขนาดนี้แน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะคนหลายร้อยนี้คว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ได้ท่ามกลางความสิ้นหวัง ต่อให้ต้องทุ่มสุดตัวพวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยมือ และยิ่งไม่ยินยอมให้ใครมาแย่งฟางเส้นนั้นไปจากมือของตัวเอง

เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง เสียงรบราฆ่าฟันดังสะท้านฟ้า เมื่อฝ่าวงล้อมโจมตีออกมาจากกลางสนามรบ ตลอดทางเสียงของพวกเขาก็ดังออกไปอย่างไม่ขาดสาย!

“ยังมีใครอยากตายอีก!!”

“สหายห้ากองทัพ พวกเราจะพาเจ้ากลับบ้าน!!” ประโยคเช่นนี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันกับที่ดังสะท้อนไปรอบด้าน นักพรตคนแล้วคนเหล่าที่พยายามต่อสู้กับความตายก็พากันดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อให้ได้เข้ามารวมกลุ่มด้วย นั่นจึงทำให้คนที่อยู่รอบด้านยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็เพิ่มจากหลายร้อยมาเป็นหลายพัน

จำนวนหลายพันนี้ถือว่ามากอย่างยิ่งแล้ว พลังในการบุกโจมตีของพวกเขาจึงยิ่งดุดันมากขึ้น!

ลูกศรแหลมคมนี้พลันเด่นสะดุดตาอยู่บนสมรภูมิรบ จนนักพรตในกำแพงเมืองก็ยังมองเห็น หรือแม้แต่เฉินเห้อเทียนที่อยู่บนท้องฟ้าก็ยังกวาดสายตามามอง หลังจากมองเห็นภาพนี้ เฉินเห้อเทียนก็แสดงความประทับใจออกมาทางสีหน้าทันที

“เวทดวงตายักษ์ให้การปกป้องเต็มกำลัง แผ่ขยายม่านแสงค่ายกลออกมารับตัวป๋ายเสี่ยวฉุน!” เมื่อคำพูดของเฉินเห้อเทียนดังออกมา ดวงตายักษ์บนเจดีย์สูงในนครหลักก็พลันส่องแสงพร่างพราว ลำแสงมากมายหลายเส้นห้อทะยานออกมาตกตรงตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ เพื่อช่วยเขาขจัดอุปสรรคกีดขวาง!

และยังมีม่านแสงค่ายกลที่บิดเบือนยื่นนูนออกมาหาพวกป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างรวดเร็ว

ส่วนพวกหัวหน้าเผ่าทั้งหลายที่กระจายตัวกันอยู่รอบด้านก็ทยอยกันหันมามอง

“ฆ่าเด็กคนนั้นทิ้งซะ!” และเวลานี้เอง สตรีชุดแดงที่ประมือกับเฉินเห้อเทียนก็พูดขึ้นมากะทันหัน เสียงของนางดังไปทั่วทั้งสนามรบ เฉินเห้อเทียนตวาดอย่างเกรี้ยวกราด ออกแรงเต็มกำลัง แต่กลับทำอะไรไม่ได้ เห็นเพียงว่าผู้ฝึกวิญญาณหลายพันคนที่ปกป้องอาจารย์หลอมวิญญาณพลันเงยหน้าขึ้นทันใด

คนส่วนหนึ่งผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะกลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวตรงดิ่งเข้าหาจุดที่พวก

ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ เงาร่างของพวกเขาแปลกประหลาด ความเร็วมากอย่างถึงที่สุด แม้ว่าแต่ละคนจะหน้าตาหล่อเหลางดงาม แต่ในดวงตากลับมีแสงรุบรู่ พอจะมองเห็นได้ว่าในเงาของพวกเขาล้วนมีวิญญาณอยู่ด้วย!

คำพูดของเฉินเห้อเทียนรวมไปถึงลำแสงจากดวงตายักษ์ และยังมีม่านแสงค่ายกลที่นูนออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินทั้งหมดและก็ได้เห็นด้วย ในใจเขาพลันบังเกิดความซาบซึ้ง แต่ความซาบซึ้งนี้เพิ่งจะปรากฏ เขาก็ได้ยินเสียงที่มาจากสตรีชุดแดง แล้วก็ตามมาติดๆ ด้วยพวกผู้ฝึกวิญญาณที่พากันห้อทะยานมาจากทิศไกล

“รังแกกันมากเกินไปแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจ ในใจยิ่งคลุ้มคลั่ง ความรู้สึกที่ว่าทั้งๆ ที่มองเห็นโอกาสรอดชีวิตแต่กลับถูกคนขัดขวางทำให้เขาเดือดพล่านขึ้นมาทันที

“พี่น้องทั้งหลาย จัดการพวกผู้ฝึกวิญญาณเหล่านี้ สังหารพวกเขาได้ พวกเราก็จะได้กลับกำแพงเมือง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามอย่างแค้นเคือง พวกนักพรตหลายพันคนที่อยู่รอบกายเขาพอมองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็พากันคำรามเสียงแหบเสียงแห้งเช่นกัน

พวกผู้ฝึกวิญญาณที่พุ่งมาหาไม่ได้มาเพียงลำพัง เพราะขณะที่เข้ามาใกล้ก็ไม่รู้ว่าร่ายใช้วิชาใดถึงได้ทำให้พวกยักษ์ชนพื้นเมืองที่ถอยกรูดอย่างต่อเนื่องนั้นพากันร้องคำรามคล้ายสูญเสียเป้าหมาย สูญเสียสติปัญญา ประหนึ่งกลายมาเป็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามาเข่นฆ่าใหม่อีกครั้ง

ยังดีที่ไม่ใช่ชนพื้นเมืองทั้งหมดที่ผู้ฝึกวิญญาณเหล่านี้ควบคุมได้ มีเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังสร้างผลกระทบให้กับพวกป๋ายเสี่ยวฉุนได้อยู่ดี

พริบตาเดียวพวกผู้ฝึกวิญญาณก็ทยอยกันเข้ามาใกล้

มีไม่น้อยที่พุ่งตัวเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนยักษ์ชนพื้นเมืองเหล่านั้นก็แผดเสียงร้องกระโจนเข้ามาประหัตประหาร ทำให้นักพรตหลายพันคนมิอาจสร้างขบวนรบขึ้นมาได้

ที่เร็วที่สุดคือผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนผู้หนึ่ง ตลอดทั้งร่างของเขาพร่าเลือน พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาฉายแสงเย็นเยียบ ขณะที่มือขวาทำมุทราก็มีเปลวเพลิงสีเขียวกลุ่มหนึ่งปรากฏอยู่กลางมือของเขา ก่อนที่จะตบเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างฉับพลัน

ด้านหลังของเขายังมีผู้ฝึกวิญญาณอีกเจ็ดคนที่ช้ากว่าแค่เพียงเสี้ยวเดียวก็จะมาถึงอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าขอแค่สกัดกั้นป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ได้เล็กน้อย ถ้าเช่นนั้นเมื่อคนทั้งเจ็ดนี้เข้ามาใกล้ก็จะสังหารเขาได้ทันที

และที่ห่างออกไปไกลกว่านั้นยังมีผู้ฝึกวิญญาณอีกหลายสิบคนที่ใช้ความเร็วมากที่สุด ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่กระจายตัวกันออกไปรอบด้านปิดทางหนีทุกทางของป๋ายเสี่ยวฉุน

“คิดจะฆ่าข้ารึ!” วิกฤตรุนแรง ความบ้าคลั่งเต้นระริกอยู่ในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุน เผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนสีหน้าไร้อารมณ์ที่เข้ามาใกล้ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่หลบเลี่ยง เขาถลาพรวดออกไปพุ่งชนชายวัยกลางคนคล้ายต้องการให้พินาศวอดวายไปพร้อมกัน เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง มุมปากของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเลือดไหลซึม แต่กลับไม่ถอยหนี ร่ายใช้ชนาเขย่าภูเขาด้วยสีหน้าดุร้าย ก่อนจะชนกระแทกลงไปยังนักพรตวัยกลางคนที่หน้าเปลี่ยนสี ผลักเอาร่างของคนผู้นั้นให้ถอยเข้าไปในกลุ่มของพวกผู้ฝึกวิญญาณเจ็ดคนที่ตามมาข้างหลัง

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป แต่ดวงตาของพวกผู้ฝึกวิญญาณเจ็ดคนที่เข้ามาใกล้กลับเปล่งแสงวาบ ก่อนที่จะพากันลงมืออย่างไร้ซึ่งความลังเล ทันใดนั้นวิญญาณมังกรเจ็ดตัวก็ถูกจำแลงออกมา แผดเสียงร้องคำรามแล้วอ้าปากหมายเขมือบป๋ายเสี่ยวฉุน

“รอพวกเจ้าอยู่พอดี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามต่ำๆ ดวงตาพลันเผยให้เห็นเป็นสีฟ้า พริบตาเดียวไอความเย็นสะท้านฟ้าดินที่ทำให้ความว่างเปล่ารอบด้านจับตัวเป็นน้ำแข็งก็พลันระเบิดออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน!

คาถาหันเหมินเลี้ยงความคิด!

ไอความเย็นนี้ถึงแม้จะไม่ใช่ความเย็นระดับสุดขั้ว แต่กลับใกล้เคียงมากอย่างยิ่ง!

เวลานี้ไอความเย็นแผ่ตูมตามออกไปรอบด้านจนกระทั่งปกคลุมไปทั่วรัศมีหลายพันจั้ง ทุกที่ที่ไอความเย็นผ่าน ชนพื้นเมืองก็ดี ผู้ฝึกวิญญาณก็ช่าง พวกเขาล้วนตัวสั่นเยือก โดยเฉพาะพวกยักษ์ชนพื้นเมืองก็ยิ่งเบิกตากว้าง ร่างถูกปิดผนึกโดยตรง

ผู้ฝึกวิญญาณเหล่านั้นก็พากันหน้าเปลี่ยนสี ภาพนี้อยู่เหนือจากการคาดการณ์ของพวกเขาโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะพวกผู้ฝึกวิญญาณที่อยู่ใกล้กับป๋ายเสี่ยวฉุนมากที่สุด ในสมองก็ยิ่งมีเสียงดังอึงอล แม้แต่ตบะก็ยังถูกปิดผนึกไปด้วย

พริบตาเดียวรัศมีหลายพันจั้งก็กลายมาเป็นเหมือนอากาศวันที่หนาวที่สุด น้ำแข็งปกคลุมไปทั่ว ไอความเย็นน่าตะลึง ว่าทุกพื้นที่ถูกปิดผนึกด้วยน้ำแข็ง…ทั้งยังมีเกล็ดหิมะสีฟ้าปรากฏขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะแผ่ปกคลุมไปแปดทิศ

“ตอนนี้คงถึงคราวที่ข้าต้องฆ่าคนอื่นแล้ว!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไหวเล็กน้อย เขาตึงเครียด เขาหวาดกลัว ทั้งยังมากด้วยความดุร้าย เพราะว่าเขาไม่อยากตาย ในเมื่อตัวเองไม่อยากตาย ถ้าเช่นนั้นเขาก็ได้แต่…ฆ่าคน!

ที่นี่ได้กลายเป็นโลกแห่งความเย็นไปแล้ว!

และที่นี่ก็คือโลกของ…ป๋ายเสี่ยวฉุน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!