บทที่ 503 เลื่อนขั้นผู้บังคับกองพัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยากจะเชื่อภาพทั้งหมดที่เห็นนี้เลย ต้องรู้ว่าในแผ่นดินทงเทียน อาวุธวิเศษซึ่งถูกหลอมพลังจิตมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาก็ยังมีแค่สิบครั้งเท่านั้น
แต่ตอนนี้ เมื่ออยู่ที่นี่ เขากลับได้เห็นอาวุธหลอมพลังจิตแบบนี้ได้
“ไม่ถูกสิ หรือว่า…ในแดนทุรกันดาร มีความลับเกี่ยวกับการหลอมพลังจิตซุกซ่อนอยู่?!” ความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนแล่นฉิว รับสัมผัสถึงหม้อกระดองเต่าในร่างกายของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
แต่ทว่าพวกป๋ายหลินกลับไม่มีท่าทีผิดปกติราวกับว่าไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่ในมือของอาจารย์หลอมวิญญาณมีอาวุธหลอมพลังจิตเช่นนี้อยู่ในมือ เพียงแต่ดวงตากลับฉายความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่ง เวลาลงมือก็ยิ่งดุดัน เห็นเด่นชัดเป็นพิเศษว่ามีใจอยากจะช่วงชิงอาวุธเหล่านั้นมาครอบครอง
ราวกับว่าในสนามรบแห่งนี้ สำหรับพวกทหารรวมไปถึงผู้บังคับกองพันแล้ว นอกจากได้รับผลงานในการต่อสู้ การช่วงชิงอาวุธวิเศษมาจากมือของพวกชนพื้นเมืองและอาจารย์หลอมวิญญาณก็ถือเป็นผลเก็บเกี่ยวที่พวกเขารอคอยเช่นเดียวกัน
หลังจากที่สงครามครั้งนี้ดำเนินต่อไปได้อีกหนึ่งเดือนก็ยุติลงในที่สุด แดนทุรกันดารถอนทัพ…เมื่อพวกชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ รวมไปถึงอาจารย์หลอมวิญญาณพากันจากไปไกล ทางฝ่ายของกำแพงเมืองก็ไม่ได้ไล่ล่าตามไป
เพราะอย่างไรซะศึกครั้งนี้ สำหรับกำแพงเมืองแล้วก็เสียหายอย่างหนักเช่นกัน
ศึกระหว่างเฉินเห้อเทียนและสตรีแดงก็แยกไม่ออกว่าใครแพ้ใครชนะ ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บ หลังจากที่แยกจากกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงได้เห็นรูปร่างหน้าตาของสตรีแดงผู้นั้นอย่างชัดเจน
สตรีผู้นี้สวมชุดคลุมยาวสีแดง ผมยาวเป็นสีดำสนิท มองดูแล้วยังสาวอยู่มาก หน้าตาก็งามพิสุทธิ์จนแทบจะเรียกได้ว่างามล่มเมือง เมื่อเทียบกับเฉินม่านเหยา อีกฝ่ายก็ยังดูงดงามกว่าหลายส่วนด้วยซ้ำ
ที่สำคัญที่สุดก็คือตบะของนางที่ทำให้ความสูงศักดิ์แผ่ออกมาจากทั่วร่าง มากพอจะทำให้คนมองใจเต้นกระหน่ำได้
แต่ทุกอย่างนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่แยแสแม้แต่น้อย เวลานี้เขากำลังมองหลี่หงหมิงด้วยความกลัดกลุ้ม หลี่หงหมิงยังคงเป็นผู้บังคับกองพัน แต่ผลงานในการรบครั้งนี้ก็สร้างคุณความชอบให้เขามหาศาล
“เสี่ยวฉุน ตอนนี้เจ้ามีชื่อเสียงแล้ว แถมยังโด่งดังมากด้วย!!” ครึ่งเดือนหลังจากที่สงครามยุติลง เที่ยงของวันนี้หลี่หงหมิงก็มาที่หอกงเจี่ย พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเขาก็รีบร้องเรียกเสียงดัง
“จากรายงานลับ ทางฝ่ายของแดนทุรกันดารได้เพิ่มประกาศจับเจ้าอีกครั้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่ารางวัลคืออะไร?”
“วิญญาณสัตว์ฟ้าเลยนะ!! แม้ว่าจะเป็นวิญญาณสัตว์ฟ้าดวงเดียวที่ไม่รู้ว่ามีธาตุอะไร แต่มูลค่ามันมหาศาลนักล่ะ ต้องรู้ด้วยนะว่าหากรวบรวมครบทั้งห้าธาตุอย่างธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟและธาตุดินก็จะกลายมาเป็นก่อกำเนิดได้แล้ว!!”
“มูลค่าของรางวัลชิ้นใหญ่นี้มีได้เฉพาะคนที่ติดสิบอันดับแรกประกาศต้องฆ่าของแดนทุรกันดารเท่านั้น ยินดีกับเจ้าด้วย…เสี่ยวฉุน ตอนนี้เจ้าอยู่ในอันดับที่สิบของประกาศต้องฆ่าแล้ว!”
“ด้านหลังเจ้าล้วนเป็นนักพรตก่อกำเนิดทั้งนั้น เจ้าคือนักพรตรวมโอสถคนเดียว…ในสามสิบอันดับแรกเชียวนะ!”
“มารป๋ายก็คือชื่อที่แดนทุรกันดารใช้เรียกเจ้า!!” หลี่หงหมิงมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความอิจฉา หลังจากที่รู้ข่าวนี้เขาก็รีบเอามาบอกอีกฝ่ายทันที แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ฟังกลับอกสั่นขวัญแขวน
“ได้วิญญาณสัตว์ฟ้าดวงหนึ่งเป็นรางวัล…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมเย็นๆ เข้าปอดอย่างมิอาจห้ามได้ ใจหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม หน้านิ่วคิ้วขมวด พอจะจินตนาการได้ว่าหากพวกชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณในแดนทุรกันดารเจอหน้าตนอีกครั้ง จิตที่อยากสังหารตนต้องทบทวีคูณแน่นอน
หลี่หงหมิงทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังอยู่ในใจ มองป๋ายเสี่ยวฉุนเขาก็ไพล่นึกไปถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งมาอยู่กำแพงเมือง ในตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งในและนอกกำแพงเมืองได้ขนาดนี้
พูดคุยสัพเพเหระกันอีกพักหนึ่ง เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลี่หงหมิงก็ตบไหล่ป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วจึงจากไป
จนกระทั่งหลี่หงหมิงจากไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้นั่งลงแล้วถอนหายใจยาวเหยียด
“ช่างเถอะๆ คนอย่างข้าไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ล้ำเลิศโดดเด่นเช่นนี้เสมอ เฮ้อ…อย่างมากต่อไปก็ไม่ออกจากกำแพงเมืองเท่านั้น อยู่ที่นี่อีกแค่สิบปีก็ได้กลับสำนักแล้ว”
ป๋ายเสี่ยวฉุนปลอบใจตัวเอง นั่นถึงทำให้อารมณ์สงบลงมาจากความกระวนกระวายได้บ้าง
แต่เขาก็ยังคงตื่นตระหนกอยู่น้อยๆ เขาทั้งกังวลเรื่องผู้ฝึกวิญญาณแดนทุรกันดาร ขณะเดียวกันก็กังวลเรื่องคนของห้ากองทัพด้วย เพราะอย่างไรซะตอนนี้ค่าหัวของตนก็สูงลิ่วขนาดนี้…
ยังดีที่ความกังวลของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่ การมอบรางวัลจากสงครามครั้งนี้ก็ถูกป่าวประกาศออกมา มีคนไม่น้อยที่ได้เลื่อนขั้นจากทหารธรรมดามาเป็นผู้บังคับกองสิบหรือแม้แต่ผู้บังคับกองร้อย
ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเป็นหนึ่งในสองคนที่ได้เลื่อนจากผู้บังคับกองร้อยกลายมาเป็นยศผู้บังคับกองพัน
หลังจากที่ได้กลายเป็นผู้บังคับกองพัน นอกเหนือจากหอกงเจี่ยแล้ว เขายังมีพื้นที่ส่วนตัวของยศผู้บังคับกองพันเป็นของตัวเอง นอกจากพวกจ้าวหลงร้อยคน ที่นั่นยังเป็นเขตที่พักอาศัยของนักพรตใต้บังคับบัญชาเขาอีก…เก้าร้อยคน!
ต้องรู้ว่าระหว่างผู้บังคับกองร้อยและผู้บังคับกองพันนั้นต้องมีคุณความชอบในการรบปริมาณมหาศาล คิดจะเลื่อนยศจากศึกครั้งเดียว ความเป็นไปได้แทบไม่มีอยู่
ส่วนอีกคนหนึ่งที่ได้เลื่อนจากผู้บังคับกองร้อยเป็นผู้บังคับกองพันเช่นกัน คนผู้นี้อยู่ที่กำแพงเมืองมาเกินร้อยปีแล้ว ตบะก็เพิ่งจะฝ่าทะลุสู่รวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งยังเข้าร่วมการเข่นฆ่ามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อผ่านการสั่งสมคุณความชอบในการรบมาจนวันนี้ถึงทำได้สำเร็จ
ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสังหารผู้ฝึกวิญญาณไปได้ไม่น้อย ทั้งยังสังหารหัวหน้าเผ่าไปได้อีกหนึ่งคน ทว่าคุณความชอบในการรบก็ยังไม่มากพอ ที่สามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับกองพันได้นั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือยารวมวิญญาณและเตาหลอมยาร้อยจั้งของเขา!
ทั้งหมดนี้ทำให้คุณความชอบในการต่อสู้ของเขาทะยานพรวดพราดจนกลายมาเป็นผู้บังคับกองพัน!
ในฐานะที่เป็นอาจารย์หลอมโอสถ ยารวมวิญญาณที่เขาสร้างขึ้นมาสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในการรบ เตาหลอมยาระเบิดที่สร้างขึ้นก็สามารถส่งผลกระทบให้กับสมรภูมิได้อย่างมหาศาล แถมตัวเขาเองยังมีพลังในการต่อสู้ที่น่าตะลึงจนสังหารผู้ฝึกวิญญาณไปได้มากมาย ทั้งยังดับทำลายหัวหน้าเผ่าได้คนหนึ่ง
แม้ว่ากล้ามเนื้อจะเทียบเคียงได้กับก่อกำเนิด ไม่ใช่นักพรตก่อกำเนิดอย่างแท้จริง แต่อย่างไรซะนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตรวมโอสถทั่วไปสามารถทำได้!
นอกจากนี้ยังมีนักพรตอีกนับหมื่นคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากเขาซึ่งเกิดความเลื่อมใสในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างบ้าคลั่ง รวมไปถึงชื่อเสียงยิ่งใหญ่ที่ดังสะเทือนไปทั้งกำแพงเมือง ขณะเดียวกันก็ยังได้เลื่อนยศเป็นผู้บังคับกองพัน
บวกกับบนประกาศต้องฆ่าที่แดนทุรกันดารมีต่อห้ากองทัพใหญ่มีรายชื่อเขาอยู่เป็นอันดับที่สิบ!
เกียรติยศเรื่องแล้วเรื่องเล่าเหล่านี้ เมื่อทับซ้อนเข้าด้วยกันจึงกลายมาเป็นการโจมตีที่เขย่าคลอนไปทั้งกำแพงเมือง ขณะเดียวกันก็ทำให้แม่ทัพของกองทัพทั้งสี่เพิ่มระดับการให้ความสำคัญต่อป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างถึงขีดสุด!
ใครได้ครอบครองป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่เพียงแต่ได้ครอบครองนักรบผู้กล้าหาญ ทั้งยังได้ครอบครองยารวมวิญญาณและเตาระเบิด รวมไปถึงความกระตือรือร้นและใจที่ซื่อสัตย์ของนักพรตนับหมื่น มีครบทั้งชื่อเสียงทั้งผลประโยชน์
เมื่อเป็นเช่นนี้มีหรือที่แม่ทัพของอีกสี่กองจะไม่เกิดความหวั่นไหว ดังนั้นยามสนธยาของวันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้แต่งตั้งเป็นผู้บังคับกองพัน นอกหอกงเจี่ยที่เขาอยู่อาศัยจึงมีรุ้งยาวเส้นหนึ่งคำรามอู้มาใกล้
ในสายรุ้งนั้นคือผู้เฒ่าคนหนึ่งที่สวมชุดเกราะสีดำ บนร่างของผู้เฒ่าคนนี้มีควันสีดำแผ่ออกมาเป็นระลอก และบนศีรษะของเขาก็มีเงามายาของพยัคฆ์ร้ายตัวหนึ่งรวมตัวกัน ดวงตาทั้งคู่ของมันเป็นสีแดงฉาน ตลบอบอวลไปด้วยปราณแห่งปีศาจร้าย มองดูแล้วน่าสยองขวัญอย่างมาก
อีกทั้งตบะของผู้เฒ่าก็ยิ่งไม่ธรรมดา เหยียบมาสู่ขอบเขตคนฟ้าได้ครึ่งก้าวแล้ว เวลานี้เมื่อมาถึงก็คล้ายจะสามารถสั่นคลอนฟ้าดิน ทำให้นักพรตทุกคนในหอกงเจี่ยล้วนใจสั่น พอเงยหน้ามองเห็นเขาก็คารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน
“คารวะท่านแม่ทัพกองปีศาจดำ!”
พวกจ้าวหลงก็ใจเต้นรัว รีบทำท่าคารวะ ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังนั่งสมาธิ เมื่อสัมผัสได้ถึงพลานุภาพสยบจากภายนอกเขาจึงเดินออกมามองขุนพลกองปีศาจดำที่ยืนอยู่กลางอากาศ
เขาไม่เคยเจอกับอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัวมาก่อน เคยเห็นแค่ตอนที่อยู่บนสนามรบก่อนหน้านี้เท่านั้น ในใจสงสัยว่าอีกฝ่ายมาด้วยเรื่องอันใด แต่ภายนอกป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังประสานมือคารวะ
ผู้เฒ่าคนนั้นหัวเราะฮ่าๆ ก้าวเท้าครั้งเดียวก็มาอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาเผยความชื่นชมอย่างแรงกล้า
“ปรมาจารย์ป๋าย มาเข้าร่วมกับกองปีศาจดำของข้าเถอะ ทุกสิ่งที่เจ้าได้รับตอนอยู่ที่นี่ ขอแค่ไปอยู่ในกองปีศาจดำของข้า ข้าผู้อาวุโสจะเพิ่มให้เจ้าอีกสามเท่า!”
“เรื่องนี้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน เขาอยู่ในกองถลกหนังก็มีอิสระดีมาก ยังไม่มีความคิดที่จะไปอยู่กองอื่น ทว่าความร้อนแรงในดวงตาของแม่ทัพกองปีศาจดำที่คล้ายปรารถนาจะได้เห็นตัวเองตอบรับก็ทำให้เขาเกิดลังเล ขณะที่ยังไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยตอบเช่นไร ทันใดนั้นห่างไปไกลก็มีรุ้งยาวอีกเส้นคำรามอู้เข้ามา คนยังไม่ทันมาถึง แต่เสียงกลับดังก้องไปรอบด้านก่อนแล้ว
“อย่าไปฟังเขา ปรมาจารย์ป๋าย เข้ามาอยู่ในกองเจ็ดพิฆาตของข้าเถอะ ข้าจะมอบค่าตอบแทนให้เจ้าเป็นสิบเท่า ขณะเดียวกันข้ายังรับประกันด้วยว่าตลอดเวลาที่เจ้าอยู่ในแดนทุรกันดาร เจ้าจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ และจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าตกอยู่ในภาวะเสี่ยงภัยอย่างก่อนหน้านี้เด็ดขาด!” หลังจากที่เสียงดังสะท้อน ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวสีชาดคนหนึ่งก็พลันมาปรากฏกายอยู่ข้างป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
ชายผู้นี้รูปโฉมหล่อเหลา รอยยิ้มอบอุ่น มองดูแล้วเหมือนคนใจดีไม่มีพิษภัย
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับจำได้ว่าตอนที่อยู่บนสนามรบ ความดุดันที่ชายผู้นี้แสดงออกมา นอกจากป๋ายหลินแล้วก็ไม่มีใครเทียบเคียงเขาได้อีก
“รับรองความปลอดภัยของข้า?!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจกระตุก หันขวับไปมองชายวัยกลางคนกองเจ็ดพิฆาต ก่อนหน้านี้เขากำลังกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง พอมาได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้จึงแสดงความสนใจออกมาทันที
พอเห็นสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน ผู้เฒ่ากองปีศาจดำก็ร้อนใจทันใด กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเวลานี้เอง เสียงแค่นเย็นชาก็ดังลอยมาจากท้องฟ้า
“กองปีศาจดำและกองเจ็ดพิฆาตขี้เหนียวเกินไปหน่อยไหม ปรมาจารย์ป๋าย กองทัพที่ตระหนี่ขนาดนี้จะเข้าไปร่วมด้วยทำไม มากองสังหารทุรกันดารของข้าเถอะ ไม่เพียงแต่ให้ค่าตอบแทนเจ้ายี่สิบเท่า ขณะเดียวกันยังรับรองความปลอดภัยของเจ้า หรือแม้แต่พืชหญ้าทุกชนิด ขอแค่เจ้าต้องการ ข้าก็หามาให้เจ้าได้ทันที เหล้าวิเศษเอย ยาเอย ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการบำเพ็ญตบะ ข้าจะหามาให้เจ้าทั้งหมด!” เมื่อเสียงหัวเราะเย็นชาดังก้องไปทั่วความว่างเปล่า รุ้งยาวเส้นที่สามก็เยื้องกรายมาจากท้องฟ้า พอเหยียบลงบนพื้นก็เผยให้เห็นเรือนกายที่หนาใหญ่บึกบึน