Skip to content

A Will Eternal 573

บทที่ 573 สหายนักพรตป๋ายช่วยด้วย

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังหลอมไฟ เวลาก็ผ่านไปแล้วแปดวัน…..

บัดนี้บนท้องฟ้าที่อยู่ห่างจากหุบเขาระยะหนึ่ง โจวอีซิงผมเผ้ายุ่งเหยิง สภาพกระเซอะกระเซิงถึงขีดสุด เขายังถึงขั้นกระอักเลือด ร้องคำรามด้วยความเจ็บแค้น กำลังเผ่นหนีไม่หยุด

ด้านหลังของเขามีชนพื้นเมืองนับร้อยคนที่รวมกลุ่มกันกำลังไล่ตามมาเข่นฆ่าเขาด้วยความฮึกเหิม

“พวกเจ้ารังแกกันมากเกินไปแล้ว!!”” โจวอีซิงคำรามด้วยความเศร้าสร้อย ในใจเขาอึดอัดคับแค้น ข้อเรียกร้องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีต่อเขาคือต้องหาวิญญาณพยาบาทมาให้ได้หนึ่งแสนดวง แต่ตบะเขาถูกปิดผนึก ให้ออกมาตามหาข้างนอกเช่นนี้ย่อมไม่สามารถหาได้มากมายขนาดนั้น อีกทั้งตอนนี้ตบะเขาเหลือแค่ครึ่งเดียว แม้จะเป็นรวมโอสถช่วงท้าย แต่เดิมทีก็มีบาดแผลติดตัว ตอนนี้พอร่ายใช้พลังในการสู้รบ กำลังจึงถดถอยไปอยู่ระดับสร้างฐานรากช่วงต้น

แล้วก็ใช่ว่าเขาจะไม่คิดฉวยโอกาสนี้หนีไป แต่เขากลับพบว่าหลังจากที่ออกห่างจากป๋ายเสี่ยวฉุนมาได้ระยะหนึ่ง ผนึกในร่างของตนก็คล้ายจะระเบิดออก ทำเอาเขาตกใจจนต้องรีบย้อนกลับ คำสาปแช่งในใจที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเพิ่มพูน

หากเพียงเท่านี้ก็ยังว่าไปอย่าง แต่นี่ระหว่างทางยังโดนคนหมายหัวด้วยเจตนาชั่วร้าย ตอนที่เขาสัมผัสได้ว่าท่าไม่ดีและกำลังจะหนีออกมานั้นกลับมีชนพื้นเมืองกระโดดเข้ามาขัดขวางเอาไว้ แม้ว่าตลอดทางที่ผ่านมาเขาจะสังหารคนเหล่านั้นไปได้ไม่น้อย แต่กลับยังคงมีชนพื้นเมืองปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อยๆ พอถึงท้ายที่สุดก็แห่กันมาจากสี่ด้านแปดทิศ ราวกับว่าชนพื้นเมืองเหล่านี้กำลังล่าสัตว์ ส่วนตนหากไม่ระวังแม้แต่นิดก็จะกลายมาเป็นเหยื่อให้พวกเขาล่าไปทันที

เมื่อวิกฤตมาเยือน โจวอีซิงจึงถูกบีบให้จำต้องใช้เวทลับ เผาผลาญพลังชีวิตไปอย่างไม่เสียดายจนฝ่าออกมาได้อย่างกล้อมแกล้ม ทว่าพอชนพื้นเมืองพวกนั้นเห็นตนร่ายใช้เวทลับกลับมีท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือแล้วไล่ตามมาอย่างไม่คิดชีวิต

ในใจโจวอีซิงคับแค้นถึงขีดสุด หากเปลี่ยนมาเป็นเวลาอื่นที่ตบะของเขาไม่ถูกปิดผนึก เจอกับพวกชนพื้นเมืองสร้างฐานรากเหล่านี้เขาย่อมไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายไปแน่นอน ยิ่งมายั่วแหย่ให้เขาโมโหอย่างนี้ด้วยแล้ว การที่จะบดขยี้อีกฝ่ายให้บี้แบนติดพื้นดินก็อยู่ที่แค่ความคิดเดียวของเขาเท่านั้น

ทว่าตอนนี้พลังดวงวิญญาณของเขาถูกปิดผนึก เวทลับมากมายมิอาจร่ายใช้ได้ พอนึกว่าต้องมาถูกชนพื้นเมืองพวกนี้ไล่ฆ่า เขาก็น้อยใจจนน้ำตาแทบจะไหลลงมา กระนั้นเขาก็รู้ดีว่าหากตนถูกไล่ตามมาทันเมื่อไหร่ เกรงว่าจะเป็นหรือตายก็ยังยากที่จะคาดเดาได้

“ข้าคืออาจารย์หลอมวิญญาณระดับสาม พวกเจ้ากลับกล้าทำกับข้าถึงเพียงนี้!!”” เสียงรวดร้าวของโจวอีซิงดังก้องไปรอบด้าน แล้วอยู่ๆ ด้านหลังของเขาก็มีมีดวิญญาณสองเล่มที่เกิดจากเวทลับพุ่งทะยานเข้ามาระเบิดอยู่ข้างกายเขา ก่อกลายเป็นแรงโจมตีที่ทำให้โจวอีซิงกระอักเลือดอีกครั้ง แล้วต้องโซซัดโซเซเผ่นหนีต่อไป

ด้านหลังของเขามีชนพื้นเมืองนับร้อยคนที่บัดนี้สายตาโชนแสงลุกเรือง ตามติดประชิดไม่ปล่อย อีกทั้งในบรรดาชนพื้นเมืองร้อยกว่าคนนี้ยังมีผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนสองคน สองคนนี้ฉายความละโมบออกมาทางดวงตา ตอนที่มองโจวอีซิงก็ราวกับมองเห็นสมบัติเคลื่อนที่ได้

แต่พอได้ยินโจวอีซิงพูดว่าตนคืออาจารย์หลอมวิญญาณระดับสาม คนทั้งสองก็พลันหน้าเปลี่ยนสี แม้แต่ชนพื้นเมืองที่อยู่รอบด้านก็ยังหน้าเผือดสี เห็นได้ชัดว่าตกตะลึงไม่น้อย

“อาจารย์หลอมวิญญาณ? คลื่นพลังวิญญาณบนร่างของคนผู้นี้อ่อนกำลังถึงขีดสุดจนไม่สามารถวิเคราะห์ตัวตนของเขาได้ หากเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณจริงๆ ก็ยังว่าไปอย่าง แต่ถ้าแกล้งปั่นหัวพวกเราล่ะ อีกอย่างตบะของเขาก็ไม่ใช่สร้างฐานรากจริงๆ น่าจะเป็นรวมโอสถ หากอาการบาดเจ็บของเขาฟื้นตัวเมื่อไหร่ พวกเราจะก็พลาดโอกาสที่จะสังหารเขาแล้วช่วงชิงทรัพย์สมบัติมา แถมยังหาหายนะครั้งใหญ่มาใส่ตัวด้วย…”

ขณะที่ชนพื้นเมืองเหล่านี้กำลังสองจิตสองใจ ผู้ฝึกวิญญาณสองคนหันมามองหน้ากัน ก่อนที่คนหนึ่งในนั้นจะกัดฟันแล้วพลันเอ่ยขึ้นว่า

“เจ้าบอกว่าตัวเองคืออาจารย์หลอมวิญญาณ ถ้าเช่นนั้นจงเอาไฟเจ็ดสีกลุ่มหนึ่งออกมา พวกเราจะเชื่อ และจะขออภัยไต้เท้าอาจารย์หลอมวิญญาณทันที แถมยังจะส่งมอบของขวัญชดเชยให้ด้วย!”

พอโจวอีซิงได้ยินประโยคนี้ก็ยิ่งทุกข์ระทม ยามนี้เขาไม่มีไฟเจ็ดสี อีกทั้งเนื่องจากตบะถูกปิดผนึก แม้แต่ความสามารถในการหลอมไฟของเขาก็ไม่มีอีกแล้ว ไม่รู้ว่าควรจะพิสูจน์ตัวตนเช่นไร ได้แต่ร้องคำรามด้วยความเจ็บใจแล้วร่ายใช้เวทลับเพิ่มความเร็วในการเผ่นหนีอีกครั้ง

“บังอาจกล้าหลอกว่าเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณเชียวรึ!!”

“เขาหนีไปได้ไม่ไกลหรอก ตามไป ฆ่าคนผู้นี้ วิกฤตคราวนี้ของเผ่าภูเขาดำเราก็จะคลี่คลายไปได้! แถมคนผู้นี้ยังบาดเจ็บสาหัส ตบะแค่สร้างฐานราก นี่ก็คือของขวัญชิ้นใหญ่ในการข้ามผ่านด่านที่ยากลำบากนี้ซึ่งจักรพรรดิหมิงมอบให้กับเผ่าภูเขาดำของพวกเรา!!” ผู้ฝึกวิญญาณสองคนนั้นพอเห็นว่าโจวอีซิงเพิ่มความเร็วในการหลบหนีก็ผ่อนลมหายใจออกมาได้ ก่อนจะไล่ตามไปอีกครั้ง

หลังจากการไล่ล่าครั้งนี้ผ่านไปหนึ่งวันก็ยังคงไม่ยุติลง โจวอีซิงแทบจะใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีโกยหนีอย่างบ้าคลั่ง ไฟโทสะที่เก็บกลั้นอยู่ในใจทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองใกล้จะระเบิดออกมา

“ข้าเกลียดคนแซ่ป๋ายที่สุด! คนแซ่ป๋ายทุกคนใต้หล้านี้ ข้าเกลียดมันหมดทุกคนเลย!!!” ความชิงชังในใจของโจวอีซิงพวยพุ่งไปสู่จุดสูงสุด

“ก่อนหน้านี้ข้าอุตส่าห์เตือนเขาด้วยความหวังดีว่าหลอมไฟสิบเอ็ดสีนั้นยากมาก เขาไม่ฟังข้าก็ยังพอว่า แต่นี่พอล้มเหลวกลับอับอายแล้วพาลโกรธใส่ข้า!”

“หากไม่เป็นเพราะเจ้าคนแซ่ป๋ายนั่นขายหน้าจนพาลโกรธ บีบให้ข้าออกมาหาวิญญาณ มีหรือที่ข้าต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้!” โจวอีซิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อเห็นว่าพวกคนที่ไล่ตามมาฆ่าด้านหลังยิ่งขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ โจวอีซิงก็คำรามเดือดดาล ทำได้แค่เพียงร่ายใช้เวทลับต่อไป หลังจากทิ้งระยะห่างมาได้ มุมปากเขาก็มีเลือดซึมไม่ขาดสาย ห้อทะยานตรงไปยังทิศที่ตั้งของถ้ำที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่

เวลาผ่านพ้นไป สำหรับวันนี้ถือเป็นวันที่โจวอีซิงมิอาจลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต ภายใต้การไล่ฆ่าครั้งนี้ เขาได้ใช้เวทลับไปแล้วหลายครั้ง แถมยังใช้หมดทุกอย่างโดยไม่คิดเสียดายชีวิต เวลานี้พลังชีวิตของเขาถูกเผาผลาญไปแล้วไม่น้อย แม้แต่เส้นผมก็ยังหงอกไปแล้วหลายเส้น เพราะจ่ายค่าตอบแทนเช่นนี้เขาถึงยืนหยัดมาได้จนกระทั่งบัดนี้

และในที่สุดเขาก็มองเห็นเขาหัวโล้นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ได้ไกลๆ แล้ว เขาเกือบจะหลุดร้องไห้ออกมา นั่นคือน้ำตาที่มาจากความซาบซึ้งใจ ไม่เคยมีเวลาไหนที่เขาจะรอคอยให้ได้กลับคืนไปอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนเท่าเวลานี้มาก่อน

“พวกเจ้ารอข้าก่อนเถอะ!!” โจวอีซิงคำรามกร้าวเสียงดัง ตรงดิ่งไปหาภูเขาหัวโล้น ชนพื้นเมืองนับร้อยรวมไปถึงผู้ฝึกวิญญาณสองคนที่ไล่ตามมาด้านหลังเขาบัดนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน ตอนที่มองไปยังเขาหัวโล้น

พวกเขาก็แอบรู้สึกได้ถึงลางร้ายบางอย่าง พอมองหน้ากันไปมาแล้วจึงกัดฟันกรอด ต่างคนต่างทำมุทราแผ่ขยายพลังจิตวิญญาณบนร่างออกมาทันที

การแผ่ขยายของพลังจิตวิญญาณนี้ทำให้ท้องฟ้าเหนือศีรษะของพวกเขาเกิดเป็นมีดวิญญาณสองเล่มขนาดหลายจั้ง แล้วทันใดนั้นมีดวิญญาณทั้งสองก็ผสานรวมเข้าด้วยกันกลายมามีขนาดประมาณสิบจั้ง ก่อนที่พวกชนพื้นเมืองนับร้อยจะร้องคำรามอย่างพร้อมเพรียงกัน

หลังเสียงคำรามนั้นตามมาด้วยเลือดลมเป็นเส้นๆ ที่ระเบิดออกมาจากร่างของพวกชนพื้นเมืองซึ่งกลายมาเป็นควันดำเป็นระลอกที่ลอยไปผสานรวมเข้ากับมีดวิญญาณสิบจั้งนั้น มีดวิญญาณนี้ประหลาดมาก มันเป็นเหมือนปากขนาดใหญ่ที่สูบสวบครั้งเดียวก็ดูดเอาเลือดลมของชนพื้นเมืองนับร้อยไปหมดในทันที ท่ามกลางเสียงกึกก้อง ตัวมีดพลันขยายใหญ่ สุดท้ายกลายมามีขนาดห้าสิบกว่าจั้ง ละกำลังพุ่งเข้าไปตวัดฟันใส่โจวอีซิง

ทำทุกอย่างนี้เสร็จ ผู้ฝึกวิญญาณสองคนนั้นก็พลันอ่อนระโหยโรยแรงทันใด ชนพื้นเมืองนับร้อยรอบด้านต่างก็หน้าขาวเผือด แต่พอมองมายังโจวอีซิงกลับเผยความรอคอย

“เวทลับของชนเผ่า!!” หัวใจโจวอีซิงเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง เขากรีดร้องเสียงแหลม ไฟแห่งความร้อนรนโจมตีจิตใจจนกระอักเลือดติดๆ กันเจ็ดแปดคำ ร่ายใช้เวทลับอีกครั้ง ตอนที่มีดวิญญาณเล่มนั้นเข้ามาใกล้เขาก็ระเบิดความเร็วทันใดจึงหลบพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด ล้มลุกคลุกคลานไปบนภูเขาหัวโล้น ก่อนจะร้องคำรามโหยหวน

“สหายนักพรตป๋ายช่วยด้วย!!””

แทบจะเวลาเดียวกับที่โจวอีซิงเอ่ยปาก

มีดวิญญาณใหญ่ยักษ์ห้าสิบจั้งเล่มนั้นก็ตรงเข้าหาภูเขาหัวโล้นแห่งนี้ด้วยความเร็วที่ไม่ลดน้อยลงราวกับต้องการฟาดฟันโจวอีซิงไปพร้อมๆ กับภูเขาลูกนี้ รวมไปถึงทุกอย่างที่ดำรงอยู่ในภูเขาให้สิ้นราบพนาสูรไปพร้อมกัน!

เวลาเดียวกันนั้น ในถ้ำบนภูเขาหัวโล้นแห่งนี้ ร่างจำแลงทั้งสามของป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนออกไปจับวิญญาณข้างนอก ร่างจริงนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านในด้วยสีหน้าดุร้าย ผมเผ้ายุ่งเหยิง นัยน์ตาทั้งคู่ก็ยิ่งเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย มองเหมือนคนวิปลาสสติคลุ้มคลั่ง

ตอนนี้ในมือของเขามีไฟสิบสีอยู่กลุ่มหนึ่ง รอบด้านตลบอบอวลไปด้วยวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งกำลังถูกไฟนี้ผสานรวมอย่างต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปที่มันโดยไม่กล้าเบนความสนใจไปที่เรื่องอื่นแม้แต่น้อย เรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกก่อนหน้านี้เขาก็มองเห็นแล้ว แต่กลับไม่มีเวลาไปสนใจ ตอนนี้ดวงตาเขาแดงฉานไปหมด ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาล้มเหลวหลายครั้งเกินไป และทุกครั้งที่ทำไม่สำเร็จก็ต้องย้อนกลับมาเริ่มใหม่ ค่าตอบแทนนั้นมากมายเหลือคณา

“คราวนี้ต้องทำสำเร็จแน่นอน ต้องทำได้แน่!!”” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลั้นลมหายใจ เห็นว่าไฟสิบสีกำลังกลืนกินวิญญาณไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ไฟสิบเอ็ดสีกำลังจะปรากฏขึ้นมา ทว่าเวลานี้เองไฟนั้นกลับส่ายไหวอย่างแรงคล้ายไม่มั่นคง ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี ร้อนใจรีบยกมือซ้ายขึ้นทำมุทราชี้ไปเพื่อเพิ่มความเร็วในการผสานรวมของไฟสิบสีนี้

ทว่าขณะที่กำลังผสานรวมดวงวิญญาณ ไฟนี้ยิ่งส่ายไหวอย่างชัดเจน ตามมาด้วยคลื่นคลุ้มคลั่งที่ระเบิดออกมาจากด้านในไฟสิบสีจนป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน

และเวลานี้เอง โจวอีซิงที่อยู่ด้านนอกก็ร้องโหยหวนขึ้นมา และยังมีเสียงคำรามของชนพื้นเมืองนับร้อยที่ดังมาเข้าหูป๋ายเสี่ยวฉุน

เสียงนี้เพิ่งจะดังขึ้นก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงกัมปนาทที่ดังสะเทือนเลือนลั่นยิ่งกว่า ด้วยความไม่มั่นคงของไฟสิบสีนี้และไม่รู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น อยู่ๆ มันถึงได้ระเบิดตัวเองเสียงดังตูมตามสนั่นหวั่นไหว

ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องตะโกนดังสนั่น ถอยกรูดออกห่าง หยิบเอาร่มราตรีนิรันดร์ออกมา นาทีที่กางออกเพื่อปกป้องตัวเอง เสียงตูมๆๆๆ ก็ดังขึ้นมาราวกับแผ่นดินไหวภูเขาสะเทือน!

ตลอดทั้งเขาหัวโล้นเกิดเสียงดังกัมปนาท ยังไม่ทันที่มีดวิญญาณจะฟันลงมาโดน ภูเขาก็พังถล่มมาจากภายใน เปลวเพลิงร้อนลวกไร้คำบรรยายระลอกหนึ่งพลันแผ่ขยายไปทั่วด้านในชั่วพริบตาเดียว!

ขณะที่เศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวว่อนก็หลอมละลายไปอย่างรวดเร็วราวกับกลายมาเป็นหินลาวาแดงฉาน…..ส่วนมีดวิญญาณที่เข้ามาใกล้นั้นแค่ปะทะกับไฟนี้ก็แตกทลายกลายมาเป็นเถ้าธุลีที่สลายไปตามสายลม….ราวกับว่าไม่เคยดำรงอยู่มาก่อน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!