Skip to content

A Will Eternal 599

บทที่ 599 พื้นที่บรรพชน

“นี่คือคำตอบที่มิอาจวิเคราะห์และประเมินค่าได้มากที่สุดเท่าที่ข้าผู้อาวุโสได้ฟังมา แล้วก็เป็นคำตอบที่ทำให้ข้าผู้อาวุโสยอมแพ้อย่างราบคาบมากที่สุด!”

“ป๋ายฮ่าว เจ้าทำได้ดี ทำได้ดีมากๆ เลย!” ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายหัวเราะเสียงดังลั่น ตอนที่หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน ในดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างถึงที่สุด ทำให้คนในตระกูลป๋ายทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ต่างก็มองออกถึงความโปรดปรานที่ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายมีต่อป๋ายฮ่าว

สามารถจินตนาการได้ว่าต่อไปชีวิตของป๋ายฮ่าวในตระกูลป๋ายแห่งนี้ต้องต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างมากแน่นอน…ป๋ายฉีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดวงตาของเขายิ่งฉายความอึมครึมน่าสะพรึงกลัว และขณะที่ในใจของทุกคนมีความคิดมากมายบังเกิดขึ้นนั้น ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งทีแล้วกล่าวอีกครั้งว่า

“ป๋ายฮ่าว ข้าผู้อาวุโสมีจวนที่พักอยู่แห่งหนึ่ง แม้จะไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสำหรับเลี้ยงวิญญาณที่สุดในตระกูลป๋ายแห่งนี้ ทว่าก็พอใช้ได้ ข้าผู้อาวุโสจะมอบจวนแห่งนี้ให้เจ้าเป็นรางวัล หวังว่าการฝึกบำเพ็ญตบะของเจ้าในวันหน้าจะพัฒนาไปได้อีกก้าว และเลื่อนสู่ขั้นรวมโอสถได้ในเร็ววัน” อันที่จริงในใจของผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายก็เสียดายเหมือนกัน หากตบะของป๋ายฮ่าวผู้นี้คือรวมโอสถ ต่อให้เป็นแค่รวมโอสถช่วงต้น ถ้าเช่นนั้นต่อให้ต้องแตกหักกับประมุขตระกูล เขาก็จะเอาป๋ายฮ่าวมาอยู่ข้างกายให้ได้โดยไม่มีลังเล

น่าเสียดายที่ตบะของป๋ายฮ่าวอ่อนด้อยเกินไป มีเพียงแค่สร้างฐานรากช่วงต้น นี่ถึงแม้จะทำให้เขามีคุณค่า แต่กลับอ่อนแออย่างไร้ขีดจำกัด ตอนนี้ที่เขามอบจวนที่พักให้กับอีกฝ่าย ด้านหนึ่งก็เพื่อต้องการผูกมิตรด้วย อีกด้านหนึ่งก็เพราะต้องการหยั่งเชิงความคิดของประมุขตระกูลป๋าย

ขณะที่กะพริบตาดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลอกกลิ้งไปมา รู้สึกว่ายังไงตนก็ไม่ได้ใช้จวนที่พักแห่งนี้จึงใคร่ครวญว่าควรพูดเช่นไรถึงจะขอแลกเป็นวิญญาณพยาบาทมาแทน ทว่าประมุขตระกูลป๋ายที่พอได้ยินประโยคนี้ แสงเย็นเยียบในดวงตากลับยิ่งเจิดจ้า ก่อนที่เขาจะพูดเสียงมึนตึง

“คงไม่ลำบากให้ผู้อาวุโสใหญ่ต้องสิ้นเปลือง เรื่องของเจ้าลูกชั่วผู้นี้ข้าผู้แซ่ป๋ายย่อมจัดการเองได้”

ประโยคนี้ยืนกรานเด็ดเดี่ยว เผยให้เห็นถึงความไม่พอใจและความแค้นเคืองอย่างรุนแรงของเขา ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายคนนั้นใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็รู้ว่าไม่ควรพูดอะไรให้มากความอีก

ป๋ายเสี่ยวฉุนประสานมือคารวะ กล่าวว่า “ขอบพระคุณผู้อาวุโสใหญ่…” หลังจากนั้นเขาก็เหลือบตาไปมองประมุขตระกูลป๋ายด้วยสายตานิ่งเฉย ทว่าในใจกลับหัวเราะเสียงหยัน

“เห็นป๋ายฮ่าวได้ดีไม่ได้เลยใช่ไหม…ก็ได้ เดิมทีจวนนี่ข้าไม่คิดจะเอาอยู่แล้ว ข้าต้องการวิญญาณคนฟ้า! พรุ่งนี้เมื่อพื้นที่บรรพชนเปิดออก ข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นอย่างชัดเจนว่าข้าแย่งเอาวิญญาณคนฟ้ามาจากตระกูลป๋ายของเจ้าได้อย่างไร!”

“พิธีเซ่นไหว้บรรพชนครั้งนี้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้!”

เสียงของประมุขตระกูลป๋ายแข็งกระด้าง นั่นเพราะงานเซ่นไหว้บรรพชนครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนเกินทนเหมือนต้องกลืนยุงและแมลงวันลงคอ ยามนี้จึงสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง หมุนกายกลายร่างเป็นรุ้งยาวแล้วจากไปไกลทันที

ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายมองแผ่นหลังของประมุขตระกูลป๋ายด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง แอบถอนหายใจอยู่กับตัวเอง ตัวตนของป๋ายฮ่าวเปราะบาง เขารู้สึกเสียดายจึงเหลือบมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้งด้วยสายตาให้กำลังใจ

“ในเมื่อบิดาของเจ้าจะจัดการเอง ข้าผู้อาวุโสก็คงไม่สะดวกจะออกหน้า แต่ว่าป๋ายฮ่าว ต่อไปหากพบเจอปัญหาใดๆ ในการฝึกตน เจ้าสามารถมาหาข้าผู้อาวุโสเพื่อหาคำตอบได้ตลอดเวลา” กล่าวจบ ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายคนนี้ก็หมุนกายจากไป และหลังจากที่ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ทยอยกันจากไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมองไปยังแผ่นหลังของผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมาย นี่คือไม่กี่คนในตระกูลป๋ายที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกอันดีด้วย

“รู้ว่าป๋ายฮ่าวเป็นลูกเมียน้อย อีกทั้งพ่อไม่รัก ทว่าก็ยังพูดประโยคนี้ออกมา ว่ากันตามบางความหมายแล้วก็ถือว่าเขาให้การปกป้องป๋ายฮ่าวชั้นหนึ่ง น้ำใจของผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายคนนี้ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนขอรับแทนป๋ายฮ่าวก็แล้วกัน”

เมื่อพิธีเซ่นไหว้บรรพชนสิ้นสุดลง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หมุนกายจากไป ตอนที่มาเขามาด้วยความเงียบงัน

ทว่าตอนที่จากไปกลับมีสายตามากมายมารวมกันอยู่บนตัวของเขา สายตาเหล่านั้นแฝงไว้ด้วยความคิดหลากหลายรูปแบบ ทว่าทุกอย่างนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่แยแสแม้แต่น้อย

ในที่สุดความรู้สึกบีบคั้นกดดันที่เขาได้รับมาจากตระกูลป๋ายตลอดเวลาก็ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดเสียที…

“พรุ่งนี้ ทุกอย่างก็จะรู้แพ้รู้ชนะแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวตรงดิ่งไปยังเขตเหนือท่ามกลางอาทิตย์อัสดงที่กำลังดับแสงและท้องฟ้ามืดดำที่กำลังเยื้องกรายมาเยือน

คืนนี้คนมากมายในตระกูลป๋ายต่างก็หาความสงบสุขไม่ได้ การผงาดขึ้นมาอย่างกะทันหันของป๋ายฮ่าวทำให้จิตวิญญาณของใครหลายๆ คนถูกเขย่าคลอน ความโกรธแค้นของป๋ายฉี เสียงกรีดร้องคลุ้มคลั่งของฮูหยินไช่ ความเย็นชาน่าสะพรึงกลัวของประมุขตระกูลป๋าย ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนยังคงลอยอยู่ในจิตใจของคนมากมาย

ยิ่งวันต่อมาคือวันที่พื้นที่บรรพชนเปิดด้วยแล้ว จึงสามารถพูดได้ว่าคืนนี้เป็นคืนที่ทุกคนจะได้เตรียมตัวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเข้าไปในพื้นที่บรรพชน ต่อให้เป็นคุณหนูห้าที่ไม่คิดจะแก่งแย่งชิงดีกับใคร คืนนี้นางก็ยังนั่งทำสมาธิ ปรับตัวเองให้อยู่ในสภาวะพรั่งพร้อม เพราะอย่างไรซะในพื้นที่บรรพชนนอกจากวิญญาณคนฟ้าแล้วก็ยังมีของรางวัลที่ตระกูลอื่นๆ ต้องมอบให้กับคนในตระกูลด้วย

ซึ่งในบรรดาของเหล่านั้น มีบางอย่างที่มีประโยชน์กับนาง

นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงป๋ายเหลยเลย เป้าหมายของเขา…ก็คือวิญญาณคนฟ้า แม้เขาจะเข้าใจดีว่าความเป็นไปได้ที่จะช่วงชิงมาจากป๋ายฉีคงมีไม่มาก แต่ท่ามกลางความกังวล เขาก็ยังคงรอคอยให้ช่วงเวลานั้นมาถึง และยังมีป๋ายฉี เขาเอาความโกรธแค้นทั้งหมดไปไว้ที่การตัดสินใจฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุนในพื้นที่บรรพชน ในค่ำคืนนี้เขาจึงเข้าฌานทำสมาธิเพื่อให้ตนอยู่ในสภาวะที่แข็งแกร่งและพร้อมที่สุดสำหรับวันพรุ่งนี้

“ในพื้นที่บรรพชนก็คือสถานที่ตายของเจ้า! และเจ้าก็ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะสละสิทธิ์ได้ มาก็ต้องมา ไม่มา…ก็ต้องมา!”

ขณะที่คนส่วนใหญ่ของตระกูลป๋ายกำลังเตรียมพร้อมครั้งสุดท้ายก่อนการเปิดพื้นที่บรรพชนจะมาถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้อยู่เฉย เขาฉวยโอกาสที่เป็นเวลากลางดึกร่ายใช้เวทอำพรางของหน้ากากอย่างเต็มรูปแบบ ก่อนที่จะย่องออกไปข้างนอกราววิญญาณมืดเพื่อจัดวางตะปูวิญญาณร้ายในตำแหน่งต่างๆ ของตระกูลป๋าย

ตำแหน่งเหล่านี้เขาเลือกไว้เรียบร้อยแล้วในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตอนนี้ก็แค่ต้องเอาตะปูวิญญาณร้ายทั้งหมดมาจัดวางไว้ก่อนที่พื้นที่บรรพชนจะเปิดออกเท่านั้น

ไม่ได้เปิดใช้งาน แต่เตรียมการทุกอย่างไว้ให้พร้อม หากเขาต้องการเมื่อไหร่ แค่ความคิดเดียวก็สามารถทำให้ตะปูวิญญาณร้ายเหล่านี้ระเบิดกระจายพร้อมกันทั้งหมดแล้วไปเขย่าคลอนค่ายกลของตระกูลป๋าย

ค่ำคืนหนึ่งผ่านไปอย่างเงียบเชียบ

เมื่ออรุณรุ่งมาถึงและความดำมืดบนท้องฟ้าจางหายไปประหนึ่งเรื่องเลวร้ายกำลังจะสิ้นสุดและนำมาซึ่งความโชคดี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลืมตาตื่นจากการเข้าฌาน ดวงตาทั้งคู่ของเขาส่องแสงวาววับราวกับเปลวเพลิง

เขามองไปรอบห้องของตัวเอง แม้ว่าเขาจะอยู่ที่ตระกูลป๋ายไม่นาน ทว่าเมื่อได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับป๋ายฮ่าวเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับป๋ายฮ่าวอย่างมากแล้ว

“ป๋ายฮ่าว หากวิญญาณเจ้ายังอยู่แล้วได้รู้ถึงเรื่องราวทุกอย่างหลังจากที่เจ้าตายไปนี้ บางทีเจ้าเองก็คงมีความวู่วามอยากฆ่าคนเหมือนกันกระมัง…อาจารย์ไม่ชอบการเข่นฆ่า ทว่าครั้งนี้ข้าจะทำเรื่องที่เจ้าต้องการทำให้สำเร็จ” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ หลังจากกวาดสายตามองไปทั่วห้องนั้น ความคมกริบในดวงก็ค่อยๆ จางหายไป

ไม่นานนักเสียงระฆังก็ดังกังวานไปทั่วทั้งตระกูลป๋าย พื้นที่บรรพชน…เปิดออกแล้ว!

เสียงระฆังนี้ดังทั้งหมดเก้าครั้ง เมื่อมันสะท้อนไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง คนในตระกูลป๋ายแต่ละคนที่เตรียมจะเข้าไปในพื้นที่บรรพชนก็พากันบินออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตรงดิ่งไปยังประตูหินของศาลบรรพชนที่อยู่กลางเมือง

ป๋ายเสี่ยวฉุนก้าวเท้าออกไปจากห้องพัก เดินหน้าไปเรื่อยๆ ไม่นานก็มาถึงนอกประตูหินใจกลางเมือง เพิ่งจะมาถึงรอบด้านก็มีสายตาของคนมากมายมารวมอยู่ที่ตัวเขาในชั่วพริบตา

“นึกไม่ถึงเลยว่าป๋ายฮ่าวก็จะมาด้วย…”

“เมื่อวานเขามองจิตสังหารจากป๋ายฉีไม่ออกหรืออย่างไร? หากข้าเป็นเขาต้องยื่นเรื่องสละสิทธิ์ครั้งนี้แน่นอน…”

“มาหาที่ตายชัดๆ เจ้าเศษสวะไม่เจียมตน!”

“หึ ต่อให้เขาคิดจะสละสิทธิ์ก็ใช่ว่าจะสละได้เลยเสียเมื่อไหร่?”

คนในตระกูลที่มายังศาลบรรพชนมีมากหลายร้อยคน ซึ่งคนส่วนใหญ่คือสร้างฐานราก ส่วนรวมโอสถกลับมีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น และเวลานี้คนไม่น้อยต่างก็กำลังพูดคุยกันเบาๆ

ป๋ายฉีเองก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง เขาก็หัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ นัยน์ตามีไอสังหารวาบผ่าน

คุณหนูห้าและป๋ายเหลยเองก็อยู่ในกลุ่มคน เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาด้วย แม้จะแปลกใจเล็กน้อย ทว่าพอคิดอย่างละเอียดก็ราวกับจะเข้าใจต้นสายปลายเหตุได้อย่างชัดเจน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับทุกสายตาและเสียงพูดคุยจากคนรอบด้าน เขาทำเหมือนไม่เห็น ไม่ได้ยิน ตอนนี้ในใจของเขาสงบนิ่งอย่างมาก เอาแต่มองไปยังประตูหินบานนั้น รอให้มันเปิดออก

ผ่านไปอีกพักหนึ่งก็ยิ่งมีคนมาเพิ่มมากขึ้น ทว่าคนส่วนใหญ่ล้วนเลือกจะสละสิทธิ์ในครั้งนี้ และการมาที่นี่ก็เพื่อขัดเกลาฝีมือของตนเท่านั้น หลังจากที่พวกเขาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน คำวิพากษ์วิจารณ์ของคนเหล่านี้ก็ยิ่งดังไม่ขาดสาย

จนกระทั่งผู้อาวุโสรวมไปถึงคนอีกสองตระกูลและทูตของนครผียักษ์ก็ปรากฏตัวแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายเองก็มองเห็นแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาอึ้งงันไปครู่ ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น

ทว่ายังไม่ทันรอให้เขาพูดอะไร รุ้งของประมุขตระกูลป๋ายก็แหวกอากาศมาจากทิศไกล หลังจากมาหยุดอยู่กลางอากาศ เขาก็กวาดสายตามาที่กลุ่มคน และทันใดนั้นเสียงพูดคุยทั้งหมดก็พลันเงียบหายไป

“เจ้าลูกทรพีนั่นมาจริงๆ ด้วย” ตอนที่ประมุขตระกูลป๋ายเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาเขาก็เริ่มเย็นเยียบ ทุกครั้งที่พื้นที่บรรพชนเปิดออก คนในตระกูลที่มีตบะสร้างฐานรากและรวมโอสถทุกคนต่างก็มีสิทธิ์เข้าไปในพื้นที่บรรพชน

อีกทั้งกฎก็กำหนดไว้แล้วว่าทุกคนจำเป็นต้องเข้าไปด้านในนั้น แต่หากไม่ยินดีจริงๆ ก็ขอแค่ส่งคำร้องขอให้กับฝ่ายของศาลบรรพชน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็มักจะได้รับการอนุมัติกันทุกคน

อันที่จริงก็มีคนในตระกูลไม่น้อยที่ส่งคำร้องขอสละสิทธิ์ที่จะเข้าไปในพื้นที่บรรพชนให้กับเบื้องบนทราบและก็ได้รับการอนุมัติแล้วด้วย ทว่าประมุขตระกูลป๋ายก็ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังถึงขั้นสั่งความลงไปด้วยว่าคนอื่นๆ สามารถปล่อยผ่านได้ มีเพียงป๋ายฮ่าวคนเดียวเท่านั้นที่ไม่สามารถสละสิทธิ์ได้

แต่จนถึงกระทั่งบัดนี้เขาก็ยังไม่ได้รับรายงานการสละสิทธิ์จากป๋ายฮ่าว แม้ว่าจะทำให้แผนการของเขาล้มเหลว แต่เมื่อเห็นว่าป๋ายฮ่าวมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เขาก็หัวเราะเสียงหยันอยู่ในใจ

“ในเมื่อมารนหาที่ตายเองก็จะได้ไม่ต้องให้ข้าผิดศีลธรรมกำจัดบุตรของตัวเอง!” ประมุขตระกูลป๋ายถอนสายตากลับคืนมา มือขวาทำมุทราชี้ไปที่ประตูหิน ใช้อำนาจของประมุขตระกูลมาสร้างผลกระทบให้กับค่ายกล เสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว ประตูหินนั่นก็พลันระเบิดแสงเจิดจ้า ก่อนที่จะมีรอยปริแตกหนึ่งเส้นปรากฏขึ้นมา

เมื่อรอยปริแตกนั้นปรากฏขึ้น ปณิธานแห่งความเก่าแก่ผ่านกาลเวลามาอย่างโชกโชนก็แผ่ออกมาจากในรอยแยกนั้นประหนึ่งมีลมแห่งยุคบรรพกาลพัดกวาดไปทั่วฟ้าดินแห่งนี้…

“การเปิดพื้นที่บรรพชน รอจนทุกคนเข้าไปแล้วจึงจะปิดตัวลงด้วยตัวเอง เมื่อมีคนได้วิญญาณคนฟ้ามาครองถึงจะเปิดออกอีกครั้ง นั่นถึงจะเป็นเวลาที่พวกเจ้าได้เดินออกมา โชควาสนาทุกอย่างอยู่ที่บุญกรรมนำพาของพวกเจ้าเองแล้ว ด้านในนั้นไม่มีอันตราย ทว่าการประลองของตระกูลป๋ายเรามีเรื่องความเป็นความตายเกิดขึ้นตลอดเวลา พวกเจ้าล้วนรู้ดี!

ทำไมยังไม่เข้าไปอีก มัวรออะไรกันอยู่!” ผู้ประมุขป๋ายเอ่ยขึ้นกะทันหัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!