Skip to content

A Will Eternal 633

บทที่ 633 ลงมือแล้วก็ทำให้ถึงที่สุด

และเวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้พาโจวอีซิงจากมาไกลจากจุดที่ตั้งของค่ายกลนำส่งแล้ว จนกระทั่งเห็นว่าด้านหลังไม่มีคนตามมาถึงได้หาซอยหนึ่งแล้วหยุดลง ยิ่งคิดถึงคนตระกูลป๋าย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งโมโหเดือด โดยเฉพาะนึกถึงเรื่องที่สามตระกูลใหญ่กว้านซื้อวิญญาณจนตนหาซื้อไม่ได้ แถมตอนอยู่ในร้านก่อนหน้านี้ก็ยังถึงขนาดใช้ราคาสิบเท่ามาข่มตน

“รังแกกันเกินไปแล้ว เรื่องนี้…ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนยืดได้หดได้ จะทนไปก่อนแล้วกัน!” พอนึกถึงความน่ากลัวของบุรพาจารย์ตระกูลป๋าย ทั้งคิดได้ว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ตนยังไม่สามารถไปจากแดนทุรกันดารได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงปลอบใจตัวเองอยู่พักหนึ่งแล้วค่อยเงยหน้ามองโจวอีซิง

“ขอบคุณนายท่าน หากนายท่านมาช้ากว่านี้อีกนิด ข้า…ข้าก็คงไม่ได้เห็นท่านอีกแล้ว” โจวอีซิงที่เพิ่งรอดพ้นมาจากความตายประสานมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความซาบซึ้งใจ

“เจ้าเองก็เดือดร้อนเพราะข้า ใช่แล้ว สมบัติที่ข้าบอกเจ้าไว้ เจ้าไปเอามาหมดแล้วหรือยัง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปลอบใจอีกฝ่ายก่อนจะรีบถาม

“เอามาหมดแล้ว แต่…แต่ว่าเมื่อครู่นี้ถูกคนของสามตระกูลใหญ่…แย่งไปหมดแล้ว…” โจวอีซิงพูดเบาๆ ด้วยหน้าตาเศร้าสร้อย

“ว่าไงนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างทันที

“รังแกกันมากเกินไปแล้ว แม้ว่าข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะรู้จักปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ แต่ครั้งนี้ข้าไม่ทนแล้วโว้ย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเพียงไอร้อนที่พุ่งมายังหัวสมอง ทำให้เขาเดือดพล่านไปทั้งร่าง

“ทำเกินไปแล้ว!”

“รังแกกันมากเกินไปแล้ว!”

“นี่คงจะเห็นว่าข้าทำตัวว่าง่ายเลยคิดจะรังแกข้าให้ถึงที่สุดสินะ!!”

“ตระกูลป๋าย ตระกูลไช่ แล้วก็ตระกูลเฉิน พวกเจ้าสามตระกูลมันระยำ!!”

ไฟโทสะของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ในใจก็ยิ่งคับแค้น เขารู้สึกว่าตนไม่เคยไปแย่งของของอีกสามตระกูล ทว่าอีกฝ่ายกลับมาแย่งตน…ถ้ามีแค่ตระกูลป๋ายก็ยังพอว่า แต่นี่ทั้งตระกูลไช่ ตระกูลเฉินต่างก็มารุมรังแกตนคนเดียว

เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเดือดดาลอย่างหนัก โจวอีซิงก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ อันที่จริงช่วงที่ผ่านมานี้เขาก็เริ่มสงสัยในตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนบ้างแล้ว แต่เขาไม่แน่ใจนัก และยิ่งไม่กล้าสืบค้นให้ลึกลงไป

เพราะทุกครั้งที่โจวอีซิงนึกถึงวิธีการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนนำมาใช้กับตนตอนเจอกันครั้งแรกที่ถ้ำ เขาก็อกสั่นขวัญหายทุกครั้ง ดังนั้นจึงรีบล้มเลิกความคิดของตัวเองไปอย่างเร็ว

“ไม่ว่าตัวตนที่แท้จริงของป๋ายฮ่าวผู้นี้จะเป็นใคร แต่การที่ข้าไม่รับรู้ย่อมดีกว่า…” โจวอีซิงคิดมาถึงตรงนี้ก็รีบก้มหน้า

“ไม่ทงไม่ทนมันแล้วโว้ย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดกรามกรอด ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เปล่งประกาย ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ตระกูลป๋ายเขาก็รู้มาว่าตระกูลป๋ายมีลานวิญญาณ คำว่าลานวิญญาณก็คือพื้นที่หลายแห่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ ทำให้ที่นั่นมีปราณแห่งความตายอบอวล โดยจะเอาไว้เลี้ยงวิญญาณพยาบาทโดยเฉพาะ ซึ่งดีกว่าเอามาเก็บไว้ในสถูปวิญญาณมากนัก

ในพื้นที่พิเศษแห่งนั้น วิญญาณพยาบาทไม่เพียงแต่ถูกเลี้ยงบำรุงเป็นอย่างดี ยังช่วยเพิ่มคุณภาพของตัววิญญาณเองด้วย นอกเสียจากสถูปวิญญาณที่พิเศษบางหลังแล้ว อย่างอื่นก็ล้วนไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับลานวิญญาณได้ แถมพื้นที่ในการบรรจุ ลานวิญญาณก็มีมากกว่า

สำหรับตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง ยิ่งมีลานวิญญาณมากเท่าไหร่ก็ย่อมดีมากเท่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนจำได้ว่าลานวิญญาณของตระกูลป๋ายเหมือนจะมีอยู่เจ็ดแปดแห่ง ในลานวิญญาณเหล่านี้ล้วนมีค่ายกลปกคลุม และมีผู้ฝึกวิญญาณตั้งค่ายเฝ้าพิทักษ์ แถมด้านในยังมีองค์รักษ์ผีอีกเยอะมากที่ถูกบงการให้คอยคุ้มกัน แข็งแกร่งแทบไม่ต่างอะไรไปจากเมืองที่ไม่สามารถตีให้แตกได้

อีกอย่างไม่ว่าลานวิญญาณแห่งใดก็ล้วนมีวิญญาณอยู่เยอะมาก หากคนแปลกหน้าไปปรากฏอยู่ข้างในจะถูกฝูงวิญญาณเขมือบทันที เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีใครกล้าไปขโมยวิญญาณ แถมใต้บารมีอำนาจของสามตระกูลใหญ่ก็ยิ่งไม่มีใครยินดีไปแหยมด้วย

“พวกเจ้าแย่งวิญญาณของข้าไปหมดแล้ว ข้าก็จะแย่งของพวกเจ้าบ้าง!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็กัดฟันกรอด ไล่โจวอีซิงให้กลับไป บอกให้เขาหาที่ซ่อนตัวอยู่ในนครผียักษ์เพื่อหลบภัยไปก่อน ส่วนตัวเองก็ขยับร่างพุ่งออกไปนอกเมือง ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนคือผู้คุมของคุกมารจึงสามารถออกไปจากนครผียักษ์ได้ชั่วคราว แต่ต่อให้เขาคิดจะหนีไป นครผียักษ์ก็ยังตามไปจับตัวเขากลับมาได้ ดังนั้นจึงไม่มีคำสั่งห้ามไม่ให้เขาเข้าออกเมือง

พอออกมาจากนครผียักษ์ ท้องฟ้าก็ใกล้จะเป็นยามสนธยาแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนระมัดระวังไปตลอดทาง อันดับแรกเขาไปที่ลานวิญญาณของตระกูลเฉินซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดในบรรดาสามตระกูลใหญ่ พอมองสำรวจไกลๆ อยู่พักใหญ่ก็พบว่าลานวิญญาณของตระกูลเฉินล้อมวนอยู่รอบตระกูล หากเกิดปัญหาขึ้นมาเมื่อใดย่อมถูกจับได้ในทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย

“ลองไปดูอีกสองตระกูลดีกว่า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไปคิดมาจึงฉวยโอกาสที่เป็นช่วงพลบค่ำไปยังตระกูลป๋ายอีกครั้ง สังเกตการณ์อยู่นอกลานวิญญาณของตระกูลป๋ายอย่างรอบคอบอยู่พักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค้นพบด้วยความกลุ้มใจว่าวิญญาณในลานวิญญาณแห่งนี้มีปริมาณไม่มากนัก

“เรื่องแบบนี้คาดว่าคงถูกจับได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นในเมื่อคิดจะแย่งแล้วก็แย่งมาให้ได้เยอะที่สุด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ แล้วจึงไปที่ตระกูลไช่

จนกระทั่งม่านราตรีดำมืดมาเยือน ในที่สุดเขาก็มาอยู่นอกลานวิญญาณแห่งหนึ่งของตระกูลไช่ ชะงักฝีเท้า ดวงตาเจิดจ้าทั้งคู่มองตรงไป

ลานวิญญาณของตระกูลไช่ต่างไปจากตระกูลเฉิน ไม่ได้ล้อมวนอยู่รอบที่พัก แต่ค่อนข้างจะกระจัดกระจาย จุดที่อยู่ใกล้ก็ใกล้มาก จุดที่ห่างออกไปก็ไกลพอหลายสิบลี้ ลานหนึ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นอยู่ตอนนี้ห่างจากตระกูลไช่ประมาณยี่สิบกว่าลี้ แถมไม่ได้มีลานเดียว ยังมีอีกหนึ่งลานอยู่ติดกันด้วย

รอบด้านของลานวิญญาณทั้งสองแห่งต่างก็มีค่ายกลของใครของมัน ต่อให้จะเป็นค่ำคืนมืดมิดก็ยังส่องประกายแสงที่ทำให้คนรู้สึกหนาวเยือก หากคิดจะทำลายค่ายกลนี้ให้แตก ต่อให้เป็นก่อกำเนิดก็ยังต้องใช้เวลานานมาก

และหากชักนำค่ายกลเมื่อใดก็ย่อมดึงดูดความสนใจจากคนตระกูลไช่ตามไปด้วย

ในค่ายกลทั้งสองต่างก็มีสิ่งปลูกสร้างเหมือนรังผึ้งแห่งหนึ่งลอยอยู่ บนพื้นผิวมีรูขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนเต็มพรืดไปหมด และมีวิญญาณเหลือคณนานับกำลังลอดเข้าลอดออก ความมากของปริมาณนี้ทำให้ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่รัวขึ้นมา

แถมด้านในยังมีวิญญาณอยู่ทุกระดับ วิญญาณก่อกำเนิดก็มีเยอะมาก และยังมีวิญญาณพิเศษอีกไม่น้อยปะปนอยู่ด้วย…นอกจากนี้ตรงกลางพื้นที่ของค่ายกลยังมีองค์รักษ์ผีนับหมื่นที่บนร่างมีเกราะสีดำ นัยน์ตาของพวกมันฉายแสงสีแดง กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในลานวิญญาณ หากมีคนเหยียบเข้าไปในค่ายกล พวกมันก็จะพุ่งเข้ามาสั่งหารทันที

ในลานวิญญาณแห่งนั้นยังมีสิ่งปลูกสร้างอยู่อีกบางส่วน มองออกว่าเป็นที่พักของผู้ฝึกวิญญาณตระกูลไช่ แม้จะมีแค่สิบกว่าคน และตบะก็ไม่ถือว่าสูงมากนัก

ทว่าหากควบคุมพลังค่ายกลอยู่ภายในก็มากพอจะถ่วงเวลารอให้คนในตระกูลมากกว่าเดิมมาถึง

ทว่าเนื่องจากลานวิญญาณทั้งสองแห่งอยู่ใกล้กันเกินไป ดังนั้นคนตระกูลไช่ที่ปักหลักอยู่ที่นี่จึงมารวมกันอยู่ในลานวิญญาณแห่งเดียว

ทั้งหมดนี้ทั้งมวลจึงทำให้คนนอกได้แค่มองลานวิญญาณของสามตระกูลใหญ่ แต่ไม่กล้าเข้าไปลักขโมย ทว่าคนเหล่านั้นที่ว่าไม่ได้นับรวมป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปด้วย…

ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ดวงตาฉายแสงลุกเรือง พอสำรวจอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่งเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก

“พวกเจ้าแย่งของของข้า ข้าก็จะแย่งของของพวกเจ้าบ้าง!”

“กะอีแค่ลานวิญญาณ สำหรับคนอื่นแล้วยากประหนึ่งเดินขึ้นฟ้า ทว่าสำหรับข้ากลับกระจอกยิ่งนัก…ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่โบกมือก็สามารถทำให้ที่แห่งนี้สิ้นราบพนาสูร…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอนุมานอยู่ในใจพักหนึ่งก็เดินพรวดออกมาหนึ่งก้าว ก้าวนี้เพิ่งจะเหยียบลง ร่างของเขาก็ผสานรวมเข้ากับความว่างเปล่า เมื่อปรากฏตัวก็มาอยู่ในค่ายกลโดยตรง มองข้ามการดำรงอยู่ของค่ายกลลานวิญญาณ ทั้งยังไม่ได้ดึงดูดคลื่นเคลื่อนไหวใดๆ ของค่ายกลนี้!

การปรากฏตัวของเขากะทันหันเกินไป ไม่เพียงแต่คนของตระกูลไช่ที่ตั้งตัวไม่ทัน แม้แต่องค์รักษ์ผีที่ลาดตระเวนอยู่รอบด้านก็ยังอึ้งงัน

“เจ้า…” คนของตระกูลไช่ที่ปักหลักอยู่ที่นี่พากันเบิกตากว้างเหม่อมอง

ป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขายังไม่ทันได้ร้องอุทาน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยกมือขวาขึ้นแล้วออกหมัดต่อยโครม!

เสียงกัมปนาทระเบิดอยู่ในลานวิญญาณ ตามหลังเสียงระเบิดนั้นก็มีพายุคลั่งระลอกหนึ่งหมุนคว้างปะทะไปโดนพวกคนของตระกูลไช่

คนเหล่านี้ต่างกระอักเลือดคำโต เสียงร้องโหยหวนยังไม่ทันดังออกมาก็ถูกม้วนร่างตลบออกไปพร้อมกับสติที่วูบดับ

จนกระทั่งบัดนี้องค์รักษ์ผีถึงได้คืนสติ พวกมันรีบกรีดร้องเสียงแหลมแล้วห้อทะยานจากสี่ทิศมาหาป๋ายเสี่ยวฉุน

ขณะเดียวกัน การเหยียบย่างเข้ามาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหมือนการโยนหินก้อนใหญ่ลงไปบนแม่น้ำที่นิ่งสงบ ทันใดนั้นสิ่งปลูกสร้างลักษณะเหมือนรังผึ้งที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศก็มีเสียงกรีดแหลมบาดแก้วหูดังสะท้อน กระแสวิญญาณระเบิดแตกฮือออกมาจากด้านในเป็นระลอก ทว่าพอกรูกันออกมาข้างนอกกลับเหมือนมองไม่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุน ได้แต่วนไปวนมาพร้อมร้องคำรามดุเดือดอยู่ในลานวิญญาณแห่งนี้

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองกระแสวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ เขาที่กำลังตื่นเต้นจึงหยิบเอายารวมวิญญาณกำหนึ่งออกมาแล้วขว้างไปอย่างไร้ความลังเล

“ต้องเร็ว…รีบสู้รีบจบ!”

เสียงตูมๆ ดังก้องไปทั่วด้านทันที เมื่อยารวมวิญญาณถูกป๋ายเสี่ยวฉุนโยนออกมา ในลานวิญญาณก็เกิดเป็นน้ำวนที่เหมือนหลุมดำลูกแล้วลูกเล่า ไม่ว่าพวกวิญญาณที่อยู่รอบด้านจะหวีดร้องแค่ไหนก็ล้วนถูกพลังดึงดูดกระชากตัวเข้าไปรวมกันในพริบตาเดียวแล้วกลายมาเป็นลูกวิญญาณลูกแล้วลูกเล่า

“สะใจเสียจริง!! ทีนี้ก็รวยแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม สายตาไปหยุดอยู่ตรงลานวิญญาณด้านข้างอย่างอดไม่ได้ ในเมื่อลงมือแล้วก็ถือโอกาสทำไปให้ถึงที่สุด ฉวยโอกาสตอนที่วิญญาณในลานวิญญาณยังถูกยาวิญญาณดึงมารวมตัวกันขยับร่างเดินออกมาหนึ่งก้าว พอมาปรากฏตัวอยู่ในลานวิญญาณที่สอง ภาพเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเสียงอึกทึกดังครึกโครม วิญญาณพวกนั้นกรีดร้องแหบโหย ไม่นานในลานวิญญาณแห่งที่สองก็มีหลุมดำหลุมแล้วหลุมเล่าทยอยกันปรากฏขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!