บทที่ 591 อภินิหารไฟสวรรค์
ฝนไฟนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป อยู่ๆ ก็เทโครมลงมาใส่ตระกูลป๋าย
เปลวไฟโชติช่วงชัชวาลแทบจะสะท้อนให้ฟ้าดินเป็นสีเพลิงแดงโร่สว่างไสว ตลอดทั้งตระกูลป๋ายล้วนสั่นคลอน ค่ายกลก็ยิ่งเปิดใช้เต็มกำลังเพื่อสกัดกั้นฝนไฟที่ตกลงมา
เวลาเดียวกันนั้น กลางดึกคืนนี้ คนแทบทุกคนในตระกูลป๋ายต่างก็ตกตะลึงไปกับภาพเหตุการณ์นี้ พวกเขาพากันเดินออกมา พอมองเห็นฝนไฟกลางนภากาศที่ตกลงมาราวกับวันโลกาวินาศ ทุกคนก็ระเบิดเสียงร้องอุทานดังระเบ็งเซ็งแซ่
“นี่…นี่มันคืออะไร?”
“หรือว่ามีศัตรูมาโจมตี!!”
“สวรรค์ นั่นมันฝนไฟ…”
เสียงตูมตามดังเขย่าคลอนไปทั้งนภากาศและปฐพี อุณหภูมิของฝนไฟนั้นใกล้เคียงกับไฟสิบสองอย่างหาขีดจำกัดไม่ได้ ยามนี้เมื่อร่วงลงมา ค่ายกลของตระกูลป๋ายก็ถึงกับบิดเบือน ขณะที่ค่ายกลถูกเปิดใช้อย่างเต็มกำลัง เงาร่างแต่ละเงาก็บินออกมาจากเมืองตระกูลป๋ายแล้วมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความตะลึงพรึงเพริดอย่างหาสิ่งใดมาเปรียบไม่ได้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!!” ป๋ายฉีเองก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย บัดนี้จิตวิญญาณของเขาสะท้านไหว สูดลมหายใจเฮือกๆ ติดต่อกัน ฮูหยินไช่ก็เดินออกมาจากในหอเรือนเช่นกัน พอเห็นทุกอย่างคาตาตัวเอง นางก็ถึงกับเบิกตากว้างอ้าปากค้าง
“ไฟสิบสองสี…นี่คือ…ไฟสิบสองสี จะเป็นไปได้อย่างไร สวรรค์บันดาลไฟหลายสีให้ร่วงลงมางั้นรึ?!!” และยังมีลูกหลานผู้เป็นความภาคภูมิใจของตระกูลป๋ายสายต่างๆ ที่ยามนี้ต่างก็หอบหายใจถี่กระชั้น ทั้งตกใจทั้งสงสัย
ขณะที่ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีกันอยู่นั้น มองไกลๆ ตลอดทั้งตระกูลป๋ายก็ราวกับตกอยู่ในทะเลเพลิง และยามนี้นอกเมืองตระกูลป๋าย ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยืนเซ่อไปเหมือนกัน เขามองไปยังทิศทางของตระกูลป๋ายด้วยความอึ้งงัน
มองเห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อฝนไฟตกลงมาจากฟ้าอย่างต่อเนื่อง ตระกูลป๋าย…จึงถูกฝังกลบอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงไปแล้ว
“นี่จะโทษข้าไม่ได้นะ…ข้าไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ หนังหัวชายิบๆ เขาไม่กล้ามัวโอ้เอ้ กัดฟันได้ก็เดินออกไปหนึ่งก้าวแล้วร่ายผนึกมิวางวายอีกครั้ง ฉวยโอกาสตอนที่คนตระกูลป๋ายกำลังวุ่นวายกลับไปยังเขตเหนือ
และวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาถึงเขตเหนือนั้นเอง ค่ายกลของตระกูลป๋ายก็คล้ายจะแบกรับฝนไฟมากมายขนาดนี้ไม่ไหวจึงทำท่าง่อนแง่นใกล้จะพังทลายลงเต็มที และเวลานี้เอง ทันใดนั้นเสียงคำรามเดือดดาลหลายเสียงก็พลันดังมาจากเขตตะวันออก เมื่อเสียงคำรามดังสะท้อน เงาร่างอย่างน้อยเจ็ดแปดเงาก็คำรามอู้ออกมา เงาร่างทั้งเจ็ดแปดเงานี้เพิ่งจะปรากฏตัว ตบะก่อกำเนิดก็ระเบิดตูมออกมาทันที
นั่นก็คือผู้อาวุโสก่อกำเนิดของตระกูลป๋าย ทั้งเจ็ดแปดคนนี้ต่างก็แยกกันไปนั่งบัญชาการแปดทิศทาง ออกแรงเต็มกำลังเพื่อค้ำประคองค่ายกลจนค่ายกลค่อยๆ สงบลง
ภาพนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนพูดไม่ออก ยิ่งตื่นตระหนกมากกว่าเดิม เขามองทะเลเพลิงนอกค่ายกลอยู่ตรงเขตเหนือด้วยใจที่ระส่ำระส่าย หน้านิ่วคิ้วขมวด
“คงไม่มีใครรู้กระมังว่าเป็นฝีมือข้า…” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนกลอกกลิ้ง เลียริมฝีปาก ในใจลึกๆ กลัดกลุ้ม เขาเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าแค่ตนหลอมไฟจะน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้…
และขณะที่เขากำลังกระวนกระวายใจอยู่นั้น ในเขตตะวันออกก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมา
ชายผู้นี้สวมอาภรณ์หรูหรา ใบหน้าที่ไม่ต้องแสดงความโกรธก็ยังน่าเกรงขามบัดนี้มืดทะมึนอย่างถึงที่สุด บนร่างของเขายังมีบารมีของคนที่อยู่ตำแหน่งสูงส่งแผ่ออกมาเป็นระลอก ตบะก่อกำเนิดช่วงกลาง ดูแล้วไม่ธรรมดาอย่างมาก เมื่อเขาเดินออกมา คนในตระกูลทุกคนที่มองเห็นเขาต่างก็หน้าถอดสี รีบก้มหน้าคารวะทันที
“คารวะท่านประมุข”
ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือบิดาของป๋ายฮ่าว เป็นประมุขตระกูลป๋ายรุ่นนี้ เขาเงยหน้ามองนภากาศนอกค่ายกล มองฝนไฟที่ยังคงตกลงมาไม่หยุดด้วยสีหน้าที่นิ่งสนิทยิ่งกว่าผิวน้ำ ริมฝีปากทั้งคู่ของเขาขยับน้อยๆ คล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง
ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นเสียงฮึดฮัดเย็นเยียบซึ่งแฝงไว้ด้วยความแก่ชรากลับดังมาจากใต้ดินของเมืองตระกูลป๋าย เสียงนี้ดังเกินอสนีบาต เขย่าคลอนชั้นเมฆบนท้องฟ้าได้โดยตรง ราวกับว่าบัดนี้ฟ้าดินได้ผสานรวมเข้าด้วยกัน คนและฟ้ารวมเป็นหนึ่ง ฟ้าก็คือเขา เขาก็คือฟ้า
“แยก!” เพียงแค่คำเดียว ท้องฟ้าก็ขานรับด้วยเสียงดังกระหึ่ม ชั้นเมฆสีแดงฉานเหล่านั้นสลายตัวกระจัดกระจายออกจากกันทันใดราวกับมีมือที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งปัดกวาดทุกอย่าง ไม่นานชั้นเมฆเบื้องบนก็สลายไปหมด
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในเขตเหนือก็ได้ยินคำนี้เหมือนกัน และยิ่งสัมผัสได้ถึงอำนาจจิตที่แกร่งกล้าระลอกหนึ่งซึ่งเข้ามาแทนที่ปณิธานแห่งท้องฟ้า ปกคลุมไปแปดทิศ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาขนลุกขนชันขึ้นมาทันที
“คนฟ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเทิ้ม รีบอำพรางปราณของตัวเองอีกครั้ง
ส่วนฝนไฟนั้นก็ค่อยๆ ลดน้อยลงราวกับขาดต้นกำเนิด เมื่อทั้งตระกูลป๋ายร่วมกันลงมือทำให้พลังค่ายกลเปิดใช้อย่างสมบูรณ์แบบ ในที่สุด…ก็สามารถสกัดกั้นทะเลเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวไว้ข้างนอก ไม่ทำให้ตระกูลป๋ายต้องพินาศวอดวาย…
“ใช้วิธีการหลอมละลายไฟสิบสองสีมาโจมตีตระกูลป๋ายของข้าเชียวรึ…สืบค้นเรื่องนี้ต่อไป ข้าผู้อาวุโสอยากจะรู้นักว่าเป็นฝีมือของใคร!” เสียงบุรพาจารย์คนฟ้าของตระกูลป๋ายที่แฝงไว้ด้วยความเย็นชาทั้งยังมากด้วยความเผด็จการพลันดังออกมาจากใต้ดิน
ในเมืองตระกูลป๋าย คนแทบทุกคนล้วนถูกเขย่าคลอนจิตวิญญาณ โดยเฉพาะพวกคนในตระกูลที่ยิ่งเผยความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่งออกมาทางดวงตา ทุกคนพากันคุกเข่ากราบกรานแล้วรับคำอย่างพร้อมเพรียงกัน
ป๋ายฉีก็ดี ฮูหยินไช่ก็ช่าง และยังมีผู้อาวุโสในตระกูลต่างก็มีท่าทีเช่นเดียวกัน ต่อให้เป็นประมุขของตระกูลป๋ายผู้นั้นบัดนี้ก็ยังมีสีหน้าเคร่งเครียด แม้ว่าจะไม่ได้คุกเข่าคำนับ แต่กลับโค้งตัวคารวะต่ำๆ ไปทางใต้ดิน เมื่อเงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขาไม่น่ามองอย่างมาก หลังจากสะบัดปลายเสื้อหนึ่งครั้ง เสียงที่เต็มไปด้วยบารมีไม่เว้นที่ให้ตั้งคำถามก็พลันดังออกมา
“ฝ่ายอาญา ฝ่ายกฎหมาย รวมไปถึงผู้อาวุโสในตระกูลทุกท่าน จงประกาศคำสั่งของข้าออกไป ระดมกำลังของคนทั้งตระกูลตรวจสอบเรื่องนี้ให้รู้แน่ชัด!!”
คืนนี้คนแทบทั้งตระกูลป๋ายต่างก็ไม่มีกะจิตกะใจจะพักผ่อน ภายใต้การนำของผู้อาวุโสหลายคนในตระกูลป๋าย ทุกคนที่อยู่ฝ่ายอาญาและฝ่ายกฎหมายต่างก็ลงมือสืบค้นเรื่องนี้กันอย่างเอาจริงเอาจัง
เริ่มจากการตรวจสอบภายใน
ไม่นานก็ตรวจสอบมาถึงภูเขาจำลองที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ก่อนหน้านี้ แม้จะมองออกว่าต้นตอมาจากที่นั่น แต่กลับหาร่องรอยไม่เจอ กระนั้นการสืบค้นอย่างเต็มกำลังนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะกับคนในก็ยิ่งเข้มงวด
ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญแขวน รู้ว่าคราวนี้ตนก่อเรื่องไม่ใช่เล็กๆ แต่พอนึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่สำนักสยบธาร แถมคนตระกูลป๋ายก็เย็นชาและโหดร้ายต่อลูกศิษย์ของตนอย่างมาก เขาก็รู้สึกว่าดูเหมือนตนจะไม่ได้ทำอะไรผิด
“ข้าไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย ทำไมจะต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่กันแบบนี้ด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ไม่นานคืนนี้ก็ผ่านพ้นไป ทว่าการตรวจสอบนี้กลับยังไม่สิ้นสุด จนกระทั่งดำเนินไปได้อีกหลายวัน ส่วนของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกค้นไปแล้ว สุดท้ายตลอดทั้งตระกูลป๋ายก็ไม่ได้ผลพวงใดๆ กลับไป เรื่องนี้จึงกลายมาเป็นคดีที่ค้างเติ่ง…
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าสถานการณ์ช่วงนี้ตึงเครียดจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามหลอมไฟอีก ทว่าการอนุมานในใจกลับไม่เคยยุติลง เขาคอยครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ทำให้ตนล้มเหลวอยู่ตลอดเวลา
“ถึงขนาดมีไฟสวรรค์ตกลงมา ต้องมีจุดไหนที่เป็นปัญหาแน่นอน…”
“แต่ว่าอานุภาพของไฟสวรรค์นี่ก็ไม่น้อยเลย แถมนี่ยังเป็นแค่ไฟสิบสองสี ถ้าไปถึงไฟสิบห้าสีเมื่อไหร่…แล้วมีฝนไฟตกลงมา ตระกูลป๋ายนี่…คงสิ้นราบพนาสูรไปเลยกระมัง?” ด้านหนึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกใจสั่นไปกับไฟสวรรค์ ส่วนอีกด้านหนึ่งกลับกลัดกลุ้มเรื่องสาเหตุที่ทำให้ตนล้มเหลว เขาจึงคอยอนุมาน วิเคราะห์ทุกความเป็นไปได้อยู่ในห้องตัวเองอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปอีกห้าวัน ใบหน้าของเขาเริ่มซีดเซียว ดวงตาก็เว้าโบ๋ลงไปเล็กน้อย และการอนุมานในสมองก็ได้ดำเนินมาถึงขีดสุดแล้ว
“ตามหลักแล้ว ไม่มีทางที่จะล้มเหลวได้นี่นา…”
“แถมขั้นตอนก่อนหน้านี้ก็ราบรื่นดีมาก มีเพียงความล้มเหลวตอนสุดท้ายที่จะกลายเป็นไฟเท่านั้น นี่มันผิดปกติอย่างมาก…”
“ทว่าตอนรวมเป็นยาวิญญาณกลับสำเร็จเสียนี่…”
“ผิดพลาดตรงไหนกันแน่นะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนทึ้งผมของตัวเองอย่างแรง หลังจากอนุมานอย่างละเอียดไปทีละขั้นแล้ว กลางวันของวันนี้ร่างของเขาก็พลันสั่นไหวน้อยๆ เงยหน้าขึ้นทันใด ลมหายใจถี่กระชั้น ดวงตาทั้งคู่ฉายแสงคมกริบ
“หรือว่า…เป็นเพราะร่างจำแลงของข้า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดถึงทุกข้อแล้ว สุดท้ายจึงวางความเป็นไปได้มากที่สุดไว้ที่ร่างจำแลงของตัวเองมาหลอมไฟสิบสองสีพร้อมกับร่างจริง
“หากสาเหตุเป็นเพราะร่างจำแลง ถ้าเช่นนั้นทุกอย่างก็สามารถอธิบายได้ทะลุถึงกันหมดแล้ว ร่างจำแลงของข้าสร้างมาจากวิญญาณคนฟ้า แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่รู้ว่ามันมีอิทธิฤทธิ์อะไรบ้าง หรือว่า…เป็นเพราะร่างจำแลงจริงๆ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าจะเป็นไปได้ ลังเลอยู่พักหนึ่งเขาก็ทิ้งร่างจำแลงของตัวเองเอาไว้ร่างหนึ่ง ส่วนตัวจริงกลับแอบจากไปอย่างเงียบเชียบ
ต่อให้เขาจะรู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ตึงเครียด แต่หากไม่พิสูจน์ดู หัวใจเขาก็จะต้องคันยิบๆ ราวกับมีแมวมาสะกิดเกา
เพื่อทดสอบว่าทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับร่างจำแลงหรือไม่ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงห้อตะบึงออกห่างจากเขตอิทธิพลของตระกูลป๋าย จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าปลอดภัย เขาก็หาภูเขาลึกแห่งหนึ่งแล้วเริ่มหลอมไฟสิบสองอีกครั้ง
คราวนี้เขาไม่ได้ใช้พลังของร่างจำแลง แต่ใช้กำลังทั้งหมดของตัวเองดำเนินการทดลองไปตามขั้นตอนอย่างที่เคยทำคราวก่อนๆ แม้ว่าระหว่างนั้นจะยากลำบากเล็กน้อย มีหลายครั้งที่เขาเกือบจะควบคุมไม่อยู่ แต่เขากลับดื่มเหล้าวิเศษลงไปอย่างไม่เสียดายเพื่อนำมาชดเชยพลังกายของตัวเองที่ถูกเผาผลาญไป
ทั้งยังสิ้นเปลืองเวลาเพิ่มขึ้นอีกนิด นั่นถึงได้นำทะเลเพลิงของไฟสิบสองสีมารวมอยู่กลางฝ่ามือ กลายมาเป็นไฟได้สำเร็จด้วยอาการเหนื่อยล้าสุดขีดจนหัวสมองปวดบวม
เมื่อหลอมไฟได้แล้ว ตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็โชกไปด้วยเหงื่อราวกับเพิ่งไปตากฝนมา ขณะเดียวกันกับที่ดีใจฮึกเหิม เขาก็ต้องอ้าปากหอบหายใจหนักๆ ไปด้วย
“ขั้นตอนทั้งหมดไม่ต่างไปจากก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย…มีเพียง ไม่ได้ใช้ร่างจำแลงมาช่วยหลอมไฟเท่านั้น หากดูตามนี้ก็แสดงว่าเป็นเพราะร่างจำแลงจริงๆ! ร่างจำแลงมีต้นกำเนิดมาจากวิญญาณคนฟ้า นั่นก็เหมือนใช้วิญญาณมาหลอมวิญญาณให้เป็นไฟ…ดังนั้นถึงได้เกิดไฟสวรรค์?”
หาสาเหตุที่ล้มเหลวเจอแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที ดวงตาของเขาเป็นประกายสดใส แย้มยิ้มปากกว้างด้วยความเบิกบานเต็มใบหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เท่ากับว่าข้าสร้าง…อภินิหารการหลอมวิญญาณ? อภินิหารไฟสวรรค์ขึ้นมาหรอกหรือ?”