บทที่ 596 คำตอบของป๋ายเสี่ยวฉุน
เสียงของป๋ายฉีดังกังวานสะท้อนไปทั่วบนลานกว้างแห่งนี้ อีกทั้งด้วยตบะที่ไม่ธรรมดา อาจไม่ถึงขั้นเขย่าคลอนฟ้าดิน แต่ก็ทำให้เมฆบนท้องฟ้าซัดตลบด้วยลักษณะพลังยิ่งใหญ่เกรียงไกรราวกับยอมรับในคำตอบของเขา
ทำเอาคนตระกูลป๋ายหน้าเปลี่ยนสีกันแทบทุกคน ระหว่างที่ครุ่นคิดลมหายใจก็ถี่กระชั้นตามไปด้วย ตอนที่หันมามองป๋ายฉี นัยน์ตาจึงเผยประกายแสงแรงกล้า
“หงส์โบยบินสู่เก้าชั้นฟ้า ผู้นำแห่งนกนับหมื่น คำตอบนี้…”
“ทำไมข้าถึงคิดคำตอบนี้ไม่ได้!!”
“ช่างกล้าคิดจริงๆ ขนนกชิ้นหนึ่งกลับกลายมามีชีวิตได้!!”
คุณหนูห้าผู้นั้นยามนี้ก็ตัวสั่นด้วยท่าทางที่กำลังครุ่นคิดเช่นกัน และยังมีป๋ายเหลยที่ต่อให้จะกำหมัดด้วยความไม่ยอมแพ้ ทว่าลึกๆ ในใจเขาก็ถอนหายใจเบาๆ พรสวรรค์ในด้านการหลอมพลังจิตของเขานั้นสู้ป๋ายฉีไม่ได้อย่างแท้จริง คำตอบนี้ถือว่าได้สร้างปาฏิหาริย์และการบุกเบิกอย่างหนึ่งขึ้นมาแล้ว
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนแน่วนิ่ง พินิจมองป๋ายฉีอย่างละเอียด แม้ว่าคำตอบนี้จะไม่ถูกต้อง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าได้เดินขึ้นมาบนเส้นทางของตนแล้ว
“น่าเสียดายที่ยังผิดอยู่ดี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็อดภาคภูมิใจในตัวเองไม่ได้ ครุ่นคิดว่าต่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าสุดปลายทางคือสิ่งใด แต่รู้ก็ส่วนรู้ คิดจะเดินไปให้ถึงจุดสิ้นสุดนั้นกลับเป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อย
ใบหน้าของฮูหยินไช่แดงปลั่ง นางมองป๋ายฉีด้วยอารมณ์ตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ชายที่เป็นดั่งแสงอาทิตย์แรงกล้าซึ่งอยู่เบื้องหน้าผู้นี้คือลูกชายของนาง ความรู้สึกที่แม่ได้ดีเพราะลูกทำให้นางเกิดความปลื้มปริ่ม
และยังมีประมุขตระกูลป๋าย บิดาของป๋ายฉีที่บัดนี้ยิ่งมีท่าทางปลาบปลื้มยินดี สายตาที่หันมามองป๋ายฉีคล้ายมองเห็นบุตรกิเลน
พวกผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกายเขาก็มีสีหน้าประทับใจเช่นกัน สายตาของแต่ละคนโชนแสงคมกล้า คำตอบนี้ของป๋ายฉีทำให้พวกเขาอึ้งงัน ส่วนผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายบัดนี้ก็ถึงกับลุกขึ้นยืนหัวเราะเสียงดัง
“ดี!”
“สมกับที่เป็นบุตรกิเลนของตระกูลป๋ายเรา คำตอบของเจ้า ข้าผู้อาวุโสเองก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ ทว่าด้วยความกล้าหาญเช่นนี้ก็มากพอจะเขมือบกลืนทั้งขุนเขาและสายน้ำได้แล้ว!” ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายหัวเราะฮ่าๆ ตอนที่หันไปมองป๋ายฉี ดวงตาเขาเผยความชื่นชม ในสายตาของเขา คำตอบของป๋ายฉีถือว่าสอดคล้องกับความคิดของตัวเขาเองมากแล้ว
ด้วยพรสวรรค์ของเขา เขาจึงศึกษาจนบรรลุมานานแล้วว่าการหลอมพลังจิตมีระดับที่แตกต่างกัน อย่างสายรุ้ง และวิญญาณขนนกจะถือเป็นขอบเขตหนึ่ง ทว่าคำตอบของป๋ายฉีกลับอยู่ในขอบเขตที่สูงยิ่งกว่า
“มิน่าละป๋ายฉีผู้นี้ถึงได้รับความสำคัญจากบุรพาจารย์จนถึงกับยอมเปิดพื้นที่บรรพชนให้กับเขา พรสวรรค์และการบรรลุในด้านการหลอมพลังจิตของเด็กผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง” ผู้อาวุโสใหญ่อมยิ้ม เหลือบมองประมุขตระกูลป๋ายที่อยู่ข้างกาย
“ผู้อาวุโสใหญ่ชมเกินไปแล้ว เด็กคนนี้ยังต้องเรียนรู้อีกมาก” ประมุขตระกูลป๋ายรีบยิ้มตอบรับด้วยความปลื้มเปรม
เมื่อได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสใหญ่ คนของตระกูลป๋ายก็ส่งเสียงชื่นชมเกรียวกราวดังเอ็ดอึงราวฟ้าผ่า ในเสียงเหล่านั้นล้วนเต็มไปด้วยความตะลึงในตัวป๋ายฉี รับฟังเสียงของคนรอบด้าน ฮูหยินไช่ก็ยิ่งฮึกเหิม
“แม้ว่าเจ้าสวะป๋ายฮ่าวผู้นั้นจะมีพรสวรรค์ในด้านการหลอมพลังจิต แต่ไม่มีทางสู้ฉีเอ๋อร์ของข้าได้ แค่ฉีเอ๋อร์ของข้าไม่ชอบโอ้อวดก็เท่านั้น” แสงในดวงตาของฮูหยินไช่ส่องวูบวาบ ความภาคภูมิใจในใจยากเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
เมื่อเห็นว่าคนมากมายต่างก็ยกยอปอปั้นป๋ายฉี ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกหยามหยันอย่างมาก อดไม่ไหวจนหาวหวอดออกมาอีกครั้ง พูดในใจว่านี่เพราะนายท่านไม่ต้องการเอาพิมเสนไปแลกเกลือกับพวกเจ้าต่างหาก หาไม่แล้วหากข้าพูดคำตอบออกไป พวกเจ้าต้องตะลึงอ้าปากค้างจนหุบไม่ลงแน่นอน
ตอนนี้เขาจึงรู้สึกว่าการทดสอบนี้น่าเบื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่กำลังคิดว่าเมื่อไหร่จะได้เวลายุติเสียที ทว่าเวลานี้เอง ป๋ายฉีที่เป็นที่จับตามองของคนนับหมื่นก็พลันกวาดสายตามามองด้วยความลำพองใจ แล้วก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังอ้าปากหาวอยู่ในกลุ่มผู้คน ดวงตาของเขาจึงพลันเผยความเหี้ยมโหด หัวเราะขึ้นมาทันใด
“ป๋ายฮ่าว เจ้าเคยบอกกับข้าว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในด้านการหลอมพลังจิตอยู่บ้าง ในงานเลี้ยงของตระกูลป๋ายวันนี้ทุกคนต่างก็พูดคำตอบกันหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าจะมีคำตอบบ้างหรือไม่? ไหนล่ะ ลองพูดให้ฟังหน่อยสิ ไม่ต้องเกรงใจหรอก” ป๋ายฉีครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง ในถ้อยคำทำให้คนรู้สึกว่าพี่ชายกำลังให้กำลังใจน้องชาย ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้าย หมายจะใช้ช่วงเวลานี้มาสร้างความอับอายให้กับป๋ายฮ่าว
และเขาเองก็มั่นใจในคำตอบของตัวเองอย่างมาก เข้าใจไปว่าคนอื่นๆ ไม่มีทางให้เดินอีกแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็หนีไม่พ้นจริงและเท็จ และในสายตาของป๋ายฉี ไม่ว่าป๋ายฮ่าวจะตอบเช่นไรก็ล้วนต้องอยู่ระหว่างสองอย่างนี้ อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นคำตอบใดเขาก็ล้วนสามารถทำให้มันเป็นเพียงการขโมยความคิด
จากนั้นเขาก็จะแสร้งทำเป็นสั่งสอนอีกฝ่ายด้วยความเจ็บปวดและปรารถนาดีอย่างที่คนเป็นพี่ควรทำอีกสักรอบ!
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สามารถทำให้ป๋ายฮ่าวขายหน้าคนทั้งตระกูลได้อีกครั้ง และยิ่งเป็นการเน้นย้ำเรื่องที่เขาโกงก่อนหน้านี้ให้มีน้ำหนักมากขึ้น และพอวันพรุ่งนี้มาถึง ตนก็หาโอกาสสังหารอีกฝ่ายในพื้นที่บรรพชนโดยแสร้งว่าเป็นความเข้าใจผิด แค่นี้ก็ไม่มีใครพูดอะไรได้อีกแล้ว
พอคำพูดของเขาดังออกมา รอบด้านก็พลันเงียบงัน สายตาของแต่ละคนพากันมาหยุดอยู่ที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
“ป๋ายฮ่าวผู้นี้มีตบะแค่สร้างฐานรากเท่านั้น เขาจะยังตอบอะไรได้อีกเล่า มีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนว่าจะหดหัวไม่ยอมตอบ”
“ไม่แน่เขาก็อาจจะตอบว่ามันกลายมาเป็นผู้นำของนกนับหมื่นอย่างหงส์ที่โบยบินสู่เก้าชั้นฟ้าเหมือนกัน…แต่ทำอย่างนี้มันไม่หยามเกียรติกันเกินไปหน่อยหรือ”
“ก็ไม่แน่หรอกนะ คนผู้นี้สามารถใช้กลโกงกลายมาเป็นอันดับหนึ่งของสามกระดานได้ ยังดีที่นายน้อยฉีเห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้องจึงไม่สังหารอีกฝ่าย แค่ลบคะแนนทิ้งไปเท่านั้น เท่านี้ก็พอจะมองออกแล้วว่าป๋ายฮ่าวผู้นี้ไร้ยางอายขนาดไหน”
สายตาเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นความดูถูกและเหยียดหยาม มีเพียงแค่ส่วนน้อยที่เผยความสงสารและปลงอนิจจัง มองออกถึงเจตนาอันชั่วช้าของป๋ายฉี
คุณหนูห้าและป๋ายเหลยก็คือหนึ่งในบุคคลที่เผยความสงสารออกมา พวกเขาไม่มีความทรงจำต่อป๋ายฮ่าวเท่าไหร่นัก เพียงแต่เป็นเพราะรังเกียจป๋ายฉีจึงย่อมรู้สึกสงสารป๋ายฮ่าวอยู่แล้ว
เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถออกหน้าขัดขวางได้ เพราะป๋ายฉีในยามนี้มีพลังอำนาจเกรียงไกรถึงขีดสุด
ฮูหยินไช่กลอกตาหนึ่งครั้งก็เข้าใจความคิดของลูกชายตัวเองทันที
แม้ว่าจะรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ก็ยังเชื่อในการตัดสินใจของป๋ายฉี ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาของนางจึงเผยความรังเกียจเดียดฉันท์อย่างเด่นชัด
ประมุขตระกูลป๋ายมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับมองไม่ออกถึงความคิดของป๋ายฉี สายตาไม่แม้แต่จะเหลือบมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน พวกผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกายเขายามนี้ก็มีสีหน้ารอชมเรื่องสนุก ทุกคนล้วนเงียบงันไม่พูดไม่จา มีเพียงผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายเท่านั้นที่เดิมทีไม่ใช่คนของสายประมุข อาจไม่ถึงขั้นปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่ก็เรียกได้ว่าไม่ต่างไปจากนี้มากนัก ยามนี้ใบหน้าของเขาที่มีรอยยิ้มประดับได้หันมามองป๋ายฮ่าวที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วมุ่น มองป๋ายฉีผู้มีจิตใจต่ำช้า สายตาของเขาจึงเริ่มเย็นเยียบ เขามองความคิดของอีกฝ่ายออกในเสี้ยววินาที ยามนี้ในใจบังเกิดความเดือดดาล เดิมทีเขาไม่คิดจะทำตัวโอ้อวดต่อไป แต่เจ้าป๋ายฉีผู้นี้กลับบีบบังคับตน นี่เท่ากับอีกฝ่ายรนหาที่ตาย ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ
เมื่อเขาลุกขึ้นยืน เสียงเย้ยหยันที่มาจากทุกคนรอบด้านก็ยิ่งดังเซ็งแซ่
“ลุกขึ้นยืนจริงๆ หรือนี่? น่าสนใจ ข้าล่ะอยากจะรู้นักว่าเขาจะพูดคำตอบมั่วซั่วอะไรออกมา”
“ไม่เจียมตน ป๋ายฮ่าวผู้นี้เป็นลูกเมียน้อยกลับยังมีหน้ามากล้าแก่งแย่งชิงดี!”
เสียงของคนรอบด้านดังเข้าหูป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างต่อเนื่อง เขาเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น เห็นสายตาอำมหิตของฮูหยินไช่ เห็นความเย็นชาของประมุขตระกูลป๋าย เห็นสายตาของพวกผู้อาวุโสเหล่านั้น และก็สังเกตเห็นว่าในบรรดาคำเยาะเย้ยที่หลุดออกมากลับไม่มีใครคิดจะห้ามปราม ปล่อยให้คนส่วนใหญ่ในตระกูลเอ่ยกระแทกแดกดันได้ตามใจชอบ
แม้แต่ทูตที่มาจากอีกสองตระกูลและนครผียักษ์ก็ยังมองมายังตนราวกับกำลังรอเรื่องสนุก ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหมดสิ้นซึ่งความโกรธเคือง
เขามองทุกคนที่อยู่รอบด้าน ค่อยๆ เชิดคางขึ้นช้าๆ ราวกับว่าในสายตาของเขาคนเหล่านี้ก็เป็นแค่พวกนกกระจิบนกกระจอกกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
แค่คลื่นลูกใหญ่ซัดมาตูมเดียวก็สามารถโถมถับให้คนพวกนี้พินาศวอดวาย เขาจึงสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สายตาแฝงไว้ด้วยความเย่อหยิ่งโอหัง ยกนิ้วชี้หน้าป๋ายฉี ก่อนจะตวาดเสียงหนัก
“เดิมทีข้าไม่คิดจะเปิดปาก ทว่าในเมื่อเจ้าจิตใจเลวทรามหมายสร้างความอัปยศให้แก่ข้า วันนี้ข้าผู้แซ่ป๋ายจะทำให้เจ้าสมปรารถนา”
ดวงตาป๋ายฉีมีไอสังหารเปล่งวาบ เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วหัวเราะเสียงหยัน
“คำตอบที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งในสายตาของเจ้า ในสายตาของข้าผู้แซ่ป๋ายมันก็แค่ขี้หมูขี้หมาเท่านั้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อ แม้จะแผ่ตบะสร้างฐานรากออกมา ทว่าบัดนี้ก็ราวกับมีพลังอำนาจระลอกหนึ่งผุดขึ้นมาบนร่างของเขา
“ข้าจะบอกเจ้าเองว่าหลังการหลอมพลังจิตสามสิบครั้ง คำตอบที่แท้จริงคืออะไร!”
“หนึ่งขนนกหนึ่งโลก ไม่ว่าการดำรงอยู่ของสิ่งใด หลังผ่านการหลอมพลังจิตสามสิบครั้งสุดท้ายล้วนต้องกลายมาเป็นโลกใบหนึ่ง!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนประดุจอสนีบาตที่กึกก้องไปสี่ทิศ วินาทีที่คำตอบของเขาดังออกมาก็ตกกระทบลงไปกลางจิตวิญญาณของทุกคน
ราวกับว่าคำตอบนี้ไปกระตุ้นกฎของฟ้าดิน ขณะที่เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังสะท้อนถึงได้มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบไปทั่วท้องนภา เสียงตูมตามดังอึกทึกไปทั่วฟ้าดิน เมฆหมอกทั้งหมดแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
แสงของยามสนธยาที่ร่วงลงมากระทบพื้นดิน มีกลุ่มหนึ่งที่สาดส่องลงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้เงาร่างของเขาพลันบังเกิดความอัศจรรย์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน
อีกทั้งนาทีนี้ เมื่อคำตอบของเขาดังออกมา คนตระกูลป๋ายทั้งหมดที่อยู่โดยรอบก็พากันเบิกตากว้างประหนึ่งมีเสียงฟ้าผ่าที่มาระเบิดกลางใจพวกเขา ส่วนป๋ายฉีก็ยิ่งตัวสั่นเทิ้ม สีหน้าพลันเปลี่ยนมาเป็นน่าเกลียดอย่างถึงที่สุด
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าคำตอบที่ป๋ายฮ่าวตอบออกมาจะเป็นเช่นนี้ นี่ไม่จำเป็นต้องให้เปรียบเทียบอีกแล้ว ไม่ว่าใครล้วนมองออกว่าไม่ว่าคำตอบนี้จะจริงหรือเท็จ ทว่าในด้านขอบเขตก็ถือว่าเหนือล้ำเกินกว่าทุกคน อีกทั้งยังเมินข้ามทุกการดำรงอยู่ บดขยี้ทุกอย่างที่กั้นขวางให้พังราบกลายเป็นผุยผง