Skip to content

A Will Eternal 556

บทที่ 556 ชั้นที่สาม

และวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกน้ำวนลูกนั้นดูดเข้าไป ตรงป้ายศิลาด้านนอก ในลูกแสงที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ ดวงตาทั้งคู่ของเขาเบิกโพลงขึ้นด้วยความงุนงง และไม่รอให้เขาตั้งสติได้ พริบตาเดียวลูกแสงก็กลายมาเป็นน้ำวนอีกหนึ่งลูกที่ดูดป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปด้านใน ก่อนที่เขาจะหายวับไป

เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนหายไป ลูกแสงของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน พอแสงสว่างที่เจิดจ้าจางหาย ในที่สุดป้ายศิลานั้นก็หยุดสั่น กลับคืนมาเป็นปกติ มีเพียงรอยแตกเท่านั้นที่ยังคงอยู่ดังเดิม

นอกจากนี้ก็คือ…ท่ามกลางการประลองมากมาย การประลองหลอมพลังจิตได้ถูกลบหายไปแล้ว…

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้คนพันกว่าคนที่อยู่รอบด้านตะลึงลาน แต่ละคนอ้าปากกว้าง มองตาค้าง ในสมองมีเสียงอึงอลดังไม่หยุด

“ป๋ายเสี่ยวฉุน…หายไปแล้ว!!”

“นี่…หรือว่าเขาได้ที่หนึ่ง!! ตอนนี้เขาไปชั้นที่สามเพื่อช่วงชิงวิญญาณคนฟ้าแล้ว!!”

“เป็นเขาไปได้อย่างไร!! เจ้ามารป๋ายสมควรตายผู้นี้ ทำไมถึงเป็นเขา!!”

“หึ เป็นเขาสิดี หากอยู่ในมือคนฟ้า พวกเราย่อมไม่มีโอกาส ทว่าเมื่ออยู่ในมือมารป๋ายผู้นี้ หลังจากเขาได้ไป เขาก็รักษาไว้ไม่ได้อยู่ดี!”

“ถูกต้อง เมื่อเป็นเช่นนี้มูลค่าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งมากขึ้น สังหารเขาไม่เพียงแตได้วิญญาณสัตว์ฟ้าห้าชิ้นครบทั้งห้าธาตุ ทั้งยังได้วิญญาณคนฟ้ามาด้วย!”

ขณะที่ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์ ไม่นานก็พบว่านอกป้ายศิลา ลูกแสงของหงเฉินหนวี่ยังคงอยู่ อีกทั้งยังสว่างพร่างพราวยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อีกหลายเท่า ราวกับว่านางไม่เพียงแต่ไม่ถูกตัดสิทธิ์ ทั้งยังใกล้จะทำสำเร็จแล้วด้วย

ทุกคนจึงตระหนักได้ทันทีว่าคนที่จะได้เป็นเจ้าของวิญญาณคนฟ้าชิ้นนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นป๋ายเสี่ยวฉุนเสมอไป เพราะหากตอนอยู่ชั้นสามป๋ายเสี่ยวฉุนแย่งเอาวิญญาณคนฟ้ามาได้ช้า เกรงว่าเขาก็คงไม่เพียงแตไม่ได้วิญญาณคนฟ้าไปครอง แม้แต่ชีวิตก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้ด้วย

เพราะอย่างไรซะ…คนฟ้าที่เป็นศัตรูตัวฉกาจซึ่งหมายจะสังหารเขาก็อยู่ที่่นั่นด้วย จุดจบของเขาจะเป็นเช่นไร ทุกคนล้วนรู้กันดีอยู่แก่ใจ แถมยังเห็นได้ชัดด้วยว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ปรากฏตัว อันดับหนึ่งนี้ต้องตกเป็นของหงเฉินหนวี่อย่างแน่นอน

บัดนี้โจวอีซิงตัวสั่น นัยน์ตาฉายความตื่นเต้น ในใจเขาก็ยิ่งปิติยินดีอย่างมิอาจหยุดยั้ง

“บุรพาจารย์หงเฉินสู้ๆ นะ รีบไปปลิดชีพป๋ายเสี่ยวฉุนสมควรตายผู้นั้นที่ชั้นสามเร็วๆ ด้วยเถอะ!”

ท่ามกลางการคาดหวังของโจวอีวิง ชั้นที่สามในเขาวงกตแห่งนี้…ก็คือสถานที่ที่มีวิญญาณคนฟ้าอยู่ ที่นี่คือสุสานขนาดใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่งที่เป็นรูปแปดเหลี่ยม ไม่พูดถึงแสงของโคมไฟที่สว่างไสว ทั่วทุกมุมของสุสานแห่งนี้ยังมีรูปปั้นขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอยู่ด้วย

รูปปั้นทุกรูปล้วนสูงนับร้อยจั้ง มองดูเหมือนใหญ่มาก แต่เมื่อเทียบกับตำหนักใต้ดินแห่งนี้แล้ว กลับสู้ไม่ได้แม้แต่น้อย พื้นดินตลอดทั้งตำหนักใต้ดินล้วนเกิดจากการนำหินที่มีลวดลายเหมือนเกล็ดมังกรมาปูลาดไปทั่ว ทอดสายตามองไปก็ราวกับว่าบนพื้นดินมีมังกรทองเก้าตัวถูกฝังเลื่อมอยู่ในนั้น!

เมื่อมองปราดๆ ยังสามารถมองเห็นได้ว่ามังกรทั้งเก้าตัวนี้ตัดสลับทอดยาวกันไปถึงแท่นบูชาแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงกลางประดุจหมู่ดาวที่ล้อมเดือน!

นี่เป็นเพียงแค่พื้นดินเท่านั้น กลางอากาศเริ่มตั้งแต่ผนังรอบด้านของสุสานแห่งนี้ยังมีรูเล็กๆ อีกนับไม่ถ้วน ทุกรูล้วนสาดแสงออกมา แสงเหล่านี้มีครบทุกเฉดสี ทั้งยังรวมตัวกันเป็นมังกรสีทองตัวใหญ่ตัวหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ!

มังกรทองตัวนี้มีชีวิตชีวาเหมือนดำรงอยู่จริง มันขดตัวอยู่บนเพดานของสุสานใต้ดิน หัวมังกรขนาดใหญ่ยักษ์ก้มลงมาเหนือแท่นบูชา หลับตาคล้ายกำลังหลับสนิท…

ภาพเหล่านี้ทำให้แท่นบูชาที่อยู่กลางสุสานกลายมาเป็นที่จับตามองซึ่งสะดุดตามากที่สุด ทว่าบนแท่นบูชานั้นไม่มีโลงศพตั้งวางเอาไว้ แต่มีป้ายศิลาสีเขียวป้ายหนึ่ง!

ป้ายศิลานี้แฝงเร้นไว้ด้วยความโบราณเก่าแก่คล้ายไม่รู้ว่าอยู่มานานแค่ไหนแล้ว ด้านบนมีอักษรเขียนเอาไว้หลายบรรทัด เห็นได้ชัดว่าต้องการให้คนรุ่นหลังมาอ่าน

หากมีคนเดินไปหยุดข้างหน้ามันก็จะมองเห็นในปราดเดียวว่าป้ายศิลานี้ไม่ได้ตั้งตระหง่าน แต่เยี่ยมที่สุดของฟ้าดิน หมอกนี้กำลังกลิ้งตลบช้าๆ

บางครั้งก็แปลงมาเป็นหยดน้ำ แผ่ปราณคนฟ้าที่ทำให้จิตวิญญาณของคนครั่นคร้าม!

นี่…ก็คือวิญญาณคนฟ้า วิญญาณคนฟ้าธาตุน้ำ!

ยามนี้บนพื้นดินสีทองห่างจากทางฝั่งขวาของแท่นบูชาไปพันจั้งพลันมีแสงสีทองเปล่งวาบขึ้นมา ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเผยกาย

เพิ่งจะปรากฏตัว ป๋ายเสี่ยวฉุนยังอยู่ในสภาวะมึนงง เพราะการนำส่งที่ติดต่อกันนี้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป จิตสำนึกของเขายังคงหยุดอยู่ในสถานที่หลอมพลังจิต นาทีถัดมากลับมาโผล่ในลูกแสงหลังจากที่จิตวิญญาณกลับคืนสู่ร่าง เพิ่งจะลืมตาเบื้องหน้าก็พลันพร่าลายและก็มาอยู่ที่นี่แล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปรอบด้านด้วยความเลื่อนลอย เมื่อสายตาของเขาไปตกอยู่บนมังกรทองตัวมหึมาที่ก้มหัวลงมาเหนือแท่นบูชานั้น ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เบิกกว้าง สำลักลมหายใจ ถอยกรูดไปหลายก้าว มองไปยังมังกรทองตัวนั้นด้วยความคลางแคลงใจ ก่อนจะมองไปยังแสงที่สาดออกมาจากรูเล็กๆ มากมายบนผนังรอบด้านอีกครั้ง

“ก็นึกว่าเป็น มังกรจริงๆ ที่แท้ก็ของปลอมนี่นา ทำเอานายท่านป๋ายตกใจแทบตาย” ป๋ายเสี่ยวฉุนผ่อนลมหายใจ เวลานี้สติพอจะตื่นตัวชัดเจนขึ้นมาได้บ้าง ย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์มากมายก่อนหน้านี้ก็ตระหนักได้ทันทีว่าสถานที่ที่ตัวเองอยู่ในตอนนี้ก็คือชั้นที่สาม!

“ข้าได้อันดับหนึ่ง!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายวาววับ รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย โดยเฉพาะนึกถึงผลเก็บเกี่ยวมหาศาลที่ตัวเองจะได้รับก็ยิ่งฮึกเหิมเข้าไปใหญ่ หลังจากมองประเมินในรอบด้าน ขณะที่กำลังจะพุ่งตัวไปยังแท่นบูชา ทันใดนั้นเขาก็พลันหยุดชะงักด้วยหน้าที่เผือดสี

“หม้อของข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ตนถูกนำส่งมาเร็วเกินไป ยังไม่ทันได้เก็บเอาหม้อใบนั้นมา ดังนั้นจึงรีบเรียกหามัน ก่อนที่แสงสีดำจะเปล่งวาบหนึ่งครั้ง หลังจากเห็นว่าหม้อลายกระดองเต่ายังอยู่เขาถึงเก็บกลับคืนไปด้วยความสบายใจมากขึ้น แล้วก็นึกถึงหน้ากากของตนขึ้นมาอีกจึงก้มหน้าลงมอง พบว่าหน้ากากติดอยู่ตรงหน้าอกของตัวเอง เขาเลยรีบเก็บมันขึ้นมา

ทำทุกอย่างแล้ว เสร็จจึงพุ่งตัวไปยังแท่นบูชาด้วยความตื่นเต้น

เมื่อมาอยู่หน้าแท่นบูขา เขาก็มองมังกรแสงตัวนั้นด้วยความระมัดระวังอยู่พักหนึ่ง ทั้งยังถึงขั้นเอื้อมมือไปจับมันด้วยซ้ำ พอเห็นว่ามือลอดผ่านไปได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็วางใจได้อย่างแท้จริง

“ที่นี่ตกแต่งได้สวยงามมากทีเดียว ถึงขั้นเอาเงาแสงสร้างเป็นมังกร บนพื้นก็มีมังกร ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนสุสานใต้ดิน แต่ทำไมถึงไม่มีโลงศพล่ะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย มาหยุดอยู่เบื้องหน้าป้ายศิลา มองปราดเดียวก็เห็นว่าป้ายศิลานี้ลอยอยู่ ทั้งยังมองเห็นด้วยว่าในกำไลหยกสีฟ้าขาวใต้ป้ายศิลามีกลุ่มหมอก!

ตลอดชีวิตของคนหลายคนไม่เคยได้เห็นวิญญาณคนฟ้าจึงมิอาจจะแยกแยะได้ ทว่าในถุงเก็บของของป๋ายเสี่ยวฉุนมีอยู่สองดวงแล้ว วินาทีที่เขาได้เห็นกลุ่มหมอกในกำไลสีฟ้าขาวจึงรู้ทันทีว่านี่ก็คือวิญญาณคนฟ้า!

และก็เห็นได้ชัดว่าวิญญาณคนฟ้าถูกป้ายศิลากำราบเอาไว้ ไม่สามารถหยิบไปได้อย่างง่ายดาย

ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้ามองนิ่งไปบนป้ายศิลา มองตัวอักษรที่เขียนไว้บนนั้น มองไปมองมาเขาก็พลันเบิกตากว้าง เดินขึ้นหน้าไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเผยความเหลือเชื่อและคาดไม่ถึง

“เราคือจักรพรรดิขุยรุ่นที่สอง นอกจากจะฝังโครงกระดูกไว้ที่นี่แล้ว ยังทิ้งพระราชวังหมิงไว้อีกเก้าแห่ง ตบะของเราได้รับถ่ายทอดจากพระบิดาจึงชำแหละสามจิตเจ็ดวิญญาณอย่างไม่เสียดาย ตามพระประสงค์ของพระบิดา เพื่อให้มันเฝ้าพิทักษ์อยู่ในพระราชวังหมิงทิ้งไว้ให้เป็นโชควาสนาแก่อนุชนคนรุ่นหลังที่ได้ไปครอบครอง”

“ชาวประชาใต้หล้า ไม่มีใครที่ไม่มีสายเลือดเดียวกับเรา ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงถือเป็นคนรุ่นหลังของเรา…”

“สถานที่แห่งนี้ปกปักษ์วิญญาณที่เจ็ดของเรา วิญญาณนี้ก็คือวิญญาณคนฟ้า…”

หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้อ่านประโยคท่อนนี้ ในใจของเขาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เกินการคาดเดาอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ แอบรู้สึกว่าในประโยคนี้คล้ายจะแฝงความลับบางอย่างเอาไว้…

ลมหายใจของเขาถี่รัวอย่างมิอาจห้ามปราม

อ่านต่อไปจนกระทั่งอ่านจบ หัวใจของเขาก็สั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง เพราะบนป้ายศิลานี้มีวิธีการใช้วิญญาณคนฟ้าบอกเอาไว้ด้วย และก็เพราะหลังจากที่ได้อ่านวิธีการนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้…ตนไม่รู้เลยว่าควรจะเอาวิญญาณคนฟ้ามาใช้อย่างไร อีกทั้งในความรู้สึกของเขายังคิดไปด้วยว่าหากอยากจะก่อกำเนิดวิถีฟ้าจริงๆ ถ้าเช่นนั้นก็รวบรวมวิญญาณคนฟ้าให้ครบทั้งห้าธาตุ ก่อนจะดูดซับพวกมันเข้าไปทั้งหมด จากนั้นจึงฝ่าทะลุออกจากยามาเป็นก่อกำเนิด!

ทว่าในความเป็นจริงแล้ว กลับไม่ได้เป็นเช่นนี้

จำเป็นต้องรวมวิญญาณคนฟ้าให้ครบทั้งห้าธาตุก่อนจริงๆ ถึงจะทำให้คนคนหนึ่ง ก่อกำเนิดวิถีฟ้าได้ แต่กลับไม่จำเป็นต้องรอให้รวมครบก่อนแล้วค่อยดูดซับมัน ในความเป็นจริงแล้วสามารถดูดซับได้ทุกเวลา อีกทั้ง…ทุกๆ การดูดซับวิญญาณคนฟ้าหนึ่งดวงก็จะสามารถสร้างร่างจำแลงที่มีตบะเท่าตัวจริงขึ้นมาหนึ่งร่าง!!!

เรื่องแบบนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครพูดถึงมันมาก่อน อาจเป็นเพราะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ราวกับว่าข้อมูลนี้ถูกลบเลือนออกจากประวัติศาสตร์ไปแล้ว!

หลังจากที่ดูดซับเอาวิญญาณคนฟ้าทั้งห้าธาตุที่ต่างกันจนครบก็จะมีร่างจำแลงห้าร่าง ซึ่งร่างจำแลงทั้งห้านี้มีตบะเทียบเท่ากับตัวจริง พลังในการต่อสู้สูงจนไร้คำบรรยาย และหากคิดจะก่อกำเนิดก็ต้องผสานรวมร่างจำแลงทั้งห้านี้กับร่างจริง เมื่อมันกลายมาเป็นพลังที่น่าหวาดกลัวจะทำให้ไม่มีทางล้มเหลวและสามารถก่อกำเนิดไดในชั่วพริบตา!

จากในขั้นตอนนี้ดูออกได้ว่าความแข็งแกร่ง ด้านพลังการสู้รบของผู้ที่ก่อกำเนิดวิถีฟ้าสำเร็จย่อมมากมหาศาลจนไม่มีอะไรมาเทียบเคียงได้

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียซะทีเดียว ข้อเสียของมันก็คือ…หากดูดซับวิญญาณคนฟ้าดวงแรกเข้าไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ก็จะไม่สามารถใช้วิญญาณสัตว์ฟ้ามาก่อกำเนิดได้อีก และหากคิดจะฝ่าทะลุขั้นให้ได้ เส้นทางที่เหลือให้เดินก็มีเพียงเส้นทางของก่อกำเนิดวิถีฟ้าเท่านั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!