Chapter 2 ขโมย
“เธอไปแล้ว ตามไปเร็ว อย่ามัวแต่คุยอยู่เลย” โอเวนบอกแล้วก็เดินนำหน้าไป
แอนนาเดินตามไป
ปกรณ์พอกลับถึงห้องพัก ก็เข้าห้องปิดประตูสลัดรองเท้าออกแล้วล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียง ล้วงเอาคีย์การ์ดออกมา “คืนนี้แหละกูจะเป็นเศรษฐีแล้วโว้ย”
สายตาละโมบจ้องมองคีย์การ์ดอย่างวางแผน อุตส่าห์ตีสนิทมาหลายปีใช้ความเป็นแฟนเก่าตั้งแต่สมัยเรียนทำให้เมษาตายใจก็เพื่อวางแผนขโมยทองของบริษัทที่เธอทำงานอยู่นี่แหละ
เสียงโทรศัพท์มีไลน์เข้า เขาหยิบมาดู “กรณ์ คุณพอลจองคิวคืนนี้ด่วน รับป่ะ ถ้ารับพี่จะได้บอก”
ปกรณ์รีบพิมพ์กลับไป “ไม่รับ รับงานไว้แล้ว”
“k”
เขามองข้อความแล้วก็เหยียดยิ้ม “ไอ้พอลก็หล่อดีอยู่หรอกเสียแต่แมร่งมันชอบซาดิสไปหน่อย ขึ้นเตียงกะมันทีไรผิวกูเป็นรอย หมดหล่อทุกที”
เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบการ์ดอีกใบที่แอบก็อปเอาไว้ของเมษา คีย์การ์ดพนักงานของเมษาที่เขาแอบก็อปเอาไว้เมื่อสองเดือนที่แล้ว สมองอันชั่วร้ายก็เริ่มวางแผนการสำหรับคืนนี้
เมษานั่งทำงานจนถึงเวลาเลิกงานก็ตรงกลับบ้านทันที โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองตกเป็นเป้าหมายของใครบางคนอยู่
พอถึงบ้านทาวน์เฮ้าส์หลังเล็กๆในซอยที่แม่อุตส่าห์ทำงานผ่อนส่งทุกเดือนๆ จนส่งหมดไปเมื่อปีที่แล้ว ภายในบ้านไม่มีของใช้อะไรมากนัก แต่ทุกอย่างดูสะอาดสะอ้านเพราะสองแม่ลูกคอยช่วยกันทำความสะอาดเสมอ ระเบียงด้านบนปลูกไม้สวนครัวใส่กระถางจัดเรียงอย่างสวยงาม เมษาคอยดูแลรดน้ำต้นไม้พอช่วยประหยัดค่ากับข้าวให้ไม่ต้องซื้อมากนัก อีกทั้งสองคนแม่ลูกก็กินอยู่กันอย่างประหยัดไม่ได้ฟุ้งเฟ้ออะไร เงินเดือนจากการเป็นครูโรงเรียนเอกชนของแม่จึงพอเลี้ยงดูสองแม่ลูกให้อยู่กันได้สบายไม่ขัดสนอะไรมาก
พอเปิดประตูบ้านเข้าไปกลิ่นขนมอบก็หอมฟุ้งออกมา
“แม่ขา แองจี้กลับมาแล้วค่ะ”
“กลับมาแล้วเหรอแองจี้ ไปอาบน้ำไป แล้วค่อยลงมาทานข้าวกัน” เสียงนุ่มตอบออกมาจากในครัว
เมษาวางกระเป๋าแล้วก็เดินเข้าไปในครัว “มีอะไรให้แองจี้ช่วยไหมคะ?”
“ไม่มีแล้วลูก แม่ทำเสร็จหมดแล้ว หนูไปอาบน้ำเถอะจะได้มาทานข้าวกัน” มาริสาบอกพลางถอดผ้ากันเปื้อนแขวนไว้
“ค่ะแม่” เมษาพยักหน้ารับ แล้วก็ขึ้นห้องนอนของตัวเอง
>>>>>>>>>>ตอนเด็กๆ เมษาเคยสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงมีชื่อเล่นว่าแองจี้ ซึ่งแม่ก็อธิบายว่า “แองจี้ก็มาจากแองเจิ้ลในภาษาอังกฤษไงคะลูก แองเจิ้ลแปลว่านางฟ้า หนูก็คือนางฟ้าของแม่ไงคะ”
“แล้วชื่อเมษาล่ะคะแม่?”
“เมษาก็มาจากชื่อของคุณแม่…มา…ริ…สา…ไงลูก จากมาก็เปลี่ยนเป็นเมก็กลายเป็นเมษาไงคะ แล้วอีกอย่างในภาษาไทยคำว่าเมษาก็เป็นชื่อเดือนด้วยไง เดือนเมษายนไงลูก”
“อ๋อ” เมษาพยักหน้ารับรู้<<<<<<<<<<
พออาบน้ำเสร็จเมษาก็ลงไปทานข้าวกับแม่ แล้วก็ช่วยเก็บล้าง จากนั้นสองแม่ลูกก็แยกย้ายเข้าห้องตัวเอง มาริสาต้องเตรียมการสอนในวันพรุ่งนี้แล้วยังต้องเตรียมออกข้อสอบด้วย ช่วงนี้จึงไม่ค่อยมีเวลาคุยกับลูกมากนัก
ส่วนเมษาพอเข้าห้องได้ก็นึกได้ว่าลืมคีย์การ์ดไว้ในกระเป๋าเสื้อ “อ้าวลืมเอาคีย์การ์ดออกมานี่น่า”
เธอเดินไปหยิบเสื้อออกมาจากตะกร้าล้วงหยิบคีย์การ์ด “เอ๊ะ หายไปไหนล่ะ?”
มือบางไล่ค้นกระเป๋าเสื้อทั้งสองข้างแต่ก็ไม่มี จึงหันไปค้นกระเป๋าสะพาย แต่ก็ไม่มีอีก “เอ…หรือว่าเอาใส่ไว้ที่โต๊ะทำงานรึป่ะ?”
เธอนั่งนึกไปเรื่อยๆ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก “พรุ่งนี้ค่อยไปดูที่โต๊ะล่ะกัน”
จากนั้นเธอก็หยิบหนังสือมานอนอ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลานอนก็เก็บหนังสือวางไว้ข้างเตียงแล้วก็ปิดไฟเข้านอน
โอเวนกับแอนนาจอดรถเยื้องบ้านเมษาไปแล้วก็เฝ้าดูอยู่จนถึงเที่ยงคืนก็ขับรถกลับโรงแรมหลังจากที่นักสืบที่เขาจ้างมาได้มารับช่วงต่อ จากนั้นเขาก็ขับรถกลับโรงแรม ถึงแม้เจ้านายจะไม่เกี่ยงเรื่องราคาจ้างนักสืบแต่ในฐานะลูกน้องและเพื่อนสนิทเขาก็พยายามที่จะไม่ให้เจ้านายถูกนักสืบชาวไทยโก่งราคาค่าจ้างแพงเกินไปนัก
เขากลับห้องพักได้ก็อาบน้ำ ล้มตัวลงนอนหลับ ส่วนเจ้านายของเขาน่ะเหรอคงยังนั่งทำงานอยู่แน่ๆ ทำงานกันมาหลายปีทำไมจะไม่รู้ว่าหมอนั่นบ้างานขนาดไหน ทุกวันนี้ถึงได้ยังโสดเพราะไม่มีผู้หญิงคนไหนทนนิสัยบ้างานของมันได้
ตอนเย็นปกรณ์ก็วางแผนยืมมอเตอร์ไซด์กับคนข้างห้องโดยแลกมอเตอร์ไซด์กัน ซึ่งคนข้างห้องก็ยินดีแลกเพราะจะได้ขี่มอเตอร์ไซด์คันใหม่ไปอวดสาว
ตกดึกปกรณ์ก็ขี่มอเตอร์ไซด์ออกจากที่พักไปซุ่มรอจังหวะลงมือ พอรปภ.เผลอหลับเขาก็สวมหมวกไอ้โม่งปิดหน้าสวมถุงมือเดินเข้าไปหน้าบริษัทแล้วก็ใช้การ์ดของเมษาเปิดประตูเข้าไป ด้วยความที่เคยมาหาแฟนสาวถึงที่ทำงานจึงทำให้รู้ลู่ทางภายในบริษัทบ้าง เขาก้าวยาวๆตรงไปยังประตูแผนกผลิตใช้คีย์การ์ดที่ขโมยมาจากเมษาเมื่อตอนกลางวันเปิดประตูเข้าไป
เขาใช้ไฟฉายส่องไปทั่วแต่พอเห็นตู้เซฟก็กุมขมับ เพราะเป็นเซฟรุ่นใหม่ที่ใช้สแกนลายนิ้วมือ “แมร่งเอ้ย แล้วกูจะเปิดไงวะ”
แต่พอส่องไฟฉายเห็นตู้เซฟธรรมดาก็นึกดีใจ “เอาวะ ลองดูตู้นี้ก็ได้ ดีกว่ามาเสียเที่ยว”
เขาขยับเข้าไปใช้หูฟังแนบกับประตูตู้ แล้วก็เริ่มลงมือหมุนหารหัส ซึ่งวิธีเปิดตู้เซฟเขาเรียนมาจากพ่อของเขาเองซึ่งเคยเป็นโจรย่องเบาตามบ้านเศรษฐี ตอนนี้ถูกจับติดคุก ก็ดีแล้วที่พ่อติดคุก ไม่งั้นเขากับแม่ก็คงโดนซ้อมเช้าเย็นแทนกระสอบทรายแน่ๆ แม่ก็เพิ่งตายเพราะโรคมะเร็งเมื่อปีที่แล้ว ชีวิตเขาจึงไม่เหลือที่พึ่งทางใจอีกแล้ว
ไม่นานนักเขาก็เปิดตู้เซฟได้ ซึ่งตู้นี้ใช้เก็บชิ้นงานที่ยังทำไม่เสร็จของช่างทอง ปกติจะไม่ค่อยมีงานค้างอยู่ในตู้นี้มากนัก แต่เพราะวันนี้ช่างทองได้เริ่มลงมือผลิตชิ้นงานโปรเจ็คใหญ่ของเศรษฐีนีจากซาอุฯ ซึ่งเป็นลูกค้าขาประจำของบริษัท จึงมีชิ้นงานหลายชิ้นวางอยู่ในเซฟ
ปกรณ์ตาโต “ฟลุ๊คจริงๆ เว้ยกู”
เขาหยิบชิ้นงานที่ยังทำไม่เสร็จออกมาดูแล้วก็รีบเก็บใส่กระเป๋าเป้ เขากวาดหมดทั้งตู้เซฟ คำนวณราคาคร่าวๆ แล้วก็ไม่ต่ำกว่าสิบล้านแน่นอน
พอได้ของแล้วเขาก็รีบออกไป ปล่อยตู้เปิดอ้าซ่าอยู่อย่างนั้น พอออกพ้นประตูแผนกผลิตออกมาได้ก็ค่อยๆ ดึงประตูปิดอย่างเบามือ แล้วก็ค่อยๆ ลอบออกไปอย่างเงียบเชียบ ถึงแม้บริษัทจะมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ แต่สภาพสวมหมวกปิดหน้าสวมเสื้อผ้าแขนยาวขายาวอำพรางตัวแบบนี้ ต่อให้ตำรวจเก่งขนาดไหนก็ไม่มีทางจับได้แน่ หากจะมีใครถูกจับล่ะก็…ก็นังเมษาหน้าโง่นั่นไงล่ะ
เมื่อกลับถึงห้องพัก เขาก็ปิดม่านมิดชิด หยิบเครื่องประดับเพชรที่ยังทำไม่เสร็จออกมาดูอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
“รอให้เรื่องเงียบก่อนเถอะกูจะเอาไปขายซื้อรถสปอร์ตขับเย้ยไอ้พวกที่เคยดูถูกกูซะให้เข็ด ห้องเช่ารูหนูนี่กูก็จะไม่อยู่แล้ว กูจะเอาไปซื้อคอนโดอยู่ ฮ่าๆๆๆๆ กูรวยแล้วโว้ย”
เขาจูบเครื่องประดับเหล่านั้นแล้วก็เอาใส่ถุงผ้า ปีนขึ้นไปเหยียบหัวเตียงเหล็กเปิดฝ้าเพดานเอาของซ่อนไว้ จากนั้นก็ถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดที่ใส่อยู่สวมชุดใหม่แล้วก็เอาชุดเก่าใส่ถุงไปทิ้งถังขยะหน้าปากซอย เรื่องเหล่านี้เขาเรียนรู้มาจากพ่อทั้งหมด เขาจะไม่ยอมถูกจับติดคุกเหมือนพ่อเด็ดขาด แล้วก็กลับไปนอนหลับอย่างสบายใจ เฝ้าฝันถึงวันที่มีเงินไปพลางๆ
วันรุ่งขึ้น เมษาไปทำงานแต่เช้าเช่นเคย แต่ที่บริษัทมีตำรวจยืนเฝ้าอยู่ข้างหน้ากันไม่ให้ใครเข้าไป วัชระกับวราวุธกำลังยืนคุยกับตำรวจอยู่อีกด้านหนึ่ง ส่วนพวกพนักงานก็ยืนรวมกลุ่มกันอีกด้าน มีตำรวจยืนเฝ้าอยู่สองคน
เมษาเดินไปหากลุ่มพนักงาน “มีอะไรเหรอพี่ซิน?”
ซินดี้เห็นลูกน้องเดินมาก็รีบขยับไปคุยด้วย “เห็นว่ามีขโมยงัดเข้าออฟฟิตเมื่อคืนน่ะ พี่มาถึงก็เห็นบอสใหญ่กับบอสเล็กกำลังคุยกับตำรวจแล้ว”
“ห๊า!” เมษาตกใจ “แล้วอะไรหายไปมั่งเหรอพี่?”
ซินดี้ส่ายหน้า “ไม่รู้ซิ พี่ก็เพิ่งมาถึงซักพักนี่แหละ”
วัชระคุยกับตำรวจเสร็จแล้วก็เดินไปหาลูกน้อง “วันนี้พวกลื้อกลับบ้านไปก่อน ตำรวจต้องตรวจที่เกิดเหตุอีกนาน อ้อ อาซินลื้อโทรบอกคนอื่นๆด้วยว่าวันนี้หยุดหนึ่งวัน”
“ค่ะบอส” ซินดี้รีบหยิบโทรศัพท์มาไลน์บอกเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
วัชระเดินกลับไปคุยกับน้องชาย
พนักงานคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เมษาก็เดินตามพนักงานคนอื่นๆ ไปเช่นกัน
เมื่อถึงบ้าน เมษาก็ทำความสะอาดบ้านไปเรื่อยๆ วันอาทิตย์งานทำความสะอาดบ้านจะได้ลดน้อยลงหน่อย
ด้านนักสืบก็ติดตามดูพฤติกรรมของเป้าหมายอย่างไม่ให้คลาดสายตา
ทางด้านตำรวจก็เรียกพนักงานไปสอบสวนตามขั้นตอน
อิงฟ้าถูกเรียกไปสอบปากคำเป็นคนแรก
“คุณสารภาพมาดีกว่าว่าคุณเอาของที่ขโมยไปๆ ซ่อนไว้ที่ไหน?” ตำรวจซัก
“อ้าว นี่คุณตำรวจ เดี๋ยวนี้ตำรวจเขามีวิธีทำงานชุ่ยๆ แบบนี้เหรอคะ? ยัดเยียดข้อหาให้ผู้บริสุทธิ์ง่ายๆ แบบนี้เลยหรา” อิงฟ้าจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง แล้วก็อ่านป้ายชื่อตำรวจคนนั้น “ร้อยตำรวจเอกไอศูรย์ ฤทธาเกรียงไกร”
เธอมองดาวบนบ่าเขา “3 ดาว เป็นนายร้อยได้ไงฟร่ะ?”
ความหมายคือ ทำงานชุ่ยขนาดนี้เป็นนายร้อยได้ยังไง ซื้อตำแหน่งมารึเปล่า?
ไอศูรย์มองชื่อบนแฟ้มประวัติพนักงาน “ชื่ออิงฟ้า สุริยะ จบสถาปัตย์จากจุฬาฯ เงินเดือน 23,000” เขามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า “ชุดที่คุณใส่อยู่นี่ก็หลายพันแล้ว รองเท้าราคาหมื่นกว่า ใส่นาฬิกาเรือนเฉียดล้าน ขับรถสปอร์ตคันละ 6 ล้านกว่า ถ้าคุณไม่ใช่ขโมย แล้วจะเป็นใครไปได้อีกล่ะครับ อย่าบอกนะว่าบ้านคุณรวย เพราะถ้ารวยจริงคงไม่มาทำงานเป็นพนักงานกระจอกๆ รับเงินเดือนแค่เดือนละ 23,000 หรอก นอกเสียจากว่าคุณมาทำงานที่นี่เพื่อหาลู่ทางขโมยของๆ บริษัท”
เขาจ้องหน้าเธออย่างคาดคั้น “คุณยอมสารภาพดีกว่า แล้วก็บอกมาว่าคุณเอาของไปซ่อนไว้ที่ไหน?”
อิงฟ้ายืนขึ้น เชิดหน้าอย่างหยิ่งทระนง เธอยื่อนมือไปจิ้มๆ ดาวบนบ่าเขา “นี่คุณผู้กอง ฉันจะบอกอะไรให้นะ เผอิญว่าบ้านฉันรวย แล้วยังไงเหรอ? ฉันจะมาเป็นพนักงานกระจอกๆ ไม่ได้รึไง? มีกฎหมายข้อไหนห้ามไว้ด้วยเหรอ? ในเมื่อฉันอยากทำงานตามสายงานที่เรียนมานี่มันผิดนักเหรอ? แล้วไงล่ะรับเงินเดือน 23,000 แต่อยากจะใช้ของหรูๆ แพงๆ เพราะว่ารวยอ่ะมีไรไหมอ่ะ ถ้าคุณไม่มีหลักฐานก็อย่ามากล่าวหาซี้ซั้วมั่วนิ่มแบบนี้ไม่งั้นฉันจะให้ทนายฟ้องให้โดนพักงานโดยไล่ออกไปเลย ชิ! ดาวนี่ซื้อมารึไงฟร่ะ ถึงได้ทำงานโคตรห่วยสิ้นดี”
เธอสะบัดหน้าเดินออกไป
“นี่คุณ! คุณยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นนะ ผมยังสอบปากคำคุณไม่เสร็จ” ไอศูรย์เรียก
อิงฟ้าหันไปมองหน้าอย่างเหยียดๆ “เอาไว้คุณมีหลักฐานก่อนนะค่อยมายัดเยียดข้อหาให้ฉัน แต่ตอนนี้คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะกักตัวฉันไว้ ฉันอยากจะไปไหนฉันก็ไป รึคุณอยากโดนฟ้องก็ได้นะ ฉันจะได้เรียกทนายมาเลยเอาไหม?”
“นี่คุณ!” ไอศูรย์กำมืออย่างจนแต้ม
อิงฟ้าเดินออกไปอย่างสวยเริ่ดเชิดหยิ่ง
เกือบบ่ายสาม เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านดังขึ้น เมษาปิดหนังสือลุกไปชะเง้อมอง เห็นวราวุธกับซินดี้และตำรวจสองคนยืนอยู่หน้าบ้านก็ออกไปดู เธอเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน “มีอะไรเหรอคะพี่ซิน? สวัสดีค่ะบอส”
ซินดี้หน้าเจื่อน ส่วนวราวุธก็ท่าทางขึงขัง ตำรวจสองคนก็ก้าวเข้ามา “คือเราขอเชิญคุณไปสอบปากคำที่โรงพักหน่อยครับ”
“อ๋อ ได้ค่ะ รอซักครู่นะคะขอปิดบ้านก่อนค่ะ” เมษาบอกแล้วก็หันหลังไป
เชิญคุณขึ้นรถเลยครับ” ตำรวจบอกท่าทางเคร่งเครียด
เมษาหันไปมองอย่างงงๆ “ค่ะ ขอเวลาหยิบกระเป๋าปิดบ้านแป๊บนะคะ”
“ถ้างั้นผมขอตามไปด้วยครับ” ตำรวจบอกแล้วก็ผายมือ
เมษางงหนัก “นี่มันอะไรกันคะคุณตำรวจ?”
“อาเมไปกับพวกเราดีๆ เถอะ อย่าให้ต้องใช้กำลังเลยนะ” วราวุธพูดหน้าขรึม
“นี่มันอะไรกันคะบอส? ทำเหมือนว่าหนูเป็นคนร้ายงั้นแหละ”
“ไปกับเราดีๆ เถอะครับ คุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าขโมยทองจากตู้เซฟเมื่อคืนนี้ครับ” ตำรวจบอก
“ห๊า!” เมษาตะลึงไป
ตำรวจแตะต้นแขน “เชิญครับ”
เมษาสูดลมหายใจตั้งสติ “มีหมายจับไหมคะ?”
“ไม่มีครับ เราแค่มาเชิญคุณไปสอบปากคำที่โรงพักก่อนครับ” ตำรวจบอก
“ถ้างั้นฉันก็ยังไม่ใช่ผู้ต้องหาคุณตำรวจก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะจับกุมใช่ไหมคะ?” เมษาถาม
ตำรวจพยักหน้า “ครับ”
“ถ้างั้นฉันขอหยิบกระเป๋ากับโทรศัพท์แป๊บนึง ขอล็อคบ้านก่อนค่ะ” เมษาบอกอย่างพยายามตั้งสติ…ใจเย็นๆไว้แองจี้ ใจเย็นๆ
“ก็ได้ แต่ผมขอตามเข้าไปด้วยครับ” ตำรวจบอก
เมษาพยักหน้า แล้วก็ก้าวเข้าไปในบ้าน ตำรวจตามเข้าไปด้วย
เมษาหยิบกระเป๋ากับโทรศัพท์แล้วก็หยิบกุญแจมาล็อคบ้านให้เรียบร้อย
ตำรวจคุมเชิงตลอดเวลา ตำรวจอีกคนเดินไปเปิดประตูรถข้างหลังให้ “เชิญครับ”
เมษาเดินไปนั่งในรถอย่างหวั่นใจ แต่ก็พยายามตั้งสติเอาไว้…ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ เราไม่ได้เป็นขโมย อ่ะจริงซิ ต้องโทรบอกแม่ก่อน เธอรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา แต่ตำรวจก็ดึงไปทันที “ขอยึดโทรศัพท์ไว้ก่อนครับ จะคืนให้หลังสอบปากคำเสร็จแล้วครับ”
“ห๊า! ได้ไงอะ?” เมษาตกใจ
ตำรวจส่งโทรศัพท์ให้ตำรวจอีกคน แล้วตำรวจคนนั้นก็เข้ามานั่งประกบกันผู้ต้องสงสัยหลบหนี แล้วตำรวจก็ขับรถออกไป
วราวุธกับซินดี้ก็ขึ้นรถแล้วก็ขับตามไป
พอถึงโรงพัก ตำรวจก็พาเมษาเข้าไปนั่งสอบปากคำในห้อง
“เรามีหลักฐานว่าคุณเป็นคนเข้าไปขโมยทองของบริษัทเมื่อคืนนี้ คุณรีบรับสารภาพมาดีกว่า”
“หลักฐานอะไรคะ? ฉันไม่ได้เป็นขโมยนะคะคุณตำรวจ เมื่อคืนนี้ฉันอยู่บ้าน ไม่ใช่ขโมยแน่นอนค่ะ” เมษายืนยัน
“แต่ตามบันทึกการเปิดประตูของบริษัท บันทึกว่าคุณใช้คีย์การ์ดเปิดประตูบริษัทตอนตีสองกับตีสองครึ่ง แล้วคีย์การ์ดที่ใช้เปิดห้องเก็บตู้เซฟก็เป็นคีย์การ์ดที่คุณวัชระให้คุณเมื่อวานนี้” ตำรวจบอกเสียงเข้ม
“ห๊า” เมษาตกใจหน้าซีด “มันจะเป็นไปได้ยังไงคะ? ในเมื่อๆ คืนนี้ฉันอยู่ที่บ้านนะคะคุณตำรวจ”
“มีหลักฐานไหม? หรือมีพยานไหม?”
“มี แม่ฉันเป็นพยานได้ค่ะ” เมษารีบบอกอย่างมีความหวัง
“ใช้ไม่ได้หรอกคุณ แม่คุณอาจจะร่วมมือกับคุณก็ได้” ตำรวจบอก
เมษาหน้าซีด
“ถ้าคุณไม่มีหลักฐานไม่มีพยานมายืนยันความบริสุทธิ์ เราก็ต้องจับคุณไว้ในฐานะผู้ต้องหาก่อนครับ” ตำรวจบอกแล้วก็หันไปพยักหน้ากับตำรวจอีกคน “หมวดพาไปขังไว้ก่อน”
“ครับผู้กอง” หมวดลุกขึ้น “เชิญทางนี้ครับคุณ”
เมษาตกตะลึงหน้าซีดเผือด จู่ๆ ก็กลายมาเป็นผู้ต้องหาในคดีที่ไม่ได้ทำ “ฉันขอโทรหาแม่ได้ไหม?”
“ไม่ได้” ผู้กองบอก “เดี๋ยวเราจะนำกำลังไปค้นบ้านคุณ ถ้าปล่อยให้คุณโทรหาแม่ ของกลางอาจถูกเคลื่อนย้ายก็ได้”
เมษาหน้าจ๋อย “แต่ฉันไม่ได้เป็นขโมยจริงๆ นะคะคุณตำรวจ”
“เชิญครับคุณ” หมวดบอก
เมษาลุกขึ้นอย่างอ่อนแรง เดินตามหมวดไป
หมวดพาผู้ต้องหาสาวไปเข้าห้องๆ หนึ่งล็อคประตูขังไว้แล้วก็จัดการให้สิบเวรลงบันทึกเก็บทรัพย์สินของผู้ต้องหาเอาไว้ในตู้ จะพาไปขังไว้ในห้องขังก็ไม่ได้เพราะวันนี้เพิ่งจะจับกลุ่มเด็กแว๊นซ์มาได้ทั้งแก๊ง รอให้ผู้ปกครองมาประกันตัวออกไป ห้องขังจึงแออัดไปด้วยกลุ่มเด็กวัยรุ่น
จากนั้นตำรวจก็ขอหมายค้นไปค้นบ้านของผู้ต้องหา
ณ โรงแรม ที่มาร์คัสพัก โอเวนวางสายจากนักสืบก็รีบไปรายงานเจ้านายทันที “มาร์ค นักสืบโทรมาบอกว่ามิสบุญรักษ์ถูกตำรวจจับข้อหาขโมยจิวเวอร์รี่ของบริษัทน่ะ”