วันที่เริ่มเขียน 21 พฤศจิกายน 2562
เมษาที่รัก
Chapter 1 เป้าหมาย
รถเบนซ์สีดำสนิทเงาวับ ติดฟิล์มทึบจนมองไม่เห็นข้างใน จอดติดเครื่องอยู่ริมทางเท้า ภายในรถมีคนอยู่สามคน สองคนนั่งด้านหน้าใส่สูทเนี้ยบเรียบกริบ อีกคนหนึ่งแต่งตัวชุดลำลองแบรนด์เนมดังทั้งตัวนั่งอยู่ด้านหลัง
“ผู้หญิงคนนั้นไงครับ” โอเวนชี้ให้เจ้านายดู เขาพูดภาษาอังกฤษ
สายตาคมสีฟ้ามองตามมือลูกน้องไปที่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินออกมาจากซอย
“นายแน่ใจนะว่าเธอใช่ผู้หญิงที่พ่อฉันต้องการ…” มาร์คัสถาม สายตาจับจ้องผู้หญิงคนนั้นตลอดเวลา
โอเวนพยักหน้า “ชัวร์ เธอคือมิสบุญรักษ์”
มาร์คัสพยักหน้ารับรู้ เมื่อหญิงสาวเป้าหมายก้าวขึ้นแท็กซี่ เบนซ์สีดำก็ขับตามไปห่างๆ จนกระทั่งรถแท็กซี่จอดหน้าตึกแถวแห่งหนึ่งหญิงสาวก็ลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในอาคาร
รถเบนซ์จอดเทียบริมทางเท้าเลยตึกแถวนั้นไปเล็กน้อย
“มิสบุญรักษ์ทำงานที่บริษัทนี้ เธอเป็นดีไซน์เนอร์จิวเวอร์รี่ของที่นี่ ทำงานมาสามปีแล้วครับ” โอเวนรายงาน
“นายจับตาดูเธอไว้ อย่าให้เธอรู้ตัวล่ะ” มาร์คัสสั่งแล้วก็ละสายตาจากบริษัทแห่งนั้นพยักหน้ากับคนขับรถ “โรเจอร์กลับโรงแรม”
“ครับบอส” โรเจอร์เปิดไฟเลี้ยวแล้วก็เบนรถขับกลับโรงแรม
เมษาเดินไปเสียบการ์ดเข้าบริษัท พอถึงโต๊ะทำงานก็เก็บกระเป๋าใส่ลิ้นชักแล้วก็เปิดคอม
“มาแล้วเหรอเม บอสเรียกให้ไปพบน่ะ” ซินดี้ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกเดินมาบอก
“บอสมีอะไรเหรอพี่ซิน?” เมษาสงสัย โดนเรียกแต่เช้าเลยวุ้ย
“ก็เรื่องงานที่เมเสนอไปเมื่อวานนี้แหละ บอสชอบมากเห็นว่างานนี้จะให้เมคุมเลยนะ”
“จริงเหรอ?” เมษาดีใจ
“จริงซิ เมรีบไปเถอะเดี๋ยวบอสรอนาน” ซินดี้บอกแล้วก็เดินไปชงกาแฟ
เมษารีบเดินไปทันที พอถึงห้องทำงานบอสยังไม่ทันพูด เลขาหน้าห้องก็บอกว่า “บอสรออยู่รีบเข้าไปเลยจ้ะน้องเม”
“ค่ะพี่นก” เมษาพยักหน้าแล้วก็เคาะประตูห้อง ก็อกๆ
เสียงคนในห้องตอบออกมา “เข้ามา”
เมษาเปิดประตูเข้าไป ยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะบอส”
“มาๆ อาเม ลื้อนั่งเลย” วัชระกวักมือพูดแบบคนไทยเชื้อสายจีน
“ขอบคุณค่ะบอส” เมษาเดินไปนั่งที่เก้าอี้
“เรื่องงานที่ลื้อเสนอเมื่อวาน อั๊วต้องการให้ลื้อคุมตั้งแต่ออกแบบจนถึงผลิตเลยนะ เดี๋ยวลื้อเอาการ์ดนี่ไปฝ่ายผลิตนะ ลื้อไปคัดเพชรคัดพลอยตามแบบที่ลื้อเสนอได้เลย เอาให้ถูกใจคุณซาฟีน่าที่สุดล่ะ ส่วนเรื่องงบคุณซาฟีน่าสู้ราคาเต็มที่” วัชระเลื่อนการ์ดกับแฟ้มงานให้
“ขอบคุณค่ะบอส เมจะทำให้ดีที่สุดค่ะ” เมษารีบพนมมือไหว้
วัชระยิ้มให้แล้วก็โบกมือ
เมษาหยิบแฟ้มงานกับคีย์การ์ดแล้วก็ลุกออกไป
“เป็นไงมั่งน้องเม?” กรกนกกระซิบถามทันที
“ผ่านฉลุยเลยพี่นก” เมษาดีใจยิ้มหน้าบาน ชูคีย์การ์ดในมือให้ดู
กรกนกดีใจด้วย “พี่ดีใจด้วยจ้า”
เมษายิ้มตอบแล้วก็ถือการ์ดเดินลงไปชั้นล่างซึ่งเป็นแผนกผลิตเครื่องประดับของบริษัท พอถึงประตูทางเข้าแผนกก็แตะคีย์การ์ดกับประตู พอเดินเข้าประตูไปแล้วก็ต้องผ่านด่านตรวจรักษาความปลอดภัยอันเข้มงวดพร้อมทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้ารองเท้าตามกฎของบริษัทในการเข้าสู่แผนกผลิต
ทำงานมาตั้งสามปีเพิ่งจะมีโอกาสเข้ามาในแผนกนี้เป็นครั้งแรกก็ตื่นเต้นมากหน่อย พอออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก็เจอหัวหน้าแผนกยืนรออยู่แล้ว เธอรีบยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”
“หวัดดี” วราวุธหัวหน้าแผนกตอบห้วนๆ แล้วก็พยักหน้า “ลื้อเรียบร้อยแล้วก็ตามมาทางนี้ซิ”
“ค่ะ” เมษาพยักหน้าแล้วก็เดินตัวลีบตามหัวหน้าแผนกไป ซึ่งหัวหน้าแผนกเป็นน้องชายของบอสนั่นเอง
“ลื้อนั่งรอนี่นะ เดี๋ยวอั๊วเอาเพชรเอาพลอยมาให้ลื้อคัดตรงนี้” วราวุธชี้ที่โต๊ะคัดเพชรแล้วก็เดินไปเปิดตู้เซฟ หยิบถาดใส่เพชรออกมา เขาเอาถาดวางตรงหน้าพนักงานสาวแล้วก็นั่งเฝ้าฝั่งตรงข้าม
เมษามองเพชรในถาดอย่างละลานตา แต่พอเจอสายตาดุของคนตรงข้ามก็รีบก้มหน้าทำงาน เธอนั่งคัดเพชรคัดพลอยตามแบบจนครบแล้วก็เงยหน้ามองหัวหน้าแผนก “เสร็จแล้วค่ะ”
วราวุธพยักหน้าแล้วก็เก็บถาดเพชรซึ่งเป็นถาดที่แปดแล้วกลับเข้าตู้เซฟตามเดิม เขาเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วก็หยิบถาดใส่เพชรพลอยที่คัดมาแล้วกับแฟ้มงานเอาไปส่งให้ลูกน้อง พอหันกลับไปที่โต๊ะคัดเพชรเห็นพนักงานสาวยังนั่งอยู่ก็สั่งว่า “เสร็จแล้วก็กลับไปซิ”
“ค่ะ” เมษายิ้มเจื่อนแล้วก็รีบลุกไป
กว่าจะผ่านขั้นตอนรักษาความปลอดภัยของแผนกผลิตออกมาได้ก็ต้องเจอตรวจแล้วตรวจอีก ดีนะว่าคนตรวจเป็นผู้หญิงซึ่งก็คือภรรยาของวราวุธ ไม่งั้นล่ะก็เธอคงไม่ยอมให้ตรวจค้นแน่
พอกลับไปที่แผนก สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเธอยกหูโทรศัพท์รับสาย “สวัสดีค่ะ”
“เม เราเองนะ” เสียงปลายสายบอก
“หวัดดีกรณ์” เมษาทักทายเสียงหวาน
“กลางวันนี้ว่างไหม ออกมาทานข้าวด้วยกันหน่อยซิ คิดถึง” ปกรณ์หยอดคำหวานแล้วก็รีบพูดว่า “เอาร้านใกล้ๆ ออฟฟิตเมก็ได้ เดี๋ยวเราไปรอที่ร้านนะ”
“เอาไว้วันอื่นได้ไหมกรณ์ คือวันนี้เรางานยุ่งมากเลยอ่ะ” เมษาตอบพลางคิดเรื่องงานอยู่ในใจ
“แต่เราไม่ได้เจอหน้าเมมาตั้งสองวันแล้วนะ ไม่สงสารเราเหรอ เราคิดถึงเมจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยนะ นะเมนะ เราไม่รบกวนเวลาเมทำงานหรอก นะคร้าบ” ปกรณ์อ้อน
“ก็ได้ งั้นเจอกันที่ร้านเดิมล่ะกัน” เมษาตอบ
“งั้นเดี๋ยวเราไปรอนะ คิดถึงนะครับ รักเมนะ จุ๊บๆ” ปกรณ์บอกแล้วก็วางสายไป
เมษาวางโทรศัพท์แล้วก็คิดถึงปกรณ์ รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนม.ปลาย ปกรณ์เป็นคนหล่อ เรียนคนละห้องกับเธอ แต่กลับไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก มักจะถูกเพื่อนในห้องล้อเลียนเสมอว่าเป็นเกย์ด้วยเหตุที่ว่าปกรณ์แต่งตัวสะอาดเสมอ ไม่ชอบเล่นกีฬาแบบเด็กวัยรุ่นผู้ชายทั่วไป เรียกได้ว่าปกรณ์มักจะมาขลุกอยู่กับเธอมากกว่า จนกลายเป็นความรักแบบวัยรุ่น แต่พอจบม.ปลายต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป ปกรณ์ไม่มีโอกาสเรียนต่อมหาวิทยาลัย จึงไปสมัครงานบริษัทแถวบ้าน ส่วนเธอก็เรียนมหาวิทยาลัยต่อ แล้วก็ได้มาทำงานที่นี่หลังเรียนจบ
หลังจากทำงานแล้วเธอก็เรียนต่อปริญญาโทวันเสาร์อาทิตย์ไปด้วย จนตอนนี้เธอจบปริญญาโทมาหมาดๆ ปีหน้าก็เข้ารับปริญญา เธอทำให้แม่ภาคภูมิใจได้แล้ว
มีบริษัทอื่นเคยมาเสนอตำแหน่งงาน ให้เงินเดือนดีกว่าที่นี่1 เท่าตัว แต่เธอก็ไม่คิดจะไปทำที่อื่นเพราะบริษัทนี้เป็นบริษัทแรกที่เปิดโอกาสให้เธอได้ทำงาน ได้มีโอกาสส่งเสียตัวเองจนเรียนจบปริญญาโท ทั้งๆ ที่วันเสาร์เป็นวันทำงาน แต่วัชระก็อนุญาตให้เธอหยุดเพื่อไปเรียนต่อได้ ใครจะว่าเธอโง่ก็ช่าง ในเมื่อเจ้านายใจดีกับเธอขนาดนี้เธอก็อยากจะตอบแทนบุญคุณให้ดีที่สุด
แล้วเธอก็เริ่มลงมือทำงานต่อ…
จนใกล้เที่ยงอิงฟ้าเพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิทตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็เดินโฉบมาที่โต๊ะ
“เม เกือบเที่ยงแล้วไปกินข้าวด้วยกันนะ”
เมษาเงยหน้าจากจอคอม “ฟ้าไปเถอะ เรานัดกับกรณ์ไว้แล้วอ่ะ”
“แหมๆๆ สวีทกันจังนะแก ห่างๆ กันมั่งก็ได้หรอก เพื่อนอิจฉานะว๊อย” อิงฟ้าแซว
“สวีทไร แค่กินข้าวกลางวัน” เมษากดเซฟงานแล้วก็ปิดคอม
“แล้วจะแต่งเมื่อไหร่ล่ะ เรียนจบแล้วนี่ เพื่อนรอกั้นประตูเงินประตูทองอยู่นะเว้ย”
เมษาค้อนอย่างเขินๆ “แต่งเติ่งอะไรแก กรณ์ยังไม่เคยขอเลย”
“มันไม่ขอ แกก็ขอมันซิ คบกันมาก็ตั้งหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอ ระวังนะเมหมามันจะ มคปด.(หมาคาบไปแดก) กรณ์มันก็เข้าขั้นหนุ่มหล่ออยู่นะ เสียอย่างเดียวท่าทางสำอางขนาดนั้นไม่รู้เป็นเก้งกวางรึป่ะ?” อิงฟ้านั่งพิงขอบโต๊ะทำงาน
“พูดงี้อีกแล้วนะฟ้า กรณ์เขาไม่ได้เป็นหรอก เขาก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ช่วงที่เราเรียนมหาลัยก็ได้ข่าวว่าเขาก็มีแฟนหลายคนเหมือนกัน พอมาเจอกันอีกที…”
“ย่ะ ไม่ต้องเล่าต่อแล้ว” อิงฟ้ารีบเบรก “มาเจอกันอีกที เขาก็ยังเป็นเพื่อนแสนดี คุยกันถูกคอ ถ่านไฟเก่ามันก็เลยคุๆๆๆ พอๆๆๆ ขี้เกียจฟังเส้นทางรักของแกล่ะ ฟังแล้วมันแสลงใจคนไม่มีแฟนว่ะ แมร่ง…ไอ้เรารึก็สวยออกขนาดนี้ ทำไมไม่มีใครมาชอบมั่งวะ? เซ็งโว้ย”
“สวยขนาดนี้ แต่ปากหมากัดไม่เลือกผู้ชายก็ขยาดนะฟ้า” ซินดี้ขยับเข้ามาเบรก
“โหย…พี่ซิน กัดฟ้าอีกแล้ว ไอ้เรารึก็ออกจะเริ่ดเลอเพอร์เฟคขนาดนี้ จะหาผัวทั้งทีถ้ามันทนปากฟ้าไม่ได้ก็อย่าไปคบแมร่งเลย ไปๆ งั้นพี่ไปกินข้าวกับฟ้าดีกว่า เมมันนัดแฟนแล้ว” อิงฟ้าคว้าแขนซินดี้แล้วก็หันไปโบกมือให้เพื่อน “ไปล่ะนะเม ไว้กลับมาค่อยเม้ากันต่อ”
เมษาพยักหน้ายิ้มให้มองตามเพื่อนกับหัวหน้าเดินออกไป เธอก็หยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาคล้องไหล่แล้วก็ลุกขึ้นเดินออกจากบริษัทไป
ณ ร้านอาหารร้านประจำ ปกรณ์นั่งรออยู่ที่โต๊ะ พอเห็นเมษาเปิดประตูเข้ามาก็โบกมือทักทาย “เม ทางนี้ๆ”
เมษาเดินเข้าไปหา “รอนานไหมกรณ์?”
“ไม่นาน เราเพิ่งมาถึงก่อนเมซักสิบนาที” กรณ์ยื่นเมนูให้ “เราสั่งน้ำมะพร้าวของโปรดเมให้แล้วนะ”
“ขอบใจนะ” เมษารับเมนูมาแล้วก็วาง หันไปกวักมือเรียกเด็กเสิร์ฟ
เด็กเสิร์ฟเดินเข้ามา “สวัสดีค่ะ จะรับอะไรดีคะ?”
“เอ่อ…เอาข้าวอบสับปะรดกับต้มจืดสาหร่ายค่ะ” เมษาสั่งอย่างที่ชอบแล้วก็หันไปถามปกรณ์ว่า “แล้วกรณ์สั่งอะไรรึยัง?”
“สั่งแล้ว เราสั่งกุ้งอบวุ้นเส้น ปลาทอดผัดเปรี้ยวหวานแล้วก็ต้มยำกุ้ง” ปกรณ์บอก
“สั่งมาตั้งหลายอย่าง จะกินหมดเหรอ?” แล้วเมษาก็หันไปสั่งเด็กเสิร์ฟว่า “งั้นต้มจืดสาหร่ายไม่เอาแล้วนะคะ”
เด็กเสิร์ฟขีดฆ่ารายการอาหารออกแล้วก็เดินไปวางบิลที่ห้องครัว
“ทำงานเป็นไงมั่งเหรอเม?” ปกรณ์ถาม
“เราได้คุมโปรเจ็คใหม่ด้วยล่ะ บอสให้เราคุมตั้งแต่ออกแบบจนถึงผลิตเลย วันนี้ก็เพิ่งเข้าไปฝ่ายผลิตไปคัดเพชรคัดพลอย เราก็เพิ่งเคยเข้าไปครั้งแรกเลย ตรวจเข้มตั้งแต่หน้าประตูเลยอ่ะกรณ์ ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย แล้วตอนออกมายังต้องเจอตรวจอีก คุณวราวุธก็ดุ๊ดุ ถึงว่าทำไมพี่ซินถึงไม่ค่อยชอบเข้าฝ่ายผลิต ตรวจซะเข้มแบบนี้นี่เอง” เมษาคุยอวด
“โห น่าอิจฉาจัง เมคงได้ดูเพชรดูพลอยสวยๆ เต็มไปหมดเลยซิ”
“อื้ม” เมษาพยักหน้ารับ “คุณวราวุธเอาออกจากตู้เซฟมาให้เราคัดทีละถาดๆ เกรด DD ทั้งนั้นเลย”
เด็กเสิร์ฟยกอาหารมาทำให้การสนทนาหยุดชะงัก
“กับข้าวมาแล้ว น่ากินทั้งนั้นเลย” ปกรณ์มองอาหารตาเป็นประกาย
“น่ากินก็ต้องกินให้หมดนะกรณ์ สั่งมาตั้งเยอะอย่าให้เหลือล่ะ” เมษาบอกอย่างเคยชิน เพราะแม่สอนว่าไม่ให้กินทิ้งกินขว้าง
“หมดอยู่แล้ว เชื่อเราซิ เราต้องยกของใช้แรงเยอะนะเม เราไม่ได้ทำงานออฟฟิตสบายๆ เหมือนเมนี่จะได้กินน้อยๆ ได้” ปกรณ์หยอกเล่นตามประสาเพื่อนสนิท
เด็กเสิร์ฟวางอาหารครบแล้วก็เดินไป ปกรณ์รีบตักกับข้าวเอาใจ “เมซิต้องกินเยอะๆ เธออ่ะผอมยิ่งกว่านางแบบแล้วนะรู้ตัวมั่งป่ะ”
“ไม่ผอมนะกรณ์ น้ำหนักขึ้นมาตั้งโลแล้ว” เมษาพูดพลางตักอาหารกิน
ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน โอเวนก็ลอบมองอยู่ตลอดเวลา เขามากับหญิงสาวคนหนึ่ง เข้ามานั่งในร้านหลังจากที่เป้าหมายเดินเข้าไปในร้าน สั่งเครื่องดื่มและอาหารมากินไปคุยกับหญิงสาวที่มาด้วยกัน สายตาก็ลอบมองเป้าหมายเกือบจะตลอดเวลาพร้อมทั้งแอบบันทึกคลิปไปด้วย
ระหว่างที่นั่งอยู่นั้นเขาก็พิมพ์ข้อความสั่งหญิงสาวที่มาด้วยกันว่า “แอนนา คุณตามมิสบุญรักษ์นะ ส่วนผมจะตามผู้ชายคนนั้นเอง”
แอนนาอ่านข้อความแล้วก็สบตาอย่างเข้าใจความหมาย แล้วก็พิมพ์ตอบกลับไปว่า “ค่ะบอส”
พอทานอาหารเสร็จ ปกรณ์ก็สั่งเช็คบิล พอเด็กเสิร์ฟเอาบิลมายื่นให้เขาก็ล้วงกระเป๋าหากระเป๋าสตาง
“หาไรเหรอกรณ์?” เมษาถามพลางหยิบกระเป๋าสตางออกมาจ่าย มากินข้าวด้วยกันทีไรเมื่อก่อนก็จะแชร์กัน แต่พักหลังๆ มาเธอต้องจ่ายเองเสมอ
ปกรณ์ทำหน้าเจื่อน “เม สงสัยเราลืมกระเป๋าไว้ที่ๆ ทำงานน่ะ เมออกไปก่อนนะแล้วเดี๋ยวครั้งหน้าเราเลี้ยงเอง”
เมษาไม่พูดอะไรเพราะเริ่มเจอมุขนี้บ่อยจนชิน เดี๋ยวก็ลืมกระเป๋าไว้ที่ทำงานบ้างล่ะ ลืมไว้ที่บ้านบ้างล่ะ ไปดูหนังด้วยกันทีไรเธอก็ต้องออกให้ตลอด บ่อยเข้าๆ เธอก็ชักจะเอือมระอาเหมือนกัน
เธอหยิบเงินจ่ายให้เด็กเสิร์ฟ
โอเวนพอเห็นเป้าหมายเรียกเช็คบิล เขาก็รีบเรียกบ้าง
“เราสัญญานะเม ครั้งหน้าเราจะไม่ลืมจริงๆ” ปกรณ์ยกมือชูสามนิ้วน้ำเสียงแข็งขัน
“จ้าๆ” เมษาพยักหน้า พยายามทำความเข้าใจแฟนหนุ่ม เพราะเขาต้องทำงานเป็นพนักงานยกของในห้าง งานมันหนักมันเหนื่อยก็ทำให้คนเราเผลอลืมกันได้ เธอเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ พอเด็กเสิร์ฟนำเงินทอนมาให้ก็รับคืนมาเหลือแบงค์ยี่สิบไว้บนถาดหนึ่งใบเป็นทิปให้เด็กเสิร์ฟ
“ใกล้จะได้เวลาเข้างานแล้ว เราไปก่อนนะกรณ์” เธอบอกพร้อมกับลุกขึ้น จังหวะนั้นเองคีย์การ์ดประตูเข้าฝ่ายผลิตก็หล่นออกจากกระเป๋าเสื้อตกปุไปตรงหน้าปกรณ์
ปกรณ์รีบเก็บการ์ดให้ “การ์ดอะไรเหรอเม?”
“อุ้ย ตายจริง เราลืมไปเลยอ่ะ การ์ดเข้าแผนกผลิตน่ะ ต้องเอาไปคืนบอสซะด้วย” เมษาบอก แบมือรอ
ปกรณ์ตาวาวชั่วแว๊บ “โห ของสำคัญขนาดนี้ถ้าหายไปคงแย่เน้อะ” เขาขยับเข้าไปหย่อนการ์ดใส่กระเป๋าเสื้อคืนให้ “เก็บดีๆล่ะเม อย่าทำหายนะ”
“ขอบใจนะกรณ์” เมษายิ้มให้
ปกรณ์ยิ้มตอบแล้วก็เตือนว่า “มัวแต่คุย เดี๋ยวเข้างานสายนะเม”
“จ้า” เมษาโบกมือให้แล้วก็เดินออกไป
ปกรณ์มองตามจนแฟนสาวเดินลับไปแล้วก็หันไปหยิบแบงค์ยี่สิบในถาดเก็บใส่กระเป๋ากางเกง จากนั้นก็เดินออกไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซด์ที่จอดอยู่หน้าร้าน ค่อยๆ บรรจงเสยผมสวมหมวกกันน็อคแล้วก็สตาร์ทรถขี่ออกไป
โอเวนรีบตามไป แต่เมื่อเห็นว่าเป้าหมายขี่มอเตอร์ไซด์ออกไปแล้ว เขาจึงได้แต่นึกเสียดายเพราะจะตามไปยังไงก็ไม่ทันหรอก เพราะเขาขับรถมา สภาพการจราจรในกรุงเทพฯเป็นยังไงใครๆ ก็รู้ บางครั้งเดินไปเองยังถึงเร็วกว่าขับรถซะอีก
แอนนาเดินตามมากระซิบเบาๆ “เราจะทำยังไงต่อไปคะ?”
“ไม่เป็นไร เราคอยตามดูมิสบุญรักษ์ต่อไป ยังไงผู้ชายคนนั้นก็ไม่ใช่เป้าหมายของเราอยู่แล้ว” โอเวนบอกแล้วก็เดินกลับไปที่ร้านคาเฟ่ติดกับบริษัท
“แต่ฉันเห็นผู้ชายคนนั้นเอาบางอย่างไป แล้วยังหยิบทิปไปอีก ช่างเป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจจริงๆ”
“ผมก็เห็น แต่ดูเขาสองคนสนิทกันมาก คงเป็นแฟนกันล่ะมั้ง” โอเวนเดา
“ยี้ ถ้าฉันมีแฟนแบบนี้ฉันขออยู่เป็นโสดดีกว่าค่ะ” แอนนาบ่นพลางส่ายหน้า “แล้วเราต้องคอยตามดูเธอตลอดทั้งวันอย่างนี้เลยเหรอคะบอส?”
“ไม่หรอก แค่เฉพาะวันนี้เท่านั้น เย็นนี้นักสืบจะมารับช่วงต่อเอง อีกอย่างเราสองคนเป็นชาวต่างชาติมันเด่นเกินไป ผมแค่อยากให้แน่ใจว่านักสืบที่นี่จะคอยตามถูกคน แล้วผมก็อยากประมาณค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายให้นักสืบด้วย”
“แล้วบอสคิดยังไงบ้างหลังจากเห็นเธอแล้ว?”
“เขาไม่พูดอะไรเลย คุณก็รู้นี่ว่าเขาซ่อนความรู้สึกเก่งขนาดไหน”
“ค่ะฉันรู้ เขาช็อคมากหลังจากที่ได้รู้เรื่องนั้นแล้ว เป็นฉันๆ ก็คงช็อคเหมือนกันค่ะ”
Chapter 2 ขโมย
“เธอไปแล้ว ตามไปเร็ว อย่ามัวแต่คุยอยู่เลย” โอเวนบอกแล้วก็เดินนำหน้าไป
แอนนาเดินตามไป
ปกรณ์พอกลับถึงห้องพัก ก็เข้าห้องปิดประตูสลัดรองเท้าออกแล้วล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียง ล้วงเอาคีย์การ์ดออกมา “คืนนี้แหละกูจะเป็นเศรษฐีแล้วโว้ย”
สายตาละโมบจ้องมองคีย์การ์ดอย่างวางแผน อุตส่าห์ตีสนิทมาหลายปีใช้ความเป็นแฟนเก่าตั้งแต่สมัยเรียนทำให้เมษาตายใจก็เพื่อวางแผนขโมยทองของบริษัทที่เธอทำงานอยู่นี่แหละ
เสียงโทรศัพท์มีไลน์เข้า เขาหยิบมาดู “กรณ์ คุณพอลจองคิวคืนนี้ด่วน รับป่ะ ถ้ารับพี่จะได้บอก”
ปกรณ์รีบพิมพ์กลับไป “ไม่รับ รับงานไว้แล้ว”
“k”
เขามองข้อความแล้วก็เหยียดยิ้ม “ไอ้พอลก็หล่อดีอยู่หรอกเสียแต่แมร่งมันชอบซาดิสไปหน่อย ขึ้นเตียงกะมันทีไรผิวกูเป็นรอย หมดหล่อทุกที”
เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบการ์ดอีกใบที่แอบก็อปเอาไว้ของเมษา คีย์การ์ดพนักงานของเมษาที่เขาแอบก็อปเอาไว้เมื่อสองเดือนที่แล้ว สมองอันชั่วร้ายก็เริ่มวางแผนการสำหรับคืนนี้
เมษานั่งทำงานจนถึงเวลาเลิกงานก็ตรงกลับบ้านทันที โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองตกเป็นเป้าหมายของใครบางคนอยู่
พอถึงบ้านทาวน์เฮ้าส์หลังเล็กๆในซอยที่แม่อุตส่าห์ทำงานผ่อนส่งทุกเดือนๆ จนส่งหมดไปเมื่อปีที่แล้ว ภายในบ้านไม่มีของใช้อะไรมากนัก แต่ทุกอย่างดูสะอาดสะอ้านเพราะสองแม่ลูกคอยช่วยกันทำความสะอาดเสมอ ระเบียงด้านบนปลูกไม้สวนครัวใส่กระถางจัดเรียงอย่างสวยงาม เมษาคอยดูแลรดน้ำต้นไม้พอช่วยประหยัดค่ากับข้าวให้ไม่ต้องซื้อมากนัก อีกทั้งสองคนแม่ลูกก็กินอยู่กันอย่างประหยัดไม่ได้ฟุ้งเฟ้ออะไร เงินเดือนจากการเป็นครูโรงเรียนเอกชนของแม่จึงพอเลี้ยงดูสองแม่ลูกให้อยู่กันได้สบายไม่ขัดสนอะไรมาก
พอเปิดประตูบ้านเข้าไปกลิ่นขนมอบก็หอมฟุ้งออกมา
“แม่ขา แองจี้กลับมาแล้วค่ะ”
“กลับมาแล้วเหรอแองจี้ ไปอาบน้ำไป แล้วค่อยลงมาทานข้าวกัน” เสียงนุ่มตอบออกมาจากในครัว
เมษาวางกระเป๋าแล้วก็เดินเข้าไปในครัว “มีอะไรให้แองจี้ช่วยไหมคะ?”
“ไม่มีแล้วลูก แม่ทำเสร็จหมดแล้ว หนูไปอาบน้ำเถอะจะได้มาทานข้าวกัน” มาริสาบอกพลางถอดผ้ากันเปื้อนแขวนไว้
“ค่ะแม่” เมษาพยักหน้ารับ แล้วก็ขึ้นห้องนอนของตัวเอง
>>>>>>>>>>ตอนเด็กๆ เมษาเคยสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงมีชื่อเล่นว่าแองจี้ ซึ่งแม่ก็อธิบายว่า “แองจี้ก็มาจากแองเจิ้ลในภาษาอังกฤษไงคะลูก แองเจิ้ลแปลว่านางฟ้า หนูก็คือนางฟ้าของแม่ไงคะ”
“แล้วชื่อเมษาล่ะคะแม่?”
“เมษาก็มาจากชื่อของคุณแม่…มา…ริ…สา…ไงลูก จากมาก็เปลี่ยนเป็นเมก็กลายเป็นเมษาไงคะ แล้วอีกอย่างในภาษาไทยคำว่าเมษาก็เป็นชื่อเดือนด้วยไง เดือนเมษายนไงลูก”
“อ๋อ” เมษาพยักหน้ารับรู้<<<<<<<<<<
พออาบน้ำเสร็จเมษาก็ลงไปทานข้าวกับแม่ แล้วก็ช่วยเก็บล้าง จากนั้นสองแม่ลูกก็แยกย้ายเข้าห้องตัวเอง มาริสาต้องเตรียมการสอนในวันพรุ่งนี้แล้วยังต้องเตรียมออกข้อสอบด้วย ช่วงนี้จึงไม่ค่อยมีเวลาคุยกับลูกมากนัก
ส่วนเมษาพอเข้าห้องได้ก็นึกได้ว่าลืมคีย์การ์ดไว้ในกระเป๋าเสื้อ “อ้าวลืมเอาคีย์การ์ดออกมานี่น่า”
เธอเดินไปหยิบเสื้อออกมาจากตะกร้าล้วงหยิบคีย์การ์ด “เอ๊ะ หายไปไหนล่ะ?”
มือบางไล่ค้นกระเป๋าเสื้อทั้งสองข้างแต่ก็ไม่มี จึงหันไปค้นกระเป๋าสะพาย แต่ก็ไม่มีอีก “เอ…หรือว่าเอาใส่ไว้ที่โต๊ะทำงานรึป่ะ?”
เธอนั่งนึกไปเรื่อยๆ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก “พรุ่งนี้ค่อยไปดูที่โต๊ะล่ะกัน”
จากนั้นเธอก็หยิบหนังสือมานอนอ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลานอนก็เก็บหนังสือวางไว้ข้างเตียงแล้วก็ปิดไฟเข้านอน
โอเวนกับแอนนาจอดรถเยื้องบ้านเมษาไปแล้วก็เฝ้าดูอยู่จนถึงเที่ยงคืนก็ขับรถกลับโรงแรมหลังจากที่นักสืบที่เขาจ้างมาได้มารับช่วงต่อ จากนั้นเขาก็ขับรถกลับโรงแรม ถึงแม้เจ้านายจะไม่เกี่ยงเรื่องราคาจ้างนักสืบแต่ในฐานะลูกน้องและเพื่อนสนิทเขาก็พยายามที่จะไม่ให้เจ้านายถูกนักสืบชาวไทยโก่งราคาค่าจ้างแพงเกินไปนัก
เขากลับห้องพักได้ก็อาบน้ำ ล้มตัวลงนอนหลับ ส่วนเจ้านายของเขาน่ะเหรอคงยังนั่งทำงานอยู่แน่ๆ ทำงานกันมาหลายปีทำไมจะไม่รู้ว่าหมอนั่นบ้างานขนาดไหน ทุกวันนี้ถึงได้ยังโสดเพราะไม่มีผู้หญิงคนไหนทนนิสัยบ้างานของมันได้
ตอนเย็นปกรณ์ก็วางแผนยืมมอเตอร์ไซด์กับคนข้างห้องโดยแลกมอเตอร์ไซด์กัน ซึ่งคนข้างห้องก็ยินดีแลกเพราะจะได้ขี่มอเตอร์ไซด์คันใหม่ไปอวดสาว
ตกดึกปกรณ์ก็ขี่มอเตอร์ไซด์ออกจากที่พักไปซุ่มรอจังหวะลงมือ พอรปภ.เผลอหลับเขาก็สวมหมวกไอ้โม่งปิดหน้าสวมถุงมือเดินเข้าไปหน้าบริษัทแล้วก็ใช้การ์ดของเมษาเปิดประตูเข้าไป ด้วยความที่เคยมาหาแฟนสาวถึงที่ทำงานจึงทำให้รู้ลู่ทางภายในบริษัทบ้าง เขาก้าวยาวๆตรงไปยังประตูแผนกผลิตใช้คีย์การ์ดที่ขโมยมาจากเมษาเมื่อตอนกลางวันเปิดประตูเข้าไป
เขาใช้ไฟฉายส่องไปทั่วแต่พอเห็นตู้เซฟก็กุมขมับ เพราะเป็นเซฟรุ่นใหม่ที่ใช้สแกนลายนิ้วมือ “แมร่งเอ้ย แล้วกูจะเปิดไงวะ”
แต่พอส่องไฟฉายเห็นตู้เซฟธรรมดาก็นึกดีใจ “เอาวะ ลองดูตู้นี้ก็ได้ ดีกว่ามาเสียเที่ยว”
เขาขยับเข้าไปใช้หูฟังแนบกับประตูตู้ แล้วก็เริ่มลงมือหมุนหารหัส ซึ่งวิธีเปิดตู้เซฟเขาเรียนมาจากพ่อของเขาเองซึ่งเคยเป็นโจรย่องเบาตามบ้านเศรษฐี ตอนนี้ถูกจับติดคุก ก็ดีแล้วที่พ่อติดคุก ไม่งั้นเขากับแม่ก็คงโดนซ้อมเช้าเย็นแทนกระสอบทรายแน่ๆ แม่ก็เพิ่งตายเพราะโรคมะเร็งเมื่อปีที่แล้ว ชีวิตเขาจึงไม่เหลือที่พึ่งทางใจอีกแล้ว
ไม่นานนักเขาก็เปิดตู้เซฟได้ ซึ่งตู้นี้ใช้เก็บชิ้นงานที่ยังทำไม่เสร็จของช่างทอง ปกติจะไม่ค่อยมีงานค้างอยู่ในตู้นี้มากนัก แต่เพราะวันนี้ช่างทองได้เริ่มลงมือผลิตชิ้นงานโปรเจ็คใหญ่ของเศรษฐีนีจากซาอุฯ ซึ่งเป็นลูกค้าขาประจำของบริษัท จึงมีชิ้นงานหลายชิ้นวางอยู่ในเซฟ
ปกรณ์ตาโต “ฟลุ๊คจริงๆ เว้ยกู”
เขาหยิบชิ้นงานที่ยังทำไม่เสร็จออกมาดูแล้วก็รีบเก็บใส่กระเป๋าเป้ เขากวาดหมดทั้งตู้เซฟ คำนวณราคาคร่าวๆ แล้วก็ไม่ต่ำกว่าสิบล้านแน่นอน
พอได้ของแล้วเขาก็รีบออกไป ปล่อยตู้เปิดอ้าซ่าอยู่อย่างนั้น พอออกพ้นประตูแผนกผลิตออกมาได้ก็ค่อยๆ ดึงประตูปิดอย่างเบามือ แล้วก็ค่อยๆ ลอบออกไปอย่างเงียบเชียบ ถึงแม้บริษัทจะมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ แต่สภาพสวมหมวกปิดหน้าสวมเสื้อผ้าแขนยาวขายาวอำพรางตัวแบบนี้ ต่อให้ตำรวจเก่งขนาดไหนก็ไม่มีทางจับได้แน่ หากจะมีใครถูกจับล่ะก็…ก็นังเมษาหน้าโง่นั่นไงล่ะ
เมื่อกลับถึงห้องพัก เขาก็ปิดม่านมิดชิด หยิบเครื่องประดับเพชรที่ยังทำไม่เสร็จออกมาดูอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
“รอให้เรื่องเงียบก่อนเถอะกูจะเอาไปขายซื้อรถสปอร์ตขับเย้ยไอ้พวกที่เคยดูถูกกูซะให้เข็ด ห้องเช่ารูหนูนี่กูก็จะไม่อยู่แล้ว กูจะเอาไปซื้อคอนโดอยู่ ฮ่าๆๆๆๆ กูรวยแล้วโว้ย”
เขาจูบเครื่องประดับเหล่านั้นแล้วก็เอาใส่ถุงผ้า ปีนขึ้นไปเหยียบหัวเตียงเหล็กเปิดฝ้าเพดานเอาของซ่อนไว้ จากนั้นก็ถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดที่ใส่อยู่สวมชุดใหม่แล้วก็เอาชุดเก่าใส่ถุงไปทิ้งถังขยะหน้าปากซอย เรื่องเหล่านี้เขาเรียนรู้มาจากพ่อทั้งหมด เขาจะไม่ยอมถูกจับติดคุกเหมือนพ่อเด็ดขาด แล้วก็กลับไปนอนหลับอย่างสบายใจ เฝ้าฝันถึงวันที่มีเงินไปพลางๆ
วันรุ่งขึ้น เมษาไปทำงานแต่เช้าเช่นเคย แต่ที่บริษัทมีตำรวจยืนเฝ้าอยู่ข้างหน้ากันไม่ให้ใครเข้าไป วัชระกับวราวุธกำลังยืนคุยกับตำรวจอยู่อีกด้านหนึ่ง ส่วนพวกพนักงานก็ยืนรวมกลุ่มกันอีกด้าน มีตำรวจยืนเฝ้าอยู่สองคน
เมษาเดินไปหากลุ่มพนักงาน “มีอะไรเหรอพี่ซิน?”
ซินดี้เห็นลูกน้องเดินมาก็รีบขยับไปคุยด้วย “เห็นว่ามีขโมยงัดเข้าออฟฟิตเมื่อคืนน่ะ พี่มาถึงก็เห็นบอสใหญ่กับบอสเล็กกำลังคุยกับตำรวจแล้ว”
“ห๊า!” เมษาตกใจ “แล้วอะไรหายไปมั่งเหรอพี่?”
ซินดี้ส่ายหน้า “ไม่รู้ซิ พี่ก็เพิ่งมาถึงซักพักนี่แหละ”
วัชระคุยกับตำรวจเสร็จแล้วก็เดินไปหาลูกน้อง “วันนี้พวกลื้อกลับบ้านไปก่อน ตำรวจต้องตรวจที่เกิดเหตุอีกนาน อ้อ อาซินลื้อโทรบอกคนอื่นๆด้วยว่าวันนี้หยุดหนึ่งวัน”
“ค่ะบอส” ซินดี้รีบหยิบโทรศัพท์มาไลน์บอกเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
วัชระเดินกลับไปคุยกับน้องชาย
พนักงานคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เมษาก็เดินตามพนักงานคนอื่นๆ ไปเช่นกัน
เมื่อถึงบ้าน เมษาก็ทำความสะอาดบ้านไปเรื่อยๆ วันอาทิตย์งานทำความสะอาดบ้านจะได้ลดน้อยลงหน่อย
ด้านนักสืบก็ติดตามดูพฤติกรรมของเป้าหมายอย่างไม่ให้คลาดสายตา
ทางด้านตำรวจก็เรียกพนักงานไปสอบสวนตามขั้นตอน
อิงฟ้าถูกเรียกไปสอบปากคำเป็นคนแรก
“คุณสารภาพมาดีกว่าว่าคุณเอาของที่ขโมยไปๆ ซ่อนไว้ที่ไหน?” ตำรวจซัก
“อ้าว นี่คุณตำรวจ เดี๋ยวนี้ตำรวจเขามีวิธีทำงานชุ่ยๆ แบบนี้เหรอคะ? ยัดเยียดข้อหาให้ผู้บริสุทธิ์ง่ายๆ แบบนี้เลยหรา” อิงฟ้าจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง แล้วก็อ่านป้ายชื่อตำรวจคนนั้น “ร้อยตำรวจเอกไอศูรย์ ฤทธาเกรียงไกร”
เธอมองดาวบนบ่าเขา “3 ดาว เป็นนายร้อยได้ไงฟร่ะ?”
ความหมายคือ ทำงานชุ่ยขนาดนี้เป็นนายร้อยได้ยังไง ซื้อตำแหน่งมารึเปล่า?
ไอศูรย์มองชื่อบนแฟ้มประวัติพนักงาน “ชื่ออิงฟ้า สุริยะ จบสถาปัตย์จากจุฬาฯ เงินเดือน 23,000” เขามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า “ชุดที่คุณใส่อยู่นี่ก็หลายพันแล้ว รองเท้าราคาหมื่นกว่า ใส่นาฬิกาเรือนเฉียดล้าน ขับรถสปอร์ตคันละ 6 ล้านกว่า ถ้าคุณไม่ใช่ขโมย แล้วจะเป็นใครไปได้อีกล่ะครับ อย่าบอกนะว่าบ้านคุณรวย เพราะถ้ารวยจริงคงไม่มาทำงานเป็นพนักงานกระจอกๆ รับเงินเดือนแค่เดือนละ 23,000 หรอก นอกเสียจากว่าคุณมาทำงานที่นี่เพื่อหาลู่ทางขโมยของๆ บริษัท”
เขาจ้องหน้าเธออย่างคาดคั้น “คุณยอมสารภาพดีกว่า แล้วก็บอกมาว่าคุณเอาของไปซ่อนไว้ที่ไหน?”
อิงฟ้ายืนขึ้น เชิดหน้าอย่างหยิ่งทระนง เธอยื่อนมือไปจิ้มๆ ดาวบนบ่าเขา “นี่คุณผู้กอง ฉันจะบอกอะไรให้นะ เผอิญว่าบ้านฉันรวย แล้วยังไงเหรอ? ฉันจะมาเป็นพนักงานกระจอกๆ ไม่ได้รึไง? มีกฎหมายข้อไหนห้ามไว้ด้วยเหรอ? ในเมื่อฉันอยากทำงานตามสายงานที่เรียนมานี่มันผิดนักเหรอ? แล้วไงล่ะรับเงินเดือน 23,000 แต่อยากจะใช้ของหรูๆ แพงๆ เพราะว่ารวยอ่ะมีไรไหมอ่ะ ถ้าคุณไม่มีหลักฐานก็อย่ามากล่าวหาซี้ซั้วมั่วนิ่มแบบนี้ไม่งั้นฉันจะให้ทนายฟ้องให้โดนพักงานโดยไล่ออกไปเลย ชิ! ดาวนี่ซื้อมารึไงฟร่ะ ถึงได้ทำงานโคตรห่วยสิ้นดี”
เธอสะบัดหน้าเดินออกไป
“นี่คุณ! คุณยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นนะ ผมยังสอบปากคำคุณไม่เสร็จ” ไอศูรย์เรียก
อิงฟ้าหันไปมองหน้าอย่างเหยียดๆ “เอาไว้คุณมีหลักฐานก่อนนะค่อยมายัดเยียดข้อหาให้ฉัน แต่ตอนนี้คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะกักตัวฉันไว้ ฉันอยากจะไปไหนฉันก็ไป รึคุณอยากโดนฟ้องก็ได้นะ ฉันจะได้เรียกทนายมาเลยเอาไหม?”
“นี่คุณ!” ไอศูรย์กำมืออย่างจนแต้ม
อิงฟ้าเดินออกไปอย่างสวยเริ่ดเชิดหยิ่ง
เกือบบ่ายสาม เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านดังขึ้น เมษาปิดหนังสือลุกไปชะเง้อมอง เห็นวราวุธกับซินดี้และตำรวจสองคนยืนอยู่หน้าบ้านก็ออกไปดู เธอเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน “มีอะไรเหรอคะพี่ซิน? สวัสดีค่ะบอส”
ซินดี้หน้าเจื่อน ส่วนวราวุธก็ท่าทางขึงขัง ตำรวจสองคนก็ก้าวเข้ามา “คือเราขอเชิญคุณไปสอบปากคำที่โรงพักหน่อยครับ”
“อ๋อ ได้ค่ะ รอซักครู่นะคะขอปิดบ้านก่อนค่ะ” เมษาบอกแล้วก็หันหลังไป
เชิญคุณขึ้นรถเลยครับ” ตำรวจบอกท่าทางเคร่งเครียด
เมษาหันไปมองอย่างงงๆ “ค่ะ ขอเวลาหยิบกระเป๋าปิดบ้านแป๊บนะคะ”
“ถ้างั้นผมขอตามไปด้วยครับ” ตำรวจบอกแล้วก็ผายมือ
เมษางงหนัก “นี่มันอะไรกันคะคุณตำรวจ?”
“อาเมไปกับพวกเราดีๆ เถอะ อย่าให้ต้องใช้กำลังเลยนะ” วราวุธพูดหน้าขรึม
“นี่มันอะไรกันคะบอส? ทำเหมือนว่าหนูเป็นคนร้ายงั้นแหละ”
“ไปกับเราดีๆ เถอะครับ คุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าขโมยทองจากตู้เซฟเมื่อคืนนี้ครับ” ตำรวจบอก
“ห๊า!” เมษาตะลึงไป
ตำรวจแตะต้นแขน “เชิญครับ”
เมษาสูดลมหายใจตั้งสติ “มีหมายจับไหมคะ?”
“ไม่มีครับ เราแค่มาเชิญคุณไปสอบปากคำที่โรงพักก่อนครับ” ตำรวจบอก
“ถ้างั้นฉันก็ยังไม่ใช่ผู้ต้องหาคุณตำรวจก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะจับกุมใช่ไหมคะ?” เมษาถาม
ตำรวจพยักหน้า “ครับ”
“ถ้างั้นฉันขอหยิบกระเป๋ากับโทรศัพท์แป๊บนึง ขอล็อคบ้านก่อนค่ะ” เมษาบอกอย่างพยายามตั้งสติ…ใจเย็นๆไว้แองจี้ ใจเย็นๆ
“ก็ได้ แต่ผมขอตามเข้าไปด้วยครับ” ตำรวจบอก
เมษาพยักหน้า แล้วก็ก้าวเข้าไปในบ้าน ตำรวจตามเข้าไปด้วย
เมษาหยิบกระเป๋ากับโทรศัพท์แล้วก็หยิบกุญแจมาล็อคบ้านให้เรียบร้อย
ตำรวจคุมเชิงตลอดเวลา ตำรวจอีกคนเดินไปเปิดประตูรถข้างหลังให้ “เชิญครับ”
เมษาเดินไปนั่งในรถอย่างหวั่นใจ แต่ก็พยายามตั้งสติเอาไว้…ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ เราไม่ได้เป็นขโมย อ่ะจริงซิ ต้องโทรบอกแม่ก่อน เธอรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา แต่ตำรวจก็ดึงไปทันที “ขอยึดโทรศัพท์ไว้ก่อนครับ จะคืนให้หลังสอบปากคำเสร็จแล้วครับ”
“ห๊า! ได้ไงอะ?” เมษาตกใจ
ตำรวจส่งโทรศัพท์ให้ตำรวจอีกคน แล้วตำรวจคนนั้นก็เข้ามานั่งประกบกันผู้ต้องสงสัยหลบหนี แล้วตำรวจก็ขับรถออกไป
วราวุธกับซินดี้ก็ขึ้นรถแล้วก็ขับตามไป
พอถึงโรงพัก ตำรวจก็พาเมษาเข้าไปนั่งสอบปากคำในห้อง
“เรามีหลักฐานว่าคุณเป็นคนเข้าไปขโมยทองของบริษัทเมื่อคืนนี้ คุณรีบรับสารภาพมาดีกว่า”
“หลักฐานอะไรคะ? ฉันไม่ได้เป็นขโมยนะคะคุณตำรวจ เมื่อคืนนี้ฉันอยู่บ้าน ไม่ใช่ขโมยแน่นอนค่ะ” เมษายืนยัน
“แต่ตามบันทึกการเปิดประตูของบริษัท บันทึกว่าคุณใช้คีย์การ์ดเปิดประตูบริษัทตอนตีสองกับตีสองครึ่ง แล้วคีย์การ์ดที่ใช้เปิดห้องเก็บตู้เซฟก็เป็นคีย์การ์ดที่คุณวัชระให้คุณเมื่อวานนี้” ตำรวจบอกเสียงเข้ม
“ห๊า” เมษาตกใจหน้าซีด “มันจะเป็นไปได้ยังไงคะ? ในเมื่อๆ คืนนี้ฉันอยู่ที่บ้านนะคะคุณตำรวจ”
“มีหลักฐานไหม? หรือมีพยานไหม?”
“มี แม่ฉันเป็นพยานได้ค่ะ” เมษารีบบอกอย่างมีความหวัง
“ใช้ไม่ได้หรอกคุณ แม่คุณอาจจะร่วมมือกับคุณก็ได้” ตำรวจบอก
เมษาหน้าซีด
“ถ้าคุณไม่มีหลักฐานไม่มีพยานมายืนยันความบริสุทธิ์ เราก็ต้องจับคุณไว้ในฐานะผู้ต้องหาก่อนครับ” ตำรวจบอกแล้วก็หันไปพยักหน้ากับตำรวจอีกคน “หมวดพาไปขังไว้ก่อน”
“ครับผู้กอง” หมวดลุกขึ้น “เชิญทางนี้ครับคุณ”
เมษาตกตะลึงหน้าซีดเผือด จู่ๆ ก็กลายมาเป็นผู้ต้องหาในคดีที่ไม่ได้ทำ “ฉันขอโทรหาแม่ได้ไหม?”
“ไม่ได้” ผู้กองบอก “เดี๋ยวเราจะนำกำลังไปค้นบ้านคุณ ถ้าปล่อยให้คุณโทรหาแม่ ของกลางอาจถูกเคลื่อนย้ายก็ได้”
เมษาหน้าจ๋อย “แต่ฉันไม่ได้เป็นขโมยจริงๆ นะคะคุณตำรวจ”
“เชิญครับคุณ” หมวดบอก
เมษาลุกขึ้นอย่างอ่อนแรง เดินตามหมวดไป
หมวดพาผู้ต้องหาสาวไปเข้าห้องๆ หนึ่งล็อคประตูขังไว้แล้วก็จัดการให้สิบเวรลงบันทึกเก็บทรัพย์สินของผู้ต้องหาเอาไว้ในตู้ จะพาไปขังไว้ในห้องขังก็ไม่ได้เพราะวันนี้เพิ่งจะจับกลุ่มเด็กแว๊นซ์มาได้ทั้งแก๊ง รอให้ผู้ปกครองมาประกันตัวออกไป ห้องขังจึงแออัดไปด้วยกลุ่มเด็กวัยรุ่น
จากนั้นตำรวจก็ขอหมายค้นไปค้นบ้านของผู้ต้องหา
ณ โรงแรม ที่มาร์คัสพัก โอเวนวางสายจากนักสืบก็รีบไปรายงานเจ้านายทันที “มาร์ค นักสืบโทรมาบอกว่ามิสบุญรักษ์ถูกตำรวจจับข้อหาขโมยจิวเวอร์รี่ของบริษัทน่ะ”
Chapter 3 ประกันตัว
“ถูกจับงั้นเหรอ?” มาร์คัสพยักหน้ารับรู้
โอเวนพยักหน้าแล้วก็รีบรายงานว่า “ใช่ นักสืบโทรมาบอกว่ามิสบุญรักษ์ถูกจับข้อหาขโมยจิวเวอร์รี่ของบริษัท มูลค่าประมาณสามแสนกว่าดอลล่าร์”
“นายไปจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ปิดข่าวให้สนิท” มาร์คัสสั่งแล้วก็หันหลังมองวิวด้านนอก
“ได้” โอเวนพยักหน้าแล้วก็เดินออกไปคุยโทรศัพท์สั่งงาน
มาริสากลับมาถึงบ้านครู่หนึ่งก่อนตำรวจจะมาถึง พอเห็นรถตำรวจมาจอดกดกริ่งหน้าบ้านก็ออกไปดู “มีอะไรคะคุณตำรวจ?”
“เรามีหมายค้นมาค้นบ้านคุณครับ” ตำรวจบอกแล้วก็ยื่นหมายค้นให้ดู
มาริสางุนงง “หมายค้นหรือคะ?”
เธอเอื้อมมือไปรับมาอ่านแล้วก็ตกใจ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ? เป็นไปไม่ได้”
“เอ้าหมวด อย่ามัวชักช้า” ผู้กองสั่งแล้วก็พูดกับเจ้าของบ้านว่า “เปิดประตูด้วยครับคุณ”
มาริสาเปิดประตูรั้วให้หน้าซีดเผือด มือเท้าอ่อนคล้ายจะเป็นลมจนต้องจับรั้วบ้านเป็นที่พยุงตัว เธอสูดลมหายใจตั้งสติ
“ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ” เธอพร่ำบอกกับตัวเองอยู่อย่างนั้น
“เชิญครับคุณ” ตำรวจบอกแล้วก็เดินเข้าไปค้นหาของกลางภายในบ้าน
มาริสาตามไปยืนดูพร้อมกับถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐานเผื่อมีข้าวของเสียหาย
หลังจากตรวจค้นแล้วไม่เจอของกลางตำรวจก็พากันกลับไป ส่วนมาริสาก็รีบตามไปที่โรงพักทันที
“แองจี้” มาริสาเรียกลูกอย่างตกใจและเป็นห่วงเมื่อได้เห็นหน้าลูกรัก
เมษาพอเห็นแม่เข้ามาในห้องก็ถลาไปหาทันที “แม่ แองจี้ไม่ได้ทำนะคะแม่ๆ ต้องเชื่อแองจี้นะ แองจี้ไม่ได้เป็นขโมยนะคะ”
มาริสากอดลูกแน่น “แม่เชื่อจ้ะ หนูไม่ได้ทำ ตำรวจจับผิดคนแน่ๆ แม่จะประกันตัวหนูออกไป รอแม่ก่อนนะลูก”
“ค่ะแม่” เมษาพยักหน้า
มาริสารีบออกไปจัดการเรื่องประกันตัว ตำรวจปิดห้องล็อกกุญแจไว้ดังเดิม
แต่พอรู้จำนวนหลักทรัพย์ที่ต้องใช้มาริสาก็หน้าซีด เงินตั้ง 120,000 จะหาจากที่ไหน?
จะเอาโฉนดบ้านมาค้ำประกันก็ต้องรอเจ้าหน้าที่ประเมินราคาก่อน
เธอโทรหาเพื่อนร่วมงานเป็นระวิง หวังขอยืมเงินมาก่อน แต่ก็ไม่มีใครมีเงินให้ยืมมากถึงขนาดนี้เลยสักคน ถึงแม้จะลองยืมเท่าที่เพื่อนฝูงพอจะให้ยืมได้แต่จำนวนเงินก็ยังไม่พอทำเรื่องประกันตัวอยู่ดี
“จะทำยังไงดี?ๆ” เธอเดินวนไปวนมาอย่างกลัดกลุ้ม ญาติพี่น้องที่สนิทสนมก็ไม่มี มีแต่ญาติห่างๆ ข้างแม่ข้างพ่อแต่ก็ขาดการติดต่อไปตั้งแต่เธอยังเล็กๆ เรียกได้ว่าใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียวมาตั้งแต่หลังจากพ่อแม่และพี่ชายประสบอุบัติเหตุรถคว่ำตั้งแต่อายุ 22
ณ โรงแรม โอเวนเดินเข้าไปในห้องเจ้านาย
มาร์คัสหันไปมองแล้วก็เดินไปนั่งที่โซฟา “มีอะไร?”
“ถ้าจะประกันตัวต้องใช้เงินประมาณ 4,000 ดอลล่าร์” โอเวนบอก
มาร์คัสพยักหน้ารับรู้ “โอเค นายไปจัดการให้เรียบร้อย จำไว้ว่าอย่าให้เธอเป็นข่าวได้เด็ดขาด”
“จะพยายาม” โอเวนพยักหน้าแล้วก็เดินออกไป
ณ โรงพัก มาริสายืนกลุ้มอยู่หน้าประตูห้อง ตำรวจที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องได้แต่มอง แต่ไม่อาจจะช่วยอะไรได้
มือบางกดโทรศัพท์เท่าที่นึกออก แม้แต่โทรขอเบิกเงินเดือนล่วงหน้ากับผอ. เธอก็ทำ ซึ่งผอ.ก็ตอบว่า “ต้องให้คณะกรรมการบริหารเห็นชอบก่อนนะครับ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ผมจะนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับคณะกรรมการให้เอง คุณก็ใจเย็นๆ นะครับ แองจี้เป็นเด็กดีผมเชื่อว่าต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ ครับ ถ้ายังไงผมจะโทรให้เพื่อนที่เป็นทนายเข้าไปตรวจสอบให้ครับ”
“ขอบคุณค่ะผอ. ขอบคุณมากๆ ค่ะ”
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมโทรหาเพื่อนที่เป็นทนายให้เลยนะครับ” ผอ.บอก
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” มาริสารู้สึกดีขึ้นนิด อย่างน้อยทั้งเพื่อนร่วมงานและเจ้านายก็ไม่ทอดทิ้งในยามที่เธอต้องการความช่วยเหลือ
ผอ.ตัดสายไป
มาริสาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับตำรวจเฝ้าหน้าห้องเหลือบมองนาฬิกาข้อมือแล้วก็ตกใจ “เกือบจะสองทุ่มแล้วเหรอ”
เธอมองประตูห้องแล้วก็นึกถึงลูก “แองจี้ได้ทานข้าวรึยังนะ?”
“คุณคะ ลูกสาวฉันได้ทานข้าวรึยังคะ?” เธอถามตำรวจที่เฝ้าหน้าห้อง
“ยังครับ พอดีวันนี้มีคดีเยอะก็เลยยังไม่มีใครไปซื้อข้าวมาเลยครับ ถ้ายังไงผมว่าคุณไปซื้อข้าวมาให้ลูกคุณก่อนเถอะครับ” ตำรวจบอกอย่างหวังดี
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” มาริสารีบเดินออกไปซื้อข้าวกล่องทันที
พอกลับมาเธอก็ยื่นถุงอาหารให้ตำรวจหน้าห้อง “นี่ค่ะคุณตำรวจ ส่วนนี่ของคุณค่ะฉันซื้อมาฝากค่ะ”
“คุณเอาของถุงนี้ไปให้ร้อยเวรตรวจก่อนครับ แล้วเดี๋ยวร้อยเวรจะเอาเข้าไปให้ลูกคุณเองครับ” ตำรวจบอกพร้อมกับชี้มือไปที่ร้อยเวร
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” มาริสารีบเดินไปที่โต๊ะร้อยเวร “คุณคะฉันซื้อข้าวมาให้ลูกฉันที่อยู่ในห้องนั้นนะค่ะ”
“ครับ” ร้อยเวรพยักหน้าแล้วก็หยิบไปตรวจดู
จากนั้นร้อยเวรก็ถือถุงอาหารพร้อมกับกุญแจห้องไปเปิดประตูห้อง
“ขอฉันเข้าไปหาลูกได้ไหมคะ?” มาริสาถามร้อยเวร
“ไม่ได้ครับ หมดเวลาเยี่ยมผู้ต้องหาแล้วครับ มันเป็นระเบียบของทางเราครับ นี่ถ้าปกติลูกคุณต้องอยู่ในห้องขังนะครับ แต่เผอิญว่าวันนี้เราจับกลุ่มเด็กแว๊นซ์มาจนห้องขังเต็มแล้วลูกคุณถึงได้ถูกขังแยกนะครับ” ร้อยเวรบอกตามหน้าที่
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” มาริสาเดินตามร้อยเวรไป พอร้อยเวรเปิดประตูเธอก็ชะเง้อมองผ่านประตูเข้าไป “แองจี้ แม่ซื้อข้าวมาให้หนูทานซะนะลูก”
“แม่” เมษาเรียกอย่างดีใจ แต่พอจะเดินไปหาแม่ร้อยเวรก็บอกว่า “คุณออกไปไม่ได้นะครับ”
เมษาชะงัก ได้แต่ยืนมองแม่อยู่อย่างนั้น
ตำรวจหน้าห้องก็คอยกันแม่ผู้ต้องหาไม่ให้เข้าไปในห้อง
ร้อยเวรวางถุงอาหารไว้บนโต๊ะ “กินข้าวซะซิคุณ” แล้วก็เดินออกไป
พอประตูปิดลงเมษาก็นั่งลงมองกล่องข้าวอย่างกินอะไรไม่ลง
ส่วนมาริสาก็เดินไปนั่งตรงข้ามกับประตูห้อง
ตำรวจก็นั่งเฝ้าหน้าห้องตามเดิม
จนสามทุ่มกว่า จู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปหามาริสา “คุณมาริสาใช่ไหมครับ?”
มาริสาหันไปมองพยักหน้า “ค่ะ”
“ผมชื่อเกริกก้องครับ เป็นทนายความครับ” เกริกก้องแนะนำตัว
มาริสาลุกขึ้นยืน “ค่ะ ฉันรู้จักคุณค่ะ คุณออกข่าวบ่อยฉันจำได้ คุณเป็นเพื่อนกับผอ.ใช่ไหมคะ?”
เกริกก้องสงสัย “เอ่อ…ผอ.ไหนครับ? คือผมมีเพื่อนเยอะน่ะครับ”
“ผอ.โรงเรียน………….ไงคะ”
เกริกก้องส่ายหน้า “ไม่รู้จักเลยครับ”
“อ้าว” มาริสามองหน้าทนายชื่อดัง “ถ้างั้นคุณมีธุระอะไรกับฉันหรือคะ?”
“คือผมมาจัดการเรื่องประกันตัวคุณเมษา บุญรักษ์ลูกสาวคุณน่ะครับ”
มาริสางง “เอ่อ…คุณจะมาประกันตัวเมษาลูกสาวฉันหรือคะ?”
“ครับ” เกริกก้องบอก
“แต่ฉันรวบรวมเงินยังไม่พอจ่ายค่าประกันเลยนะคะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ ผมเตรียมมาเรียบร้อยแล้วครับ เอาเป็นว่าเรามาจัดการเรื่องประกันตัวให้เสร็จกันเถอะครับ ผมจะได้กลับไปนอนซะที” เกริกก้องบอก
“คุณเตรียมเงินค่าประกันตัวมาแล้วเหรอคะ?” มาริสาซักอย่างคาใจ
“ครับ ผมเตรียมมาเรียบร้อยแล้วครับ” เกริกก้องบอก
“เงินไม่ใช่น้อยๆ เลยนะคะ แล้วทำไมคุณถึงจะมาประกันตัวลูกสาวฉันล่ะค่ะ? คุณจำคนผิดรึเปล่าคะ? เราไม่รู้จักกันซักหน่อย”
“ลูกสาวคุณชื่อเมษา บุญรักษ์ใช่ไหมครับ?” เกริกก้องย้อนถาม
“ค่ะ” มาริสาพยักหน้ารับ
“ถ้างั้นก็ไม่ผิดตัวแน่ครับ เจ้านายของผมต้องการให้ผมมาประกันตัวคุณเมษา บุญรักษ์ครับ” เกริกก้องยืนยัน
“เจ้านายของคุณเหรอคะ?”
“ครับ” เกริกก้องพยักหน้า
“แล้วเจ้านายของคุณเป็นใครคะ?” มาริสาถามอย่างสงสัย
“เอาเป็นว่าเจ้านายของผมไม่ประสงค์ออกนาม คุณรู้แค่ว่าเขาต้องการให้ผมมาประกันตัวลูกสาวคุณก็พอครับ” เกริกก้องบอกแล้วก็ตัดบทว่า “จะไปประกันตัวได้รึยังครับ? ถ้ายัง…ผมจะได้กลับไปนอนครับ”
“เอ่อ…” มาริสาลังเล หันไปมองประตูห้องที่ลูกถูกขังอยู่อย่างตัดสินใจ แล้วก็พยักหน้า “ก็ได้ค่ะ”
ประกันตัวแองจี้ก่อน เรื่องอื่นค่อยคิดกันทีหลังเถอะ
“ครับ” เกริกก้องพยักหน้า แล้วก็หันไปถามตำรวจที่เฝ้าหน้าห้องว่า “ผมจะติดต่อเรื่องประกันตัวคุณเมษาได้กับใครครับ?”
“บอกร้อยเวรเลยครับ” ตำรวจบอกแล้วก็ชี้ไปที่โต๊ะร้อยเวร
“อ่อ ขอบคุณครับ” เกริกก้องบอกแล้วก็เดินไปที่โต๊ะร้อยเวร
มาริสาเดินตามไป
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสองคนก็จัดการเรื่องประกันตัวเรียบร้อย
ร้อยเวรเอากุญแจไปเปิดประตูห้อง “คุณครับ ญาติคุณทำเรื่องประกันตัวเรียบร้อยแล้ว คุณกลับบ้านได้แล้วครับ”
“หา?” เมษางง
ร้อยเวรเดินกลับไปที่โต๊ะ จัดการเรื่องประกันตัวของเด็กแว๊นซ์ต่อ
เมษาเดินออกไปนอกห้องก็เจอแม่อยู่หน้าประตู เธอโผเข้ากอดแม่ทันที “แม่ขา”
“ไม่เป็นไรนะๆ” มาริสาลูบหลังให้กำลังใจ
“อ่อ คุณมาริสาครับ นี่นามบัตรของผมครับ มีอะไรก็ติดต่อผมได้เลย ส่วนเรื่องคดีของคุณเมษาผมบอกคุณตำรวจเจ้าของคดีไว้แล้วว่าให้ติดต่อผ่านผมได้เลย” เกริกก้องยื่นนามบัตรให้
มาริสาดันลูกออกแล้วก็หันไปรับนามบัตร “ขอบคุณค่ะ”
“อ่อ ผมขอเบอร์โทรศัพท์ของคุณกับคุณเมษาด้วยครับ มีอะไรจะได้ติดต่อกันได้สะดวกครับ” เกริกก้องหยิบโทรศัพท์มาเตรียมเมมเบอร์
“อ่อ ค่ะ เบอร์ของฉันนะคะ ศูนย์……….”
เกริกก้องจัดการพิมพ์เบอร์ “ศูนย์……….” เขาทวนเบอร์ให้ฟัง
มาริสาพยักหน้า เกริกก้องก็เมมเบอร์ทันที “เอาล่ะ ทีนี้ก็เบอร์ของคุณเมษาครับ”
“ศูนย์……….” มาริสาบอกเบอร์ลูกสาว
หลังจากเมมเบอร์เรียบร้อยแล้วเกริกก้องก็บอกว่า “เอาล่ะ เรียบร้อยทุกอย่างแล้วนะครับ ถ้างั้นผมขอตัวล่ะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” มาริสายกมือไหว้
เกริกก้องรีบรับไหว้แล้วก็เดินจากไป
เมษามองตามแล้วก็หันไปถามแม่ว่า “แม่รู้จักเขาด้วยเหรอคะ? เขาเป็นทนายดังมากเลยนะคะ นามสกุลเดียวกับไอ้ฟ้าด้วยไม่รู้เป็นญาติกับไอ้ฟ้ารึเปล่า? เมื่อกี้ก็ลืมถามเลย”
“จ้ะ” มาริสาพยักหน้า ยังไม่อยากจะอธิบายอะไรตอนนี้ พอโล่งใจแล้วร่างกายก็เหมือนจะอ่อนแรงขึ้นมาทันที “แม่เหนื่อยแล้ว กลับบ้านกันเถอะลูก”
“คุณครับ ของๆ คุณครับ ร้อยเวรให้เอามาให้ครับ” ตำรวจถือกระเป๋ามายื่นส่งให้
เมษารับกระเป๋ามา
“ตรวจดูด้วยนะครับว่าของครบไหม” ตำรวจบอก
เมษาเปิดกระเป๋าตรวจดูสิ่งของ “ครบค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ตำรวจพยักหน้าแล้วก็เดินไป
จากนั้นสองแม่ลูกก็พากันกลับบ้าน
ด้านเกริกก้องพอนั่งในรถแล้วก็โทรรายงานความคืบหน้าให้เจ้านายทราบ “ฮัลโหล มิสเตอร์คล๊อบ ผมจัดการเรื่องประกันตัวเรียบร้อยแล้วครับ”
โอเวนพยักหน้า “ดีมาก ขอบคุณมาก กู้ดไนท์”
แล้วเขาก็ตัดสาย
มาร์คัสวางแก้วแชมเปญลง “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
โอเวนพยักหน้า “เรียบร้อย”
“ดี ขอบใจนายมากนะ” มาร์คัสพยักหน้าแล้วก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอนไป
โอเวนเก็บแก้วแชมเปญไปไว้ในห้องครัว รอให้เฮ้าส์คีปปิ้งมาทำความสะอาดห้องในตอนเช้า แล้วเขาก็เดินกลับห้องพักของตัวเอง
วันรุ่งขึ้นโอเวนก็ไปที่บริษัททองกิมเฮง ขอเข้าพบเจ้าของบริษัทแต่เช้า
กรกนกก็รีบแจ้งเจ้านายทันที “บอสคะ มิสเตอร์คล๊อบมาขอพบค่ะ”
“ใครหรา? อานก ชื่อไม่คุ้นเลย” วัชระมองหน้าเลขาสาว
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่เขาบอกว่าเขานำเช็คเงินสดมาให้บอสค่ะ” กรกนกบอก
พอได้ยินเรื่องเงิน วัชระก็ตื่นตัวทันที “เอาๆๆ ให้เข้ามาได้”
“ค่ะบอส” กรกนกรีบเดินไปบอกแขกรูปหล่อ “เชิญค่ะมิสเตอร์คล๊อบ”
“ขอบคุณครับ” โอเวนยิ้มให้เลขาสาวแล้วก็เดินผ่านเธอเข้าห้องไป
“สวัสดีครับ” เขาทักทายตามมารยาท “ผมโอเวน คร๊อบ จากแจ็คสันคอเปอร์เรชั่น”
“สวัสดีครับ” วัชระทักทายตามมารยาท แล้วก็รีบพูดกับเลขาว่า “อานก ลื้อแปลซิ”
กรกนกพยักหน้า “ค่ะบอส เขาบอกว่าเขาชื่อโอเวน คร๊อบค่ะ มาจากแจ็คสันคอเปอร์เรชั่นค่ะ”
“แล้วอีมาทำไมเหรออานก?” วัชระถามเลขา
กรกนกหันไปถามแขก
โอเวนตอบ แล้วกรกนกก็แปลให้ฟังว่า “เขาบอกว่าเจ้านายของเขาต้องการให้บอสถอนแจ้งความน้องเมในข้อหาขโมยของๆ บริษัทน่ะค่ะ แลกกับเช็คเงินสดสามแสนห้าหมื่นดอลล่าร์ค่ะ”
“อ่อๆ งั้นนั่งก่อนๆ” วัชระผายมือเชิญ
“เชิญนั่งก่อนค่ะ” กรกนกแปลให้ฟังพร้อมกับผายมือไปที่เก้าอี้
โอเวนนั่งลงหยิบเช็คเงินสดออกมาวางบนโต๊ะตรงหน้าวัชระ
Chapter 4 ไล่ออก…ลาออก
วัชระมองแขกตัวสูงอย่างพิจารณา
“ทำไมบอสของลื้อต้องจ่ายเงินให้อั๊วถอนฟ้องด้วยล่ะ?” เขาถามอย่างสงสัย
กรกนกก็รีบแปล
โอเวนฟังแล้วก็พูดหน้าตาเฉยชา “คือ……..”
กรกนกก็รีบแปลให้เจ้านายฟัง “บอสจะไม่ถอนฟ้องก็ได้ แต่บอสจะไม่ได้อะไรเลย เพราะทางเขามีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดในหมู่บ้านที่น้องเมอยู่เป็นหลักฐานยืนยันว่าคืนเกิดเหตุน้องเมอยู่ในบ้านตลอดทั้งคืนไม่ได้ออกไปไหนเลยทั้งสองคนแม่ลูก”
โอเวนจ้องตาคู่สนทนาด้วยดวงตาสงบ แล้วก็พูดว่า “ถ้า……….”
กรกนกรีบแปล “ถ้าจะฟ้องร้องกันจริงๆ ยังไงๆ น้องเมก็ชนะคดีแน่ เขาบอกแบบนี้น่ะค่ะบอส”
แล้วโอเวนก็เอื้อมมือไปจะหยิบเช็คกลับ
วัชระรีบคว้าเช็คเอาไว้ “อั๊วถอนฟ้องก็ได้ แต่อั๊วอยากรู้จริงๆ ว่าพวกลื้อได้ประโยชน์อะไรจากการทำแบบนี้ล่ะ?”
กรกนกรีบแปลให้แขกฟัง
โอเวนยิ้มเย็น “ถ้า……….”
กรกนกรีบแปล “อ่อ เขาบอกว่า อีกเงื่อนไขหนึ่งที่บอสของเขาต้องการคือ ให้บอสไล่น้องเมออกจากงานตั้งแต่วันนี้เลย ซึ่งเงินค่าชดเชยล่วงหน้าสามเดือนรวมอยู่ในเช็คนี้แล้ว ถ้าบอสไม่ตกลงรับเงื่อนไขเขาก็ขอเช็คคืนค่ะ”
โอเวนแบมือรอรับเช็คคืน
วัชระมองเช็คในมือแล้วก็ตัดสินใจ “ก็ได้ อั๊วตกลงรับข้อเสนอของลื้อ”
เขาจ้องหน้าแขกตัวสูง “บอสลื้อเป็นแฟนอาเมเหรอ?”
กรกนกแปล
โอเวนยิ้มไม่ตอบคำถาม ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ผม……….”
กรกนกแปลให้เจ้านายฟัง “เขาว่าเขาเสร็จธุระแล้ว เขาขอลากลับแล้วค่ะ เขาบอกว่าขอบคุณบอสที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”
วัชระลุกขึ้นยืนส่งแขก “เดินทางปลอดภัยนะครับ”
กรกนกแปล
โอเวนค้อมหัวนิดหนึ่งแล้วก็เดินออกไป
วัชระมองหน้าเลขาสาว “นี่อานก อาเมมันมีแฟนรวยขนาดนี้เลยทำไมมันต้องขโมยทองด้วยล่ะ? หรือว่าอั๊วเข้าใจอีผิดไปเองงั้นเหรอ?”
“แฟน?” กรกนกงง “เจ้านายของคนเมื่อกี้แฟนน้องเมเหรอคะบอส?”
“มั้ง” วัชระพยักหน้า”
“ต๊าย ไม่ยักรู้ว่าน้องเมมีแฟนรวยขนาดนี้เลย แหมปิดข่าวเงียบจริงๆ ทำไมพระเจ้าลำเอียงไม่เตะโด่งมาให้นังนกซักคนมั้งน้า…” กรกนกรำพึงรำพัน
“อยากได้แฟนรวยๆ ลื้อไปดึงหน้าก่อนดีไหมอานก” วัชระแซว
“ต๊ายบอส นั่นปากเหรอคะ” กรกนกค้อนขวับๆ แล้วก็งอนออกไป
“เดี๋ยวซิอานก ลื้อจะไปไหน? ลื้อเอาเช็คนี่ไปเข้าบัญชีให้อั๊วก่อน แล้วก็โทรตามผู้กองให้อั๊วด้วย” วัชระสั่งงานแล้วก็ขีดคล่อมหลังเช็คเงินสดใบนั้น
กรกนกเดินกลับไปอย่างงอนๆ “เท่านี้ใช่ไหมคะบอส?”
“แค่นี้แหละ ลื้อไปได้แล้ว” วัชระยื่นเช็คให้
กรกนกรับมามองตัวเลขบนเช็คแล้วก็เฉย จากนั้นเธอก็เดินออกไป
สองชั่วโมงต่อมา ตำรวจเจ้าของคดีก็มาที่บริษัท “สวัสดีครับ โทรตามผมมามีอะไรเหรอครับ?”
“นั่งก่อนๆ ผู้กอง” วัชระบอก พอแขกนั่งลงแล้วเขาก็เข้าเรื่อง “คือเรื่องอาเมน่ะ”
ผู้กองงง “อาเมไหนครับ?”
“คืออาเมษา บุญรักษ์ไง”
“อ่อ มีอะไรเหรอครับ?”
“คืออั๊วอยากจะถอนแจ้งความเมื่อวานนี้น่ะ อั๊วว่าต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ อั๊วว่าอาเมไม่ใช่ขโมยหรอก เลยอยากให้ผู้กองช่วยสืบเรื่องนี้ใหม่น่ะ”
“ถ้าคุณต้องการอย่างนั้นก็ได้ครับ อีกอย่างทางเราก็ยังไม่มีหลักฐานหนาแน่นพอ ถ้าทนายฝ่ายจำเลยแย้งมาคาดว่าทางบริษัทก็คงแพ้คดีแน่ครับ เพราะหลักฐานมีเพียงแค่คีย์การ์ดที่ใช้เปิดประตูเท่านั้น ส่วนลายนิ้วมือในที่เกิดเหตุก็ยังไม่แน่ชัดเพราะเธอเป็นพนักงานของบริษัทของคุณ ซึ่งคุณก็บอกเองว่าวันก่อนคืนเกิดเหตุเธอต้องเข้าไปในห้องนั้นเพราะคุณสั่ง แล้วภาพจากกล้องวงจรปิดที่เราดูกัน ผมว่ารูปร่างคนร้ายที่เห็นในภาพไม่น่าจะใช่คุณเมษาเลย แม้ว่าส่วนสูงจะดูใกล้เคียงแต่ตอนที่ผมเห็นมือคนร้าย ผมแน่ใจว่าไม่ใช่คุณเมษาแน่ๆ ครับเพราะมือเธอเล็กนิดเดียว แต่มือคนร้ายในภาพใหญ่กว่า”
“ใช่ๆๆ ถ้างั้นผู้กองก็จัดการเรื่องถอนแจ้งความเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะรีบเซ็นมอบอำนาจให้อาวุธไปเดินเรื่องให้เลย แล้วก็จะให้อาวุธอีซื้อของกินไปให้อาเมด้วย อยู่ในกรงขังคงได้กินแค่ข้าวกล่องแหงๆ”
“เอ่อ…เรื่องถอนแจ้งความรีบจัดการเลยก็ดีครับ แต่เรื่องของกินผมว่าไม่ต้องหรอกครับเพราะเมื่อวานนี้ญาติผู้ต้องหามาประกันตัวออกไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ”
“อ้าว ประกันตัวออกไปแล้วเหรอ?”
ผู้กองพยักหน้า “ครับ ทนายเกริกก้องมาทำเรื่องประกันตัวออกไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ”
“ห๊า! เกริกก้องนี่ใช่อาเกริกก้อง สุริยะรึเปล่า?”
“ครับ คนนั้นแหละครับ”
“นี่อาเกริกก้องเป็นอะไรกะอาเมเหรอ? อีถึงมาประกันตัวให้น่ะ?”
ผู้กองส่ายหน้า “เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้ครับ รู้แต่ว่าทนายเกริกก้องมาทำหน้าที่เป็นทนายให้ผู้ต้องหาครับ ส่วนเรื่องอื่นผมไม่รู้หรอกครับ”
วัชระพยักหน้ารับรู้แล้วก็พึมพำเบาๆ ว่า “อืม อาเมอีไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงขนาดมีทนายระดับอาเกริกได้ ขนาดอั๊วเคยเชิญอีมาเป็นที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายอียังไม่สนเลย”
“คุณวัชระครับ มีเรื่องอะไรอีกไหมครับ? ถ้าไม่มีผมก็ขอตัวกลับก่อนนะครับพอดีมีประชุมต่อน่ะครับ” ผู้กองบอก
“อ่อๆ ไม่มีแล้วครับ เชิญครับ ขอบคุณที่มานะครับ” วัชระบอก
ผู้กองลุกขึ้นแล้วก็เดินออกไป
วัชระลุกขึ้นเดินไปส่งแขกแล้วก็กลับไปนั่งครุ่นคิด “แฟนอาเมก็ให้ลูกน้องเอาเช็คมาให้แต่เช้า เมื่อคืนนี้อาเกริกก็ไปทำเรื่องประกันตัวให้อีอีก อาเมไม่ธรรมดาจริงๆ ฝีมือการทำงานก็ดี แต่ยังไงๆ อั๊วก็ต้องให้อีออกอยู่ดี ก็รับเงินเขามาแล้วนี่น่า แฟนอีคงอยากให้อีไปทำงานด้วยแหงๆ”
แล้วเขาก็เรียกเลขาเข้ามา “อานก ลื้อเข้ามานี่หน่อย”
“ค้าบอส” กรกนกตอบแล้วก็เคาะประตูห้องเดินเข้าไป
“ลื้อบอกอาซินให้มาหาอั๊วหน่อย แล้วก็เรียกอาวุธมาด้วย”
“ได้ค่ะบอส” กรกนกรับคำสั่งแล้วก็เดินออกไป
สักพักซินดี้ก็มา “บอสเรียกซินมีอะไรเหรอคะ?”
“ลื้อจัดการเอาเช็คนี่ไปให้อาเมที บอกอีว่าไม่ต้องมาทำงานที่นี่แล้ว” วัชระส่งเช็คให้
“หา! นี่บอสไล่น้องเมออกเลยเหรอคะ?” ซินดี้ตกใจ
“อั๊วไม่ได้ไล่อีออก อั๊วให้อีลาออก เดี๋ยวลื้อไปฝ่ายบุคคลให้เขาออกใบรับรองงานกับพิมพ์ใบลาออกเอาไปให้อาเมเซ็นที แล้วก็เอาเช็คนั่นให้อาเมไป”
“มันก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะบอส” ซินดี้แย้ง
“ต่างซิ ถ้าอั๊วไล่อีออกอั๊วจะออกใบรับรองงานให้อีทำไม นี่อีลาออกเองลื้อเข้าใจไหมอาซิน?”
“ค่ะ ต่างก็ต่าง” ซินดี้พยักหน้ารับอย่างงงๆ
วัชระโบกมือไล่
วราวุธเดินเข้ามาพอดี “เฮียเรียกอั๊วมามีไรเหรอ?”
“ลื้อไปจัดการเรื่องถอนแจ้งความอาเมที เมื่อเช้าแฟนอาเมให้ลูกน้องเอาเช็คมาให้อั๊วสามแสนห้าหมื่นดอลล์ อั๊วว่าถ้าอีมีแฟนรวยขนาดนี้อีคงไม่ใช่ขโมยหรอกอาวุธ” วัชระบอก
ซินดี้ตกใจ ได้แต่อุทานในใจ สามแสนห้าหมื่นดอลล์ โอ้มายก็อต!
ด้วยความอยากรู้จึงยืนฟังอยู่เงียบๆ อย่างเนียนๆ
“แต่มีเงื่อนไขคือต้องให้อีออก อั๊วว่าแฟนอีคงอยากให้อีไปทำงานด้วยแหงๆ แต่ลื้อก็รู้นี่ว่าอาเมคงไม่ยอมลาออกง่ายๆ แน่ แฟนอีได้โอกาสก็เลยใช้วิธีนี้ซะเลย” วัชระบอก
“อั๊วว่าเขาคงไม่อยากให้อีไปทำงานหรอก คงอยากให้ไปเป็นคุณนายชี้นิ้วสั่งมากกว่ามั้งเฮีย สวยๆ อย่างอาเม ใครๆ ก็อยากได้ ถึงแม้อีจะไม่ชอบแต่งหน้าทำผมชอบปล่อยตัวให้ดูโลคลาสแบบนั้นก็ตาม แต่อีนิสัยก็ดี มารยาทก็ดี ทำงานก็เก่ง เมื่อวานนี้อั๊วก็บอกลื้อแล้วให้ใจเย็นๆก่อน ลื้อก็เอาแต่โมโหจะจับอาเมท่าเดียว แล้วอย่างนี้จะมองหน้ากันติดไหมล่ะ? เลยต้องเสียลูกน้องเก่งๆ ไปจนได้” วราวุธบ่น “ลูกค้ารายใหญ่ๆ ของเราส่วนใหญ่ก็ชอบดีไซน์ของอีทั้งนั้น แล้วทีนี้ใครจะมาดีไซน์ให้ถูกใจคุณหญิงคุณนายพวกนั้นล่ะ มีหวังหลังจากนี้ยอดซื้อบริษัทเราได้ตกแน่”
“เอาน่าๆ ลื้อจะให้อั๊วทำไงล่ะ ไหนๆ อีก็ต้องออกลื้อก็รับคนใหม่ๆ เข้ามาซิ” วัชระบอก
วราวุธเห็นท่าทางพี่ชายไม่อยากคุยด้วยก็ตัดบทว่า “งั้นอั๊วไปล่ะ”
“อืม” วัชระพยักหน้าโบกมือไล่
วราวุธหันไปมองซินดี้ “ไหนๆ ลื้อก็ต้องไปหาอาเมอยู่แล้ว งั้นลื้อก็ไปกับอั๊วซะเลยซิอาซิน”
“ค่ะบอส” ซินดี้พยักหน้ารับอย่างเกรงๆ
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกไป
ณ บ้านมาริสา
เมษานั่งเหม่อดูทีวีอย่างเซ็งๆ กำลังรู้สึกสับสนในชีวิตอย่างมาก
ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับฉันด้วย? เธอถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เสียงกดกริ่งดังขึ้นเรียกให้สติกลับคืนมา “ใครมานะ? เซลขายของอีกแหงๆ”
เธอชะเง้อดูแล้วก็เห็นบอสเล็กกับหัวหน้าแผนกยืนอยู่หน้าบ้าน “อุ้ยพี่ซินกะบอสนี่ มาทำไมกันนะ?”
ชั่วแว๊บหนึ่งเธอคิดว่า ต้องมาจับตัวเธออีกแน่
จะทำไงดีๆๆๆ
ความรู้สึกตอนไร้อิสรภาพยังฝังแน่นอยู่ในหัวจนกลัวไปหมด เธอรีบคว้าโทรศัพท์โทรหาแม่ทันที
มาริสากำลังนั่งเตรียมการสอนสำหรับคาบบ่าย เห็นลูกสาวโทรมาก็รีบรับโทรศัพท์ “หวัดดีจ้าลูก”
“แม่ แองจี้กลัว แองจี้จะทำไงดีคะ? บอสกับพี่ซินมาที่บ้านอีกแล้วค่ะแม่”
“อะไนนะแองจี้?” มาริสาตกใจ
“บอสกับพี่ซินมาที่บ้านอีกแล้ว พวกเขาต้องพาตำรวจมาจับแองจี้อีกแน่ๆ เลยแม่ จะทำไงดีคะแม่?” เมษารีบบอกเสียงสั่นเครือ
“ใจเย็นๆ ก่อนลูก เราประกันตัวแล้ว เขาไม่มีสิทธิ์มาจับหนูแล้วลูก หนูรอแม่ก่อนนะ เดี๋ยวแม่รีบกลับไปเลย” มาริสาบอกแล้วก็รีบคว้ากระเป๋าเดินออกไป โชคดีที่ตอนนี้เธอไม่ได้ติดสอน
“แม่รีบมานะคะ” เมษาบอกแล้วก็ได้ยินเสียงตัดสายไป
มาริสารีบวิ่งไปที่รถมอเตอร์ไซด์ของตัวเองแล้วก็รีบขี่กลับบ้าน
ด้านหน้าบ้าน ซินดี้กดกริ่งอีกครั้งพร้อมกับตะโกนเรียก “เม บอสมีเรื่องจะคุยด้วย อยู่รึเปล่า?”
เมษากำโทรศัพท์แน่น สูดลมหายใจตั้งสติ “แม่กำลังมาแล้ว เดี๋ยวแม่ก็มา”
เธอค่อยๆ เดินไปเปิดประตูบ้านแล้วก็เดินออกไปพบทั้งสองคน ยกมือไหว้บอสตามมารยาท “สวัสดีค่ะบอส สวัสดีค่ะพี่ซิน”
วราวุธมองด้วยสายตาเรียบเฉย ยกมือรับไหว้
“เม คือว่าบอสใหญ่อยากให้เมเซ็นใบลาออกน่ะ นี่พี่เอามาแล้วเดี๋ยวเมเซ็นเลยนะ” ซินดี้บอกพร้อมกับยื่นแฟ้มให้
เมษาตกใจ “อะไรนะพี่ซิน?”
ซินดี้บอกอย่างลำบากใจ “คือบอสใหญ่อยากให้เมลาออกน่ะ”
“ลาออก!” เมษาหน้าซีดเธอหันไปมองหน้าบอสเล็ก
วราวุธพยักหน้า
“เมเซ็นใบลาออกกับใบรับเช็คค่าชดเชยนะ เซ็นเสร็จแล้วเดี๋ยวพี่เอาใบรับรองงานกับเช็คค่าชดเชยล่วงหน้าสามเดือนให้จ้ะ” ซินดี้บอกอย่างลำบากใจ
“หนูไม่ได้เป็นขโมย หนูไม่ได้เป็นคนทำจริงๆ นะพี่ซิน ทำไมต้องให้หนูลาออกด้วยล่ะ?” ประโยคหลังเธอหันไปจ้องหน้าบอสเล็ก
“เอาไว้ให้ตำรวจสอบสวนเสร็จแล้วว่าลื้อไม่ใช่คนทำจริงๆ ถึงตอนนั้นลื้อค่อยกลับมาทำงานใหม่ก็ได้อาเม” วราวุธบอก
มาริสาขี่มอเตอร์ไซด์มาจอดหน้าบ้าน ทุกคนหันไปมอง
เมษารีบเปิดประตูรั้วเดินไปหาแม่ “แม่ เขาเอาใบลาออกมาให้แองจี้เซ็น แองจี้จะทำไงดีคะแม่?”
มาริสาถอดหมวกกันน็อคออกแล้วก็จับมือลูกบีบให้กำลังใจ เธอมองไปทางแขกทั้งสองคน “เชิญข้างในบ้านก่อนดีกว่าค่ะ”
เธอจูงมือลูกพาเดินเข้าบ้าน แขกทั้งสองเดินตามไป
“แองจี้หนูไปรินน้ำมานะ” มาริสาบอกแล้วก็หันไปบอกแขกทั้งสองคนว่า “เชิญนั่งก่อนค่ะ”
เธอนั่งลงอย่างใจเย็น
แขกทั้งสองนั่งตรงข้าม
เมษาเดินไปเปิดตู้รินน้ำไปเสิร์ฟแขก
บรรยากาศน่าอึดอัดจนซินดี้ต้องรีบพูด “หวัดดีค่ะคุณแม่น้องเม คือวันนี้ซินเอาใบลาออกมาให้น้องเมเซ็นน่ะค่ะ”
มาริสาพยักหน้ารับรู้ แล้วก็หันไปบอกลูกสาวว่า “แองจี้หนูก็เซ็นซะซิลูก เขาอุตส่าห์เอามาให้เซ็นถึงบ้านขนาดนี้แล้ว”
เมษานั่งลงข้างแม่ พอแม่พยักหน้าอีกครั้งเธอก็หันไปมองซินดี้กับวราวุธ แล้วก็มองแฟ้มที่ซินดี้ถืออยู่
“เอามาค่ะพี่ซิน จะให้เซ็นตรงไหนคะ?” เธอถามทั้งๆ ที่ใจหดหู่มือเย็นเฉียบ
ซินดี้ยื่นแฟ้มให้
“เซ็นตรงนี้จ้ะ แล้วก็ตรงนี้กับตรงนี้” เธอบอกพร้อมกับยื่นปากกาให้
เมษารับปากกามาแล้วก็พยายามตั้งสติไม่ให้มือสั่น ค่อยๆ จรดปลายปากกาเซ็นลงบนใบลาออก เธอเซ็นจนครบทุกจุดตามที่หัวหน้าชี้ให้เซ็น พอเซ็นเสร็จก็เงยหน้ามองหัวหน้ากับบอสเล็ก
ซินดี้ดึงแฟ้มไปแล้วก็ดึงเช็คกับใบผ่านงานออกมาจากแฟ้มยื่นให้ “เช็คกับใบรับรองการทำงานจ้ะน้องเม”
“ขอบคุณค่ะพี่ซิน ขอบคุณค่ะบอส” เมษารับมาวางไว้แล้วก็ยกมือไหว้ทั้งสอง
วราวุธรับไหว้แล้วก็พูดว่า “เสร็จธุระแล้วถ้างั้นเราก็ไปกันเถอะอาซิน ขอตัวนะครับ”
เขาค้อมหัวให้เจ้าของบ้านแล้วก็ลุกขึ้นยืน
ซินดี้รีบลุกตาม “ขอตัวนะคะคุณแม่ ว่างๆ ก็แวะไปที่ออฟฟิตบ้างนะเม”
มาริสาลุกขึ้นเดินไปส่งแขกหน้าบ้านแล้วก็กลับเข้าไปในบ้าน เดินเข้าไปนั่งข้างๆ ลูกสาว
เมษาเริ่มร้องไห้ “แม่แองจี้ตกงานแล้ว แองจี้โดนไล่ออกแล้วแม่ ฮือๆๆๆๆ”
Chapter 5 ผมชื่อมาร์ค
มาริสากอดลูกไว้ “ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวก็หางานใหม่ได้ลูก”
เมษาซบบ่าแม่ร้องไห้ จนเวลาผ่านไปสิบนาทีน้ำตาก็ค่อยๆ หยุดไหล เธอดันตัวออก
มาริสาลูบหัวลูกยิ้มปลอบใจ “ไม่เป็นไรนะลูก”
เธอมองนาฬิกา “จะเที่ยงแล้วกินอะไรรึยังลูก?”
เมษาส่ายหน้า
“งั้นสั่งพิซซ่ามากินไหมลูก?”
เมษาพยักหน้า
มาริสายิ้มแล้วก็หยิบโทรศัพท์มาโทรสั่งพิซซ่า
เมษาลุกไปล้างหน้า พยายามทำใจให้เข้มแข็ง ไม่อยากให้แม่เป็นห่วงมาก
พอพิซซ่าจากร้านหน้าปากซอยมาส่งสองแม่ลูกก็นั่งกินพิซซ่าด้วยกัน จากนั้นมาริสาก็ขี่มอเตอร์ไซด์กลับไปทำงาน ส่วนเมษาก็อยู่บ้านหยิบหนังสือมาอ่านให้สมองไม่ต้องว่างคิดเรื่องราวแย่ๆ ให้จิตหดหู่
ณ ร้านอาหารหรู ภายในโรงแรม มาร์คัสนั่งทานอาหารกลางวันกับลูกน้อง
“โอเวน จัดการซื้อคอนโดให้ฉันด้วย ฉันคงจะอยู่ที่นี่อีกนาน” เขาสั่งลูกน้อง
“ได้” โอเวนรับคำสั่ง
“ทำไมบอสต้องอยู่ที่นี่อีกนานคะ? งานที่นู้นก็มีตั้งเยอะแยะ” แอนนาถามอย่างสงสัย
มาร์คัสหันไปมองลูกน้อง “ทำตามที่ผมสั่งก็พอ ไม่ต้องพูดมากถามมากถ้ายังอยากจะทำงานด้วยกัน”
“ค่ะบอส” แอนนารีบพยักหน้า แล้วก็ก้มหน้าทานอาหารไปอย่างเงียบๆ
“โอเวน นายจะทำยังไงก็ได้ฉันต้องการให้เธอมาเป็นเลขาของฉัน” มาร์คัสสั่งเสียงเรียบ
โอเวนงง “เธอ?…”
เขายังถามไม่ทันจบมาร์คัสก็บอกว่า “มิสบุญรักษ์”
“อ่อ” โอเวนรีบพยักหน้าเข้าใจ ในใจก็คิดว่า นายคิดจะทำอะไร?
พอทานอาหารเสร็จแล้วมาร์คัสก็ลุกไป
“บอสคะ ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมบอสต้องให้เธอมาเป็นเลขาด้วย หรือว่าเราสองคนทำงานห่วยขนาดบอสต้องหาเลขาใหม่เลยเหรอคะ?”
“เรื่องของเจ้านาย คุณทำตามคำสั่งก็พอ อย่ามีคำถาม อย่าพูดมากถ้าคิดจะทำงานร่วมกับมาร์คัส แจ็คสัน” โอเวนเตือน
“ค่ะบอส” แอนนาพยักหน้ารับรู้
“ส่วนเรื่องเลขา คุณโพสประกาศรับสมัครงานลงเว็บหางานได้เลย เธอตกงาน เธอต้องหางานใหม่แน่ แล้วเมื่อเธอติดต่อมาคุณก็จัดการนัดเธอมาสัมภาษณ์งานได้เลย คุณรู้อยู่แล้วว่าต้องทำยังไง อย่าให้พลาดเด็ดขาด” โอเวนสั่งลูกน้อง
“ค่ะบอส” แอนนาพยักหน้า
พอทานอาหารเสร็จทั้งสองก็รีบไปจัดการงานตามคำสั่งเจ้านาย
เมษานั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีสมาธิจะอ่านเพราะใจคิดวนเวียนแต่เรื่องที่เกิดขึ้น อยากรู้นักว่าใครกันที่เป็นขโมย เธอจึงหยิบโทรศัพท์มาโทรหาเพื่อนร่วมงาน
“ว่าไงเม” อิงฟ้ารีบรับสายทันทีที่เห็นเบอร์เพื่อน
“ฟ้า ฉันโดนไล่ออกแล้วล่ะ” เมษาบอก
“ห๊า” อิงฟ้าตกใจเสียงดังจนเพื่อนร่วมงานหันมามองเป็นตาเดียว “เอ่อ ขอโทษๆ”
เธอรีบลุกออกไปคุยโทรศัพท์ที่ระเบียงทันที “แกเล่ามาเลยนะเม มันเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่เชื่อเด็ดขาดว่าแกจะเป็นขโมยอย่างที่เขาพูดกัน นี่ฉันก็โดนตำรวจสอบยิบเชียว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าบ้านฉันรวย อีตาผู้กองงี่เง่านั่นคงเหมารวมว่าฉันร่วมมือกะแกขโมยของไปแน่ๆ ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโหอีตาตำรวจงี่เง่านั้นชะมัด หนอย…มาดูถูกฉันว่าทำงานได้เงินเดือนแค่นี้แต่มีปัญญาซื้อนาฬิกาแพงๆ เสื้อผ้าหรูๆ ใส่ด้วยเหรอ น่าตบชะมัดเลยอ่ะ นี่ฉันกะว่าเดี๋ยวเย็นนี้เลิกงานแล้วจะไปหาแกที่บ้านอยู่เชียว ขอโทษนะที่เมื่อวานไม่รู้เลยว่าแกโดนจับ ถ้ารู้ฉันคงรีบไปหาแกตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกฟ้า ขอบใจนะ” เมษาซึ้งน้ำใจเพื่อน “คือฉันอยากให้แกช่วยก็อปคลิปกล้องวงจรปิดในออฟฟิตมาให้หน่อยนะ ฉันว่าต้องเป็นคนในออฟฟิตนั่นแหละ”
“ฉันก็คิดเหมือนแก เท่าที่ฟังจากตำรวจว่านะ ไม่มีร่องรอยงัดแงะ ใช้คีย์การ์ดของแกเปิดประตูเข้าไปขโมยอย่างเนียนๆ เลย แถมยังมีคีย์การ์ดเข้าฝ่ายผลิตอีก ต้องคนในชัวร์ๆ นี่ฉันก็พยายามจับตาดูคนในออฟฟิตอยู่ แต่ก็ไม่เห็นใครจะมีพิรุธเลย ส่วนเรื่องนั้นเดี๋ยวฉันหาทางก๊อปให้แล้วเอาไปให้แกเย็นนี้นะ เออนี่ แค่นี้ก่อนนะโดนเรียกแล้วล่ะ”
“ขอบใจนะ” เมษาบอกแล้วก็ตัดสายไป
อิงฟ้ารีบเดินเข้าไปข้างในเพราะถูกเพื่อนร่วมงานเดินมากวักมือเรียก
หลังจากคุยกับเพื่อนแล้วเมษาก็เปิดโน๊ตบุ๊คเปิดเว็บรับสมัครงานมองหางานใหม่ เธอจดงานที่น่าสนใจเอาไว้แล้วก็ส่งเรซูเม่ไปตามอีเมลที่แจ้งไว้แต่ละงาน เธอนั่งดูเว็บหางานไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหกโมงกว่า เสียงมอเตอร์ไซด์ที่คุ้นเคยก็มาจอดหน้าบ้าน เธอหันไปมองหน้าต่าง “แม่กลับมาแล้ว”
เธอลุกไปเปิดประตูให้ “เย็นนี้แม่อยากกินอะไรคะ?”
“แค่ข้าวกับต้มจืดก็พอลูก แล้วแองจี้ล่ะอยากกินอะไรลูก?” มาริสาขี่รถเข้าไปจอดในบ้านแล้วก็เดินเข้าบ้านไป
เมษาปิดประตูแล้วก็เดินตามไป “เดี๋ยวตอนเย็นฟ้าจะมาหาค่ะแม่ แองจี้กะว่าจะทำยำส้มโอค่ะ” เธอบอกแล้วก็เดินเข้าครัวไป
มาริสามองลูกสาวแล้วก็เดินขึ้นข้างบนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ลงไปข้างล่างหยิบโทรศัพท์มานั่งอ่านข่าว
เมษาทำกับข้าวเสร็จแล้วก็เรียกแม่ “แม่ขา กับข้าวเสร็จแล้วค่ะ แม่ทานก่อนเลยนะคะ เดี๋ยวแองจี้รอฟ้าก่อน”
“ขอบใจจ้ะลูก” มาริสาลุกไปทานข้าว ส่วนเมษาก็เดินไปนั่งที่โซฟา หยิบโทรศัพท์มาเล่นเกมส์
พอมาริสาทานข้าวเสร็จก็เก็บจานล้างให้เรียบร้อย “แองจี้ แม่ขึ้นไปทำงานก่อนนะ ถ้าหนูมีอะไรก็ขึ้นไปหาแม่ได้เลย”
“ค่ะแม่” เมษาพยักหน้ารับ
มาริสามองลูกอย่างเป็นห่วงแล้วก็เดินขึ้นห้องนอนไป
ทุ่มกว่าๆ เสียงกริ่งดังขึ้น เมษาชะเง้อดูเห็นเพื่อนยืนอยู่หน้าบ้านก็รีบเดินไปเปิดประตูให้ “ไปๆ เข้าบ้านเร็ว ข้างนอกยุงเยอะ”
“รถโคตรติดเลยว่ะ” อิงฟ้าบ่น
“มันก็ติดของมันทุกวัน ยังจะบ่นอีกนะแกนี่” เมษาปิดประตูรั้วแล้วก็เดินตามเพื่อนเข้าไปในบ้าน
“คุณแม่ล่ะ?” อิงฟ้ามองหา
“อยู่ข้างบน ทำงานอยู่” เมษาบอก เดินไปรินน้ำมาให้เพื่อนแล้วก็ลงมือคลุกยำส้มโอ
อิงฟ้าวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะแล้วก็เดินไปดูเพื่อนในครัว “ทำยำส้มโอเหรอ กำลังอยากกินอยู่เลย ลาภปากฉันล่ะ”
“ก็รู้ว่าอยากกินถึงได้ทำให้ไง” เมษาหันไปยิ้มให้ ตักยำใส่จาน
“ที่ออฟฟิตเม้าเรื่องแกทั้งวันเลย” อิงฟ้าเดินไปนั่งที่โต๊ะทานข้าว
“แหงดิ ฉันกลายเป็นขโมยในสายตาคนอื่นไปแล้ว” เมษาหน้าเศร้า ยกจานไปวางบนโต๊ะแล้วก็หยิบจานกับช้อนส้อมให้เพื่อน “วันนี้บอสเล็กกับพี่ซินก็เอาใบลาออกมาให้ฉันเซ็นถึงที่บ้าน”
“อืม รู้แล้วล่ะ ได้ยินพี่ซินเม้ากับพี่นก” อิงฟ้าพยักหน้าเอื้อมมือไปตบบ่าเพื่อนปลอบใจ “ไม่เป็นไรนะแก เก่งๆ อย่างแกเดี๋ยวก็หางานใหม่ได้ แต่ถ้าแกเบื่อกรุงเทพฯ อยากไปทำงานต่างจังหวัดก็บอกฉันได้นะ โรงแรมที่บ้านฉันมีตำแหน่งว่างให้แกอยู่แล้ว”
“เออ ขอบใจ แต่ยังไม่คิดจะไปหรอก ทำงานที่เชียงใหม่บ้านแกก็น่าสนแต่มันไกลจากแม่ฉันอ่ะดิ” เมษาตักยำส้มโอให้เพื่อน “เอ้า ทานซะก่อน จะเอาไรเพิ่มไหมล่ะจะทำให้”
“ไม่ต้องแล้วล่ะ แค่นี้ก็พอ” อิงฟ้าบอกแล้วก็ตักยำเข้าปาก “เออ คลิปอยู่ในแฟลชไดร์ฟ แกเอาไปก็อปดูซิ”
เมษารีบลุกไปเปิดกระเป๋าเพื่อนหยิบแฟลชไดร์ฟมาโหลดลงคอม เธอเปิดดูคลิปทันที
อิงฟ้าถือจานมายืนตักทานอยู่ข้างหลัง “แอบให้พี่นกก็อปให้เชียวนะแก”
“เออ ขอบใจ” เมษาบอกโดยไม่ละสายตาจากจอคอม
ทั้งสองจ้องจอตาไม่กระพริบ จนกระทั่ง…
“นั่นไงๆ” อิงฟ้ารีบชี้ในภาพ
“อืม เห็นแล้ว” เมษาบอกจ้องภาพขโมยเขม็ง
“โหย มันใส่ปิดมิดชิดซะขนาดนี้แล้วจะรู้ได้ไงล่ะว่าเป็นใคร?” อิงฟ้าบ่นอย่างไม่สบอารมณ์
ทั้งสองนั่งดูจนกระทั่งขโมยกลับออกมาจากห้อง
“หมดหนทางแล้วล่ะแกที่จะหาตัวว่าใครเป็นขโมย แม้แต่ลูกตาก็ไม่เห็น เห็นแต่ตัวมืดๆ ใส่ถุงมืออย่างนี้ต่อให้ระดับ FBI. ก็ใบ้กินเหมือนกันแหละแก” อิงฟ้าเดินไปนั่งที่โซฟา
“แล้วอย่างนี้ฉันก็ต้องถูกหาว่าเป็นขโมยต่อไปน่ะซิ” เมษานั่งกลุ้ม ปิดคอมอย่างเครียดจัด
“แกไม่ได้ทำฉันรู้ดี ไม่เป็นไรนะแก” อิงฟ้าปลอบใจ เห็นเพื่อนกลุ้มแล้วก็กลุ้มตาม เธอพยายามคิดหาวิธีปลอบใจเพื่อนให้หายกลุ้ม “เออนี่ ไปเที่ยวกับฉันดีกว่า คืนนี้ฉันนัดไอ้พวกนั้นเอาไว้ แกออกไปจอยกะฉันดีกว่านะ”
“ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากไปไหน ไม่อยากเจอใคร” เมษาปฏิเสธ
“น่า ไปเถอะ ยิ่งอยู่บ้านแกก็ยิ่งเครียด ออกไปเปิดหูเปิดตากับฉันดีกว่าน่า” อิงฟ้าคะยั้นคะยอ “กลับไม่ดึกหรอก นะๆๆๆๆ”
เมษามองอย่างลังเล “ไปก็ได้”
“ดีมาก งั้นแกรีบขึ้นไปแต่งตัวเลย” อิงฟ้าบอก
เมษาลุกขึ้นเดินขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วก็เดินไปเคาะประตูห้องแม่
“เชิญจ้ะ” เสียงแม่บอก เธอก็เปิดประตูเข้าไป “แม่ขา แองจี้ไปเที่ยวกับฟ้านะคะ กลับดึกหน่อยแม่ไม่ต้องคอยนะคะ”
“ไปเถอะลูก” มาริสายิ้มให้
เมษาเข้าไปกอดแล้วก็หอมแก้มอย่างเคยชิน “แม่ก็อย่านอนดึกนะคะ”
“จ้ะ” มาริสาพยักหน้า
เมษายิ้ม เดินออกไปพร้อมกับปิดประตูให้ด้วย
อิงฟ้ามองเพื่อนเดินลงบันไดมา แล้วก็ยิ้ม
“ไป” เธอลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเปิดประตูเดินออกไป
เมษาพยักหน้ารับ จัดแจงปิดประตูบ้านให้เรียบร้อย
สองสาวเดินออกไปโบกรถแท็กซี่หน้าปากซอย จากนั้นก็สั่งแท็กซี่ไปส่งห้างใกล้ๆ กับผับที่นัดเพื่อนเอาไว้
วันนี้อิงฟ้าไม่ได้ขับรถมาเพราะเอารถไปเข้าศูนย์ฯ
พอถึงห้าง ทั้งสองก็พากันลงไปเดินช็อปปิ้ง ซึ่งทั้งสองก็เพียงแค่เดินดูเท่านั้นไม่คิดจะซื้ออะไร
ด้านนักสืบก็คอยส่งไลน์รายงานความเคลื่อนไหวให้นายจ้างรับรู้ตลอด
จนกระทั่งใกล้เวลาปิดห้างทั้งสองก็เดินไปที่ผับ
ภายในผับยังไม่ค่อยมีลูกค้ามากนักเพราะยังไม่ดึกมาก ทั้งสองได้โต๊ะแล้วก็สั่งเครื่องดื่มกับอาหารมา
นักสืบส่งไลน์ไปรายงานนายจ้าง
เสียงไลน์ดังขึ้น โอเวนเปิดดูแล้วก็รายงานเจ้านายว่า “มิสบุญรักษ์ออกไปเที่ยวผับกับเพื่อน”
มาร์คัสเงยหน้าจากโน๊ตบุ๊คมองหน้าลูกน้อง แล้วก็ครุ่นคิด “ที่ไหน?”
โอเวนบอกสถานที่ “ที่………”
มาร์คัสกดปิดโน๊ตบุ๊คแล้วก็เดินไปส่องกระจกในห้องน้ำ ซึ่งตัวเขาสวมกางเกงสแลคแบรนด์ดังกับเชิ๊ตแขนยาว มองดูเงาตัวเองในกระจกแล้วก็จัดแจงพับแขนเสื้อขึ้นถึงข้อศอก จากนั้นก็เดินออกไป “โทรบอกโรเจอร์ ฉันจะไปที่ผับนั่น”
“โอเค” โอเวนรีบโทรหาโรเจอร์ “โรเจอร์ บอสจะออกไปข้างนอก”
“โอเค” โรเจอร์รับคำแล้วก็ตัดสาย
มาร์คัสเดินนำหน้าไป โอเวนรีบตามไป
เมื่อถึงผับ ทั้งสองก็ลงจากรถ มาร์คัสเดินเข้าไปในผับ โอเวนตามไปติดๆ
สาวๆ ในผับมองสองหนุ่มที่เดินเข้ามาใหม่พยายามอ่อยเต็มที่
โอเวนมองหาเป้าหมาย เมื่อพบก็กระซิบกับเจ้านายว่า “เธออยู่นั่น”
มาร์คัสมองตามแล้วก็บอกว่า “ฉันต้องการนั่งโต๊ะติดกับเธอ”
โอเวนพยักหน้า “โอเค เดี๋ยวฉันจัดการให้”
แล้วเขาก็เดินเข้าไปคุยกับกลุ่มวัยรุ่นสาวที่นั่งโต๊ะนั้น เพียงครู่เดียวสาวๆ กลุ่มนั้นก็ลุกออกจากโต๊ะไป
มาร์คัสเห็นลูกน้องจัดการเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะ
อิงฟ้ากำลังคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน เมษาก็ร่วมคุยบ้าง แต่ส่วนมากเธอจะฟังคนอื่นพูดมากกว่า มีหนุ่มๆ แวะเวียนมาชวนกลุ่มของอิงฟ้าออกไปเต้นด้วย แต่สาวๆ กลุ่มนี้ก็เล่นตัวเพราะยังไม่เจอหนุ่มถูกใจ
โอเวนสั่งเครื่องดื่มและอาหารมา มาร์คัสดื่มไปพร้อมกับมองเป้าหมายตลอด เขายิ้มให้สาวๆ กลุ่มนั้น
“แกดูหรั่งโต๊ะข้างๆ ดิ หล่อม๊าก” สาวๆ แอบกระซิบกันส่งสายตาให้หนุ่มหล่อ
“น่าล็อคตัวทำพ่อพันธุ์ชะมัด”
เมษารู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองตลอดเวลา เธอมองเขาเหมือนถูกดึงดูดจนไม่อาจจะละสายตาได้
“เฮ้ยฟ้า ฉันว่าหรั่งนั้นปิ๊งไอ้เมอ่ะ ดูดิ เขามองมันตลอดเลยอ่ะ”
“เออ เห็นแล้ว” อิงฟ้ากระซิบตอบแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไร “แล้ววันหยุดยาวครั้งหน้าไปเที่ยวไหนกันดีล่ะ? หยุดตั้งสี่วัน ไปเขาใหญ่กันดีป่ะ?”
“ฉันว่าไปเชียงใหม่บ้านแกดีกว่า ที่พักฟรีอาหารฟรีจ่ายแต่ค่าตั๋วเครื่องบินอย่างเดียว นะๆๆๆๆ”
“ไม่ค่อยมีตังอ่ะดิ” อิงฟ้าดักคอ
“ใช่เลยแก”
“ก็ได้ งั้นฉันจะได้บอกป๊ากะม๊าให้บุ๊คห้องไว้ให้พวกแก แล้วเมล่ะไปป่ะ?” อิงฟ้าหันไปถามเพื่อน แต่เมษาไม่ได้ฟัง จนคนถามต้องสะกิด “เมๆ”
เมษาละสายตาจากหนุ่มฝรั่งหันไปมองเพื่อน “อะไรเหรอ?”
“หลงเสน่ห์ของนอกเหรอแก?” อิงฟ้าแซว
“เปล่าซะหน่อย” เมษาปฏิเสธ ยกแก้วพั้นซ์ขึ้นจิบ
“เปล่าไรแก ก็เห็นจ้องตาไม่กระพริบเชียว” อิงฟ้าจ้องหน้าเพื่อน “แล้วเรื่องที่พวกเราจะไปเที่ยวบ้านฉันวันหยุดครั้งหน้าเนี่ยแกจะไปด้วยป่ะ? ไปด้วยกันนะๆๆๆๆ”
“ก็ได้ ไหนๆ ฉันก็ตกงานอยู่นี่น่า”
“ไม่เอา ไม่พูดเรื่องนี้อีก วันนี้ฉันพาแกมาปลดปล่อยเพราะงั้น ชน!” อิงฟ้าชนแก้วแล้วก็ยกขึ้นดื่มหมดแก้ว
เมษาก็ดื่มหมดแก้วเช่นกัน
มาร์คัสลุกไปหาสาวๆ พูดเป็นภาษาอังกฤษว่า “ขอผมนั่งด้วยได้ไหมครับ?”
“ได้ค่ะ” สาวสวยรีบบอกพร้อมกับขยับเก้าอี้เปิดช่องว่างให้
มาร์คัสลากเก้าอี้ไปนั่งข้างๆ สาวคนนั้นแล้วก็โปรยยิ้มทั่วทั้งกลุ่ม “ผมชื่อมาร์ค แล้วพวกคุณชื่ออะไรครับ?”
สาวสวยรีบแนะนำตัว “ฉันชื่อแจน นี่อ๋อม แล้วก็แน็ท ส่วนนั่นชื่อฟ้าแล้วก็เมค่ะ”
Chapter 6 สัมภาษณ์งาน
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” มาร์คัสยื่นมือไปทักทายทั้งกลุ่ม แต่พอจับมือเมษา เขากลับอ้อยอิ่งไม่ยอมปล่อยมือจนเมษาต้องดึงมือออกเอง
สาวๆ ในกลุ่มส่งสายตาให้กันเป็นสัญญาณ แล้วก็กระซิบกันเป็นภาษาไทยว่า “นายนี่ปิ๊งไอ้เมแน่ๆ เลยอ่ะ”
มาร์คัสชวนสาวๆ คุยอย่างคล่องปาก เหมือนหนุ่มที่เจนจัดเรื่องสาวๆ
หนุ่มๆ คนอื่นก็แวะเข้ามาชวนสาวๆ ไปเต้นด้วย พอที่นั่งข้างเมษาว่างมาร์คัสก็เขยิบไปนั่งข้างๆ ทันที
“เพื่อนๆ คุณน่ารักทุกคนเลย” เขาชวนคุย
“อ่อ…ค่ะ” เมษาพยักหน้าตอบ
“เต้นกับผมซักเพลงได้ไหม?” มาร์คัสชวน
เมษาส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากเต้น”
“พลีสสส ซักเพลงนะครับ” มาร์คัสคะยั้นคะยอ
“ไปเถอะเม มาเที่ยวนะไม่ได้มานั่งเฝ้าโต๊ะ” แจนช่วยเชียร์อีกแรง
“พลีสสสส” มาร์คัสชวนอีก
“ไม่ล่ะ ฉันขี้เกียจ” เมษาบอกพร้อมกับยิ้มให้เขา
มาร์คัสยิ้มตอบยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ สายตาก็มองหญิงสาวไม่วางตา
“เพื่อนคุณนั่งคนเดียวเหงาแย่ ชวนมานั่งกับพวกเราก็ได้นะคะ” แน็ทบอกอย่างมีน้ำใจ แล้วก็หันไปเรียกหนุ่มหล่อ “นี่คุณ มานั่งกับพวกเราซิ”
โอเวนรีบตะครุบโอกาส “ขอบคุณครับ” เขารีบย้ายอาหารเครื่องดื่มไปร่วมโต๊ะด้วย
จากนั้นสองหนุ่มก็ชวนสาวๆ คุยไปดื่มไปอย่างสนุกสนาน มีเพียงเมษาที่นั่งฟังคนอื่นคุยกัน ยกแก้วพั้นซ์จิบไปเรื่อยๆ
มาร์คัสชวนสาวๆ ทั้งกลุ่มคุยไปดื่มไป จนสาวๆ เริ่มมึน
“ขอตัวแป๊บนะ” เมษาลุกไปเข้าห้องน้ำรู้สึกมึนหัวหน่อยๆ
มาร์คัสก็ขอตัวไปอย่างเนียนๆ เขาตามไปยืนดักรอหน้าห้องน้ำ
เมษาเดินออกมาจากห้องน้ำ มาร์คัสก็ปาดเข้าไปทันที “ผมอยากคุยกับคุณสักหน่อย ออกไปคุยกันข้างนอกได้ไหมครับ?”
เมษาเห็นท่าทางเขาสุภาพอีกอย่างข้างนอกก็มีคนอยู่เยอะแยะ ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรจึงพยักหน้า “โอเค”
มาร์คัสเดินนำหน้าออกไปนอกผับ เมษาเดินตามไป
พอออกไปข้างนอกแล้ว มาร์คัสก็พูดว่า “เพื่อนคุณบอกว่าคุณเพิ่งลาออกจากงาน คุณกำลังหางาน พอดีว่าที่บริษัทผมกำลังรับสมัครเลขา ถ้าคุณสนใจก็ลองไปสมัครดูนะครับ นี่ครับนามบัตร” เขายื่นนามบัตรบริษัทให้
เมษารับนามบัตรมาดู “ขอบคุณค่ะ”
“โอเค เราเข้าไปข้างในกันเถอะครับ ออกมานานเดี๋ยวเพื่อนคุณจะเป็นห่วงได้” มาร์คัสบอกแล้วก็ผายมือเชิญ
เมษาพยักหน้ารับ ยิ้มให้เขา
จนกระทั่งตีหนึ่งกว่า สาวๆ ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
มาร์คัสสั่งให้โรเจอร์แอบขับรถตามไปห่างๆ รอดูจนเมษาเข้าบ้านแล้วเขาจึงกลับโรงแรม
วันรุ่งขึ้นมาริสาตื่นแต่เช้า ลุกไปทำข้าวผัดแช่เย็นไว้ให้ลูกสาวจากนั้นก็อาบน้ำแต่งตัว ก่อนออกจากบ้านก็เปิดประตูห้องนอนลูกเข้าไปหอมแก้มเหมือนเช่นเคย เธอยิ้มอ่อนๆ มองดูลูกสาวหลับปุ๋ยแล้วก็ขี่มอเตอร์ไซด์ไปทำงาน
แปดโมงกว่า เมษาลืมตาตื่น มองนาฬิกาบนผนังปลายเตียง “โห สายป่านนี้แล้วเหรอ”
เธอลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็ลงไปข้างล่าง เปิดตู้เย็นเห็นข้าวผัดที่แม่ทำไว้ให้ก็หยิบออกมาเข้าไมโครเวฟ เธอเดินไปนั่งเปิดเว็บหางานเช็กดูงานที่ยื่นใบสมัครออนไลน์เอาไว้ เสียงไมโครเวฟดังก็ลุกไปหยิบข้าวผัดออกมา
มือหนึ่งตักข้าวผัดเข้าปาก อีกมือก็เขี่ยหน้าจอดูไปเรื่อยๆ พอทานข้าวเสร็จก็เก็บจานล้าง แล้วก็กลับมานั่งเช็กงานที่สมัครเอาไว้ แต่พอเห็นชื่อบริษัทหนึ่งดูคุ้นตาก็ลองคลิ๊กเข้าไปอ่านรายละเอียด
“รับสมัครเลขาเหรอ? คุณสมบัติ ฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาอังกฤษได้ดี ชื่อบริษัทนี้คุ้นๆ อยู่นะเหมือนเคยได้ยินอยู่” เธอนั่งนึก พลัน! ก็นึกถึงฝรั่งที่เจอเมื่อคืน แล้วก็รีบวิ่งขึ้นข้างบนไปเปิดกระเป๋าหยิบนามบัตรที่ได้รับมา “ใช่จริงๆ ด้วย บริษัทที่นายคนนั้นบอก”
เธอรีบลงไปข้างล่างเปิดคอมฯ จากนั้นก็รีบเปิดเว็บหางาน แล้วก็ส่งใบสมัครงานออนไลน์พร้อมแนบเรซูเม่ไปด้วย
พอสมัครงานเรียบร้อยแล้วเธอก็เปิดดูรับสมัครงานของบริษัทอื่นๆ ต่อ
ทางด้านแอนนาพอเห็นอีเมลใหม่เด้งขึ้นมาก็รีบเปิดดู แล้วก็หันไปรายงานเจ้านายว่า “บอสคะ มิสบุญรักษ์สมัครงานมาแล้วค่ะ”
โอเวนพยักหน้ารับรู้ “โอเค คุณโทรนัดเธอมาสัมภาษณ์ได้เลย ห้ามทำพลาดเด็ดขาด เข้าใจนะ”
“ค่ะบอส” แอนนารับคำแล้วก็รีบกดเบอร์โทรหา
เสียงโทรศัพท์ดัง เมษารีบคว้ามาดู “เบอร์ใครหว่า?”
เธอกดรับ “สวัสดีค่ะ”
“ฮัลโหล ขอพูดกับมิสบุญรักษ์ค่ะ” เสียงภาษาอังกฤษพูดออกมาชัดถ้อยชัดคำ
“ค่ะ กำลังพูดอยู่ค่ะ”
“ฉันชื่อแอนนา กิ๊บสันค่ะ จากบริษัทแจ็คสันคอเปอร์เรชั่นค่ะ วันนี้คุณสะดวกมาสัมภาษณ์ไหมคะ?”
“คะ” เมษางงๆ
“มิสบุญรักษ์คะ ฉันชื่อแอนนา กิ๊บสันค่ะ เป็นพนักงานจากบริษัทแจ็คสันคอเปอร์เรชั่นที่คุณสมัครงานไว้ วันนี้คุณสะดวกมาสอบสัมภาษณ์ไหมคะ” แอนนาถามอีกครั้งเมื่อปลายสายเงียบไป
“อ่อ…ค่ะๆ ฉันไปได้ค่ะ” เมษาพยักหน้ารับอย่างงงๆ
“โอเค งั้นบ่ายโมงตรงคุณมาพบฉันที่ล็อบบี้โรงแรม………นะคะ” แอนนาบอก
“ค่ะ” เมษารับคำอย่างงงๆ
“บ๊ายบาย” แล้วแอนนาก็วางสายไป
เมษามองโทรศัพท์อย่างงงๆ “ทำไมนัดสัมภาษณ์เร็วจัง? เพิ่งจะสมัครไปไม่ทันถึงชั่วโมงเลยอ่ะ”
เธอจ้องโทรศัพท์อย่างงงๆ อยู่อย่างนั้น
ทางด้านโอเวน พอแอนนาจัดแจงนัดสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้วก็รีบส่งข้อความไปบอกเจ้านาย
มาร์คัสเปิดข้อความอ่านแล้วก็หันไปมองวิวนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด
ณ ล็อบบี้โรงแรม เมษามาถึงก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง เธอนั่งรอที่โซฟา สั่งน้ำส้มมาดื่มรอเวลานัดหมาย
ก่อนเวลานัดหมายสิบนาที แอนนาก็เดินออกจากลิฟท์ไปที่ล็อบบี้ เธอกวาดสายตามองหาครู่เดียวแล้วก็พบหญิงสาวเป้าหมายนั่งอยู่ที่โซฟาด้วยชุดสูทกระโปรงสีครีมอ่อน สวมรองเท้าคัทชูสีครีมเข้าชุดกับเสื้อผ้า แม้เสื้อผ้าที่สวมใส่จะไม่แพงแต่ก็ดูเรียบร้อยสมกับการมาสัมภาษณ์งาน เธอเดินตรงเข้าไปทัก “มิสบุญรักษ์ใช่ไหมคะ?”
เมษาเงยหน้ามอง “ค่ะ”
เธอรีบลุกขึ้นยืน
“ฉัน แอนนา กิ๊บสันค่ะ” แอนนายื่นมือให้พร้อมกับแนะนำตัว
เมษารีบจับมือทักทาย “สวัสดีค่ะมิสกิ๊บสัน”
แอนนายิ้มให้แล้วก็ปล่อยมือ “เชิญนั่งค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ” เมษารอให้แอนนานั่งลงก่อน แล้วก็นั่งตาม
แอนนาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ “รอนานไหมคะ?”
“ไม่ค่ะ ไม่นาน” เมษาตอบแล้วก็ยื่นเรซูเม่ให้ “เอ่อ…นี่แฟ้มประวัติของฉันค่ะ”
แอนนารับไปเปิดอ่าน
เมษานั่งรอพลางจิบน้ำส้มไปด้วย
แอนนาอ่านจบแล้วก็ปิดแฟ้ม เงยหน้ามองหญิงสาวอย่างพิจารณา “คุณทำงานที่บริษัทเดิมมาสามปี ทำไมถึงลาออกคะ?”
เมษาอึกอัก “เอ่อ…คือฉัน…”
แอนนาจ้องหน้ารอฟังคำตอบ วางท่าทางขึงขังให้สมกับแผนการ
“เอ่อ…คือฉันลาออกเพราะ…”
“ฮัลโหล” โอเวนเดินเข้าไปทัก
แอนนารีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ “สวัสดีค่ะบอส”
เมษามองผู้มาใหม่อย่างงงๆ “บอส?”
แล้วก็หันไปมองท่าทางของแอนนา
แอนนาหันไปแนะนำตัว “นี่บอสของฉันค่ะ มิสเตอร์โอเวน คร๊อบ”
เมษาลุกขึ้นยืนอย่างงงๆ “เอ่อ…สวัสดีค่ะมิสเตอร์คร๊อบ”
“สวัสดีครับมิสบุญรักษ์ เราเจอกันอีกแล้ว ยินดีที่ได้พบกันอีกครับ” โอเวนทักทายยื่นมือไปให้
เมษายื่นมือจับทักทายอย่างงงๆ
โอเวนปล่อยมือแล้วก็ผายมือเชิญ “เชิญนั่งครับ”
เขานั่งลงวางท่าสบายๆ อย่างเป็นมิตร
แอนนานั่งลงแล้วก็หันไปโบกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟ
เมษานั่งลงตามสีหน้างงๆ
พนักงานเสิร์ฟเดินมายื่นเมนูให้
“ขอคาปูชิโน่ร้อนหนึ่งแก้ว แล้วก็ลาเต้ร้อนหนึ่งแก้วค่ะ” แอนนาสั่งเครื่องดื่มให้ตัวเองกับเจ้านาย
เมษามองหน้าโอเวนอย่างงุนงง
“เมื่อคืนเราพบกันที่ผับยังไงล่ะครับ คุณลืมแล้วเหรอครับ?” โอเวนพูดเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ
มาร์คัสยืนมองอยู่ห่างๆ
“ค่ะ ฉันจำได้” เมษาพยักหน้ารับ
“ผมรู้ว่าคุณกำลังหางานอยู่ พอดีว่าบอสของผมกำลังต้องการเลขาเพิ่ม คุณอยากจะร่วมงานกับเราไหมครับ?” โอเวนถามน้ำเสียงจริงจัง
“เอ่อ…” เมษายังงงๆ อยู่
“ช่วงทดลองงานเงินเดือนเริ่มต้นที่ห้าหมื่นบาท หลังจากผ่านทดลองงานแล้วบอสจะพิจารณาให้คุณอีกครั้ง” โอเวนบอก
“ห๊า! ห้าหมื่นบาท!” เมษาตกใจ
“ทำไมเหรอครับ? น้อยไปหรือว่ายังไงครับ?”
พนักงานเสิร์ฟยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟแล้วก็ถอยไป
เมษาพยายามตั้งสติ “ไม่ค่ะไม่ มันมากเกินว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก”
“โอเค ถ้างั้นคุณพร้อมเริ่มงานเมื่อไหร่ครับ? พรุ่งนี้เลยได้ไหมครับ?” โอเวนรุกอย่างไม่ให้ตั้งตัว
แอนนาจิบกาแฟมองดูทั้งสองอย่างเงียบๆ
เมษาพยักหน้ารับอย่างงงๆ “ค่ะ ได้ค่ะ”
โอเวนยิ้มแล้วก็ยื่นมือไป “โอเค ยินดีที่ได้ร่วมงานกันครับ ขอต้อนรับสู่แจ็คสันคอเปอร์เรชั่นครับ”
เมษาจับมือตอบอย่างงงๆ “ค่ะ ยินดีเช่นกันค่ะ”
โอเวนปล่อยมือแล้วก็บอกว่า “พรุ่งนี้เก้าโมงเช้าคุณมาพบแอนนาที่นี่นะครับ เธอจะเป็นคนสอนงานให้คุณเอง”
เขายกแก้วกาแฟดื่มรวดเดียวแล้วก็ลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ ผมต้องไปแล้ว พรุ่งนี้พบกันครับ”
เขาโบกมือลา “บ๊ายบาย”
แอนนาโบกมือตอบ
เมษาโบกมือตอบอย่างงงๆ
โอเวนเดินออกไป พอเลี้ยวมุมเสาก็เจอกับมาร์คัส
“ทุกอย่างเรียบร้อยตามที่นายต้องการ” โอเวนบอก
“ขอบคุณ” มาร์คัสพยักหน้ารับรู้พลางตบบ่าคนสนิท สายตายังจับจ้องที่หญิงสาวเป้าหมายด้วยสายตาสงบนิ่ง
โอเวนเลี่ยงไปยืนอยู่ข้างหลัง คอยอารักขาตามหน้าที่
แอนนาหันไปมองหญิงสาวยื่นมือไปตรงหน้า “ยินดีที่ได้ร่วมงานค่ะ”
เมษาจับมือตอบอย่างงงๆ “ค่ะ เช่นกันค่ะ”
“โอเค พรุ่งนี้พบกันค่ะ” แอนนาบอกแล้วก็ลุกขึ้น
“เดี๋ยวค่ะ รอก่อนค่ะ” เมษาเรียก
“คะ”
“นี่ฉันได้งานแล้วเหรอคะ?” เมษาถามอย่างงงๆ
“ค่ะ” แอนนาพยักหน้า “พรุ่งนี้พบกันเก้าโมงเช้า อย่ามาสายนะคะบอสเกลียดคนไม่ตรงเวลามากที่สุดค่ะ”
“ค่ะ” เมษาพยักหน้ารับอย่างยังงงๆ
แอนนาเดินจากไปพร้อมกับแฟ้มเรซูเม่
เมษายังนั่งงงอยู่อย่างนั้น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอได้งานใหม่แล้ว แถมเงินเดือนดีกว่าที่เดิมตั้งเยอะ!
เธอหยิกมือตัวเองเพื่อเช็กว่าฝันไปรึเปล่า “อูย เจ็บง่ะ นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม”
เธอมองไปรอบๆ ยิ้มกับตัวเองแล้วก็เดินออกจากล็อบบี้อย่างดีใจสุดขีด
มาร์คัสมองตามจนหญิงสาวเดินลับตาไปแล้วก็เดินกลับขึ้นห้องพัก
ระหว่างขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านเมษาก็ส่งไลน์บอกแม่และอิงฟ้าว่าได้งานใหม่แล้ว
ทั้งสองคนต่างก็ดีใจด้วย จึงนัดฉลองได้งานใหม่กันที่บ้าน แต่เพื่อนร่วมแก๊งคนอื่นๆ กลับไม่ว่าง
เมษาลงรถไฟฟ้าแล้วก็ต่อรถตู้ไปลงหน้าห้างสรรพสินค้าแวะซื้อของไปทำกับข้าวเลี้ยงฉลอง
เมื่อกลับถึงบ้านเธอก็เข้าครัวทำอาหารรอ
มาริสากลับมาถึงบ้านก็ได้กลิ่นกับข้าวหอมฟุ้งไปทั้งบ้าน
“วันนี้ทำอะไรกินมั่งล่ะแองจี้?”
“ต้มยำกุ้ง ผัดบล็อกโคลี่ ยำมะม่วงปลาทอด แล้วก็ปอเปี๊ยะทอดค่ะแม่” เมษาตอบขณะกำลังเตรียมทำยำมะม่วง
“งั้นแม่ไปอาบน้ำก่อนนะ เออ…แล้วฟ้าจะมากี่โมงล่ะลูก?”
เมษาเหลือบมองนาฬิกา “คงอีกซักชั่วโมงมั้งคะ”
มาริสายิ้มแล้วก็เดินขึ้นบันไดไป
เกือบหนึ่งทุ่มอิงฟ้าก็ขับรถมาจอดหน้าบ้านเพื่อนรัก
เมษารีบเดินไปเปิดประตูรั้ว
“โหย…กว่าจะหลุดมาได้ รถโคตรติดเลยแก” อิงฟ้าบ่นพลางล็อครถ
Chapter 7 เริ่มงานใหม่
เมษายิ้มให้เพื่อนรัก “มาๆ รีบเข้าบ้านเถอะ ข้างนอกยุงเยอะ”
“เอ้านี่ ของขวัญฉลองที่แกได้งานใหม่” อิงฟ้าส่งไวน์ให้
“ขอบใจนะ แต่แกไม่ต้องซื้อมาก็ได้ แค่แกมาฉันก็ดีใจแล้ว” เมษารับไวน์มา
“ของนิดๆ หน่อยๆ น่า แล้วนี่แกทำไรกินมั่งล่ะ?” อิงฟ้าเดินนำหน้าเข้าบ้าน
“ของโปรดแกกับแม่ทั้งนั้นเลย”
พอเข้าบ้าน อิงฟ้าก็ไหว้แม่เพื่อน “สวัสดีค่ะคุณแม่”
“หวัดดีจ้าลูก” มาริสารับไหว้ “ไปล้างมือไป จะได้มากินข้าวกัน”
“ค่ะคุณแม่” อิงฟ้ายิ้มแล้วก็เดินไปล้างมือในครัว
มาริสาเห็นไวน์ก็เดินไปหยิบแก้วไวน์ในตู้ออกมา
เมษาเดินไปเตรียมไวน์ให้เพื่อนรัก
อิงฟ้าล้างมือเสร็จแล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารจัดแจงตักข้าวใส่จานให้ทุกคน “มาค่ะคุณแม่ เมแกมานั่งเลยเร็วๆ”
มาริสาเดินไปนั่งที่โต๊ะ
เมษาถือถังแช่ไวน์ตามไปนั่งข้างเพื่อน
อิงฟ้ารินน้ำให้ทุกคนแล้วก็ชูแก้วขึ้น “ฉลองที่แกได้งานใหม่ ไชโย”
เมษาและมาริสายกแก้วน้ำร่วมชนแก้ว “ไชโย”
มาริสาจิบน้ำแล้วก็วางแก้วลง เธอตักต้มยำกุ้งใส่ถ้วยแบ่งให้ทุกคน “เอ้านี่ ต้มยำกุ้ง กุ้งตัวโตๆ เลยลูก”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่” อิงฟ้ารับถ้วยมาแล้วก็ตักผัดผักให้ “นี่เลยค่ะ บล็อกโคลี่ของโปรดคุณแม่”
“ขอบใจจ้ะหนูฟ้า” มาริสายิ้มให้แล้วก็เริ่มลงมือทานข้าว
ทั้งสามลงมือทานข้าวอย่างมีความสุข
พอไวน์เริ่มเย็น เมษาก็เปิดไวน์รินแจกทุกคน
“เอ้าชน” อิงฟ้าชนแก้วไวน์กับเพื่อน “แกนี่โชคดีจริงๆ ตกงานไม่ทันไรก็ได้งานใหม่แล้ว ไชโยๆ”
มาริสายิ้มดีใจ “เออ แล้วบริษัทใหม่นี่อยู่ที่ไหนเหรอแองจี้?”
“แองจี้ก็ไม่รู้ค่ะแม่” เมษาตอบ
มาริสามองอย่างงงๆ อิงฟ้าก็เช่นกัน “อ้าว”
“คือชื่อบริษัทแจ็คสันคอเปอร์เรชั่นค่ะแม่ แองจี้เสิร์จดูเป็นบริษัทเฟอร์นิเจอร์ในอเมริกาค่ะ” เมษาบอก
มาริสาชะงักไป “อะไรนะลูก! แจ็คสันคอเปอร์เรชั่น!”
“แม่เป็นไรคะ?” เมษางง
“นั่นซิคะคุณแม่” อิงฟ้าก็งงๆ
“ปะ…เปล่า ไม่มีอะไรลูก” มาริสารีบบอก “หนูคุยต่อเถอะ”
“โห ได้งานบริษัทต่างชาติเลยนะแก” อิงฟ้าหันไปพูดกับเพื่อน “แล้วได้ตำแหน่งอะไร? เงินเดือนเท่าไหร่อ่ะ?”
“เป็นเลขา ช่วงทดลองงานสามเดือนเขาให้เดือนละห้าหมื่นเลยนะแก ได้มากกว่าที่เก่าตั้งเท่าตัวเชียว ฉันอ่ะดีใจสุดๆ เลยล่ะ”
“ดีแล้วๆ ดีใจด้วยจ้า” อิงฟ้ายิ้มยินดี
“หนูคุยกันไปนะลูก แม่อิ่มแล้ว” มาริสาบอกพลางรวบช้อน
“ทำไมแม่ทานน้อยจังคะ?” เมษามองข้าวที่เหลือค่อนจาน
“คือแม่ทานขนมที่ผู้ปกครองเขาเอามาให้น่ะลูกก็เลยไม่ค่อยหิว” มาริสาบอกแล้วก็ยิ้มให้ “หนูคุยกันไปนะลูก แม่ไปทำข้อสอบให้เด็กๆ ก่อนล่ะ”
“ค่ะแม่” สองสาวรับคำพร้อมกัน
มาริสาลุกจากโต๊ะเดินขึ้นห้องนอนไป
สองสาวมองตามแล้วก็หันไปคุยกันต่อ
“แล้วบริษัทอยู่ตรงไหนล่ะ? เผื่อฉันผ่านไปจะได้แวะไปชวนแกกินข้าวด้วยกัน” อิงฟ้าถามพลางตักอาหารทานไปด้วย
“ไม่รู้เหมือนกัน” เมษาส่ายหน้า
“อ้าว” อิงฟ้างง
“คืองี้ แกจำฝรั่งสองคนที่มานั่งกะพวกเราที่ผับเมื่อคืนได้ป่ะ?”
“เออจำได้ หล่อโคตรๆ ขอไลน์ก็ไม่ให้ เล่นตัวชะมัด” อิงฟ้าพยักหน้า
“นั่นแหละว่าที่เจ้านายฉันล่ะ” เมษาบอก
“เฮ้ย! จริงอ่ะ!” อิงฟ้าตาโต
“จริงซิ” เมษาพยักหน้ายืนยัน
“อะไรยังไงเนี่ยแก? รีบเล่ามาเลยนะแก”
“คืองี้ เมื่อคืนนี้น่ะเขาให้นามบัตรฉันมา บอกว่าที่บริษัทเขากำลังรับสมัครเลขา ฉันก็เลยเก็บนามบัตรเอาไว้ แล้วพอตอนเช้าฉันเปิดดูรับสมัครงานในเว็บเห็นประกาศรับสมัครงานพอดีฉันก็เลยรีบสมัครไป แล้วเขาก็โทรมานัดให้ฉันไปสัมภาษณ์งานตอนบ่ายที่โรงแรม……….แล้วก็เจอคุณคร๊อบคนเมื่อคืนนี้แหละ แล้วเขาก็ตกลงรับฉันเขาทำงานเลย”
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวนะ นัดแกไปสัมภาษณ์งานที่ล๊อบบี้โรงแรมเนี่ยนะ แกโดนหลอกรึป่ะ?”
เมษาชะงักไป “ฉันก็ยังงงๆ เหมือนกัน แต่ดูท่าทางแล้วเขาไม่น่าจะมาหลอกกันนะ เอ๊ะ หรือว่าฉันถูกเขาหลอกอ่ะ”
“แกโดนหลอกชัวร์เลย” อิงฟ้าบอกอย่างมั่นใจ
“แต่เท่าที่ฉันคุยกับเขา ไม่น่าจะมาหลอกอะไรฉันนะ ดูท่าทางคุณแอนนากับคุณคล๊อบก็ไม่น่าใช่พวกมิจฉาชีพซะหน่อย”
“แอนนา? ใครเหรอ?”
“ก็คนที่โทรมาจากบริษัทแจ็คสันคอเปอร์เรชั่นยังไงล่ะ เมื่อเช้าเขาโทรมานัดฉันให้ไปสัมภาษณ์งานที่โรงแรมเองเลยนะ ถ้าไม่ใช่คนของบริษัทนั้นแล้วเขาจะโทรมาได้ไงล่ะแก เมื่อคืนฉันก็ไม่ได้ให้เบอร์ใครเลยนะ”
“ไหนๆ ดูซิ แกสมัครงานเว็บไหน?” อิงฟ้าคว้าไอแพ็ดมาเปิดดู
เมษาชะโงกหน้าไป “เว็บ…”
อิงฟ้ารีบกดเว็บหางานอันดับต้นๆ ตามที่เพื่อนบอก
“มา เดี๋ยวฉันให้แกดู” เมษาดึงไอแพ็ดมาจิ้มหาตำแหน่งงานที่เจอเมื่อเช้า “นี่ไง เจอแล้ว” เธอส่งไอแพ็ดคืนให้
“รับสมัครเลขาหนึ่งตำแหน่ง คุณสมบัติ…” อิงฟ้าอ่านประกาศรับสมัครงาน
“ปิดรับสมัครแล้ว” เธอเลื่อนดูวันที่ลงประกาศ “เพิ่งลงประกาศเมื่อวันก่อนนี่เองอ่ะแก”
“เห็นไหมล่ะ ก็เขาโทรมานัดฉันไปสัมภาษณ์ที่โรงแรมเองนะ แล้วเขาก็บอกให้ฉันไปพบคุณแอนนาพรุ่งนี้ตอนเก้าโมงเช้า ถ้าเขาจะมาหลอก แล้วเขาจะเอาเบอร์ฉันมาจากไหนล่ะแก พวกเพื่อนๆ ในกลุ่มเราก็ไว้ใจได้ว่าไม่มีใครให้เบอร์เพื่อนกับคนอื่นเด็ดขาด”
“ถ้างั้นพรุ่งนี้ฉันไปเจอว่าที่เจ้านายแกด้วยล่ะกัน ดูซิว่าถ้าไม่ได้คิดจะมาหลอกแกจริงๆ ฉันก็ค่อยวางใจให้แกทำงานได้”
“เคเลย” เมษาพยักหน้า “มาๆ ทานต่อเถอะ เดี๋ยวกับข้าวเย็นหมด”
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วอิงฟ้าก็กลับไป
เมษาเก็บล้างเสร็จแล้วก็ขึ้นห้องนอน
ภายในห้องของมาริสา เจ้าของห้องกำลังนั่งดูรูปถ่ายใบหนึ่งอย่างเหม่อลอยแล้วก็เผลอหลับไป
ณ ล็อบบี้โรงแรม ก่อนเวลาเก้านาฬิกา เมษาและอิงฟ้านั่งคุยกันอยู่ที่โซฟา
แอนนาออกจากลิฟท์เดินตรงไปหาเลขาคนใหม่ “สวัสดีค่ะมิสบุญรักษ์”
เมษารีบลุกขึ้นทักทายตอบ “สวัสดีค่ะมิสกิ๊บสัน”
แอนนามองผู้หญิงอีกคนอย่างสงสัย
เมษารีบแนะนำ “เอ่อ นี่อิงฟ้าเพื่อนฉันค่ะ”
“ฟ้านี่มิสกิ๊บสัน”
“สวัสดีค่ะมิสกิ๊บสัน” อิงฟ้ารีบยื่นมือไป
“สวัสดีค่ะมิสอิงฟา” แอนนาจับมือทักทายยิ้มให้แล้วก็หันไปถามเมษาว่า “พร้อมทำงานรึยังคะ?”
“เอ่อ…ขอโทษค่ะ เอ่อ…คือคุณเป็นพนักงานบริษัทแจ็คสันคอเปอร์เรชั่นจริงๆ เหรอคะ?” อิงฟ้าถามทันที
แอนนางงเล็กน้อย “ค่ะ ฉันทำงานที่บริษัทแจ็คสันคอเปอร์เรชั่นค่ะ คุณสงสัยอะไรเหรอคะ?”
“เอ่อ…คือออฟฟิตคุณอยู่ที่ไหนคะ? ทำไมคุณไม่นัดเพื่อนฉันไปสัมภาษณ์งานที่ออฟฟิตคะ ทำไมคุณต้องนัดเพื่อนฉันมาสัมภาษณ์งานที่นี่ด้วยคะ?” อิงฟ้าถามแบบไม่ให้ตั้งตัว
“ออฟฟิตของบริษัทเราอยู่ที่นิวยอร์ค อ๊อตตาว่า ลอนดอน โรม ปารีส ปักกิ่ง โซล โตเกียว คุณสงสัยอะไรเหรอคะ?” แอนนาย้อนถามแล้วก็มองหน้าเมษา
“คือฉันไม่เชื่อว่าคุณทำงานที่บริษัทแจ็คสันคอเปอร์เรชั่นจริงๆ คุณอาจจะกำลังหลอกลวงเพื่อนฉันอยู่ก็ได้” อิงฟ้าบอกพลางจ้องหน้าอีกฝ่ายจับพิรุธ
“ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณก็เปิดเว็บไซต์บริษัทฯ ดูได้ค่ะ แล้วคุณก็โทรถามฝ่ายบุคคลได้เลยว่าฉันแอนนา กิ๊บสันเป็นพนักงานของบริษัทรึเปล่า?” แอนนาบอกแล้วก็นั่งลงที่โซฟาอย่างใจเย็น
อิงฟ้าหยิบไอแพ็ดออกมาเปิดหาเว็บบริษัททันที เธอกดเบอร์โทร แล้วโทรออก
เสียงปลายสายเข้าคอลเซ็นเตอร์ เธอก็จิ้มๆ เลขตามระบบคอลเซ็นเตอร์อยู่ครู่หนึ่ง สักพักก็มีพนักงานรับสายเป็นภาษาอังกฤษ “ฮัลโหล ต้องการติดต่อเรื่องอะไรคะ?”
“ฮัลโหล ฉันต้องการข้อมูลของพนักงานคนหนึ่งของบริษัทคุณค่ะ ชื่อมิสแอนนา กิ๊บสัน คุณช่วยส่งข้อมูลยืนยันได้ไหมคะว่ามิสแอนนา กิ๊บสันที่บริษัทคุณมีว่าใช่คนๆ เดียวกับมิสแอนนา กิ๊บสันที่ฉันกำลังพบอยู่ คือฉันไม่แน่ใจน่ะค่ะว่ามีคนกำลังแอบอ้างเป็นมิสแอนนา กิ๊บสันมาหลอกฉันรึเปล่าน่ะค่ะ” อิงฟ้าบอกเป็นภาษาอังกฤษ แม้สำเนียงจะไม่เป๊ะเหมือนเจ้าของภาษาแต่ก็ชัดถ้อยชัดคำฟังรู้เรื่อง
“อ่อ ทางเราสามารถให้ข้อมูลกับคุณได้แค่ชื่อและรูปเท่านั้นค่ะ ส่วนข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับมิสกิ๊บสัน ทางเราไม่สามารถให้ได้ค่ะ” ปลายสายตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษอย่างสุภาพ
“โอเค ขอบคุณมากค่ะ” อิงฟ้าบอก
ปลายสายขออีเมล อิงฟ้าก็รีบบอกทันที
“ขอบคุณค่ะ”
แล้วปลายสายก็ตัดสายไป
อิงฟ้าหันไปมองสาวฝรั่งในชุดสูทหรูซึ่งนั่งรออย่างใจเย็น แล้วก็กระซิบกับเพื่อนว่า “รอแป๊บ เดี๋ยวทางนู้นส่งรูปมายืนยันตัวให้ ทีนี้ก็รู้ล่ะว่าจริงหรือหลอก”
“อื้ม” เมษาพยักหน้า
แล้วอิงฟ้าก็เปิดเช็คอีเมลในจั้งเมล พอเห็นอีเมลจากบริษัทแจ็คสันคอเปอร์เรชั่นก็รีบเปิดดูทันที เธอกดดูไฟล์รูปที่แนบมาแล้วก็เอาไปเทียบกับแอนนา
สองสาวช่วยกันส่องรูปเทียบกับตัวคน
“ใช่จริงๆ ด้วยอ่ะแก” อิงฟ้ากระซิบเสียงแผ่ว
“หมดข้อสงสัยแล้ว แกก็กลับไปได้แล้ว ขอบใจนะที่ช่วยมาสแกนให้น่ะ” เมษากระซิบตอบ
สองสาวยิ้มเจื่อนให้แอนนา
แอนนายิ้มเยือกเย็น “คุณมีคำถามอะไรอีกไหมคะ?”
อิงฟ้ารีบส่ายหน้า “ไม่ค่ะ ไม่มีแล้ว ขอโทษด้วยค่ะที่ต้องทำแบบนี้”
เมษายิ้มเจื่อนค้อมหัวให้ “ขอโทษค่ะ”
อิงฟ้าโบกมือหน้าจ๋อยนิดๆ กลัวว่าจะทำให้เพื่อนตกงานตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำงาน “บ๊ายบาย”
“ขอโทษจริงๆ ค่ะ” เมษาพูดกับแอนนาอีกครั้ง
แอนนาเบือนหน้าไปแอบขำแล้วก็รีบปั้นหน้าขึงขัง “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจว่าเพื่อนคุณเป็นห่วงกลัวว่าคุณจะโดนหลอก เอาล่ะเรารีบไปกันเถอะค่ะ บอสเกลียดคนไม่ตรงเวลาค่ะ” เธอลุกขึ้นเดินฉับๆไปที่ลิฟท์
เมษารีบเดินตามไป
พอเข้าไปในลิฟท์ แอนนาก็เอาคีย์การ์ดแตะกับระบบรักษาความปลอดภัยภายในลิฟท์แล้วก็กดปุ่ม
ประตูลิฟท์ปิดลง ลิฟท์เลื่อนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เมษายืนตัวลีบอย่างเกรงๆ กลัวๆ ปนตื่นเต้นกับงานใหม่
ประตูลิฟท์เปิดออก แอนนาก็ก้าวนำหน้าไปยังห้องพักของเจ้านาย เธอกดกริ่งหน้าห้องครู่หนึ่งประตูก็เปิดออก
โอเวนผายมือเชิญ “เชิญครับ”
แอนนาค้อมหัวให้แล้วก็เดินเข้าไป
เมษาตามไป ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ
โต๊ะทำงานตัวใหญ่ มีโน๊ตบุ๊ควางอยู่สี่เครื่อง เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานหันออกไปทางผนังกระจก สะท้อนให้เห็นเงาเลือนรางของผู้ชายคนหนึ่งบนเก้าอี้หนานุ่ม
“เชิญนั่ง” เสียงผู้ชายบนเก้าอี้สั่ง
แอนนาเดินไปยืนเคียงข้างกับโอเวน
เมษายืนงงๆ แล้วก็ขยับตามไปยืนข้างๆ แอนนา
เก้าอี้หมุนกลับมา สายตาพุ่งตรงไปยังเลขาคนใหม่ “เชิญนั่งครับมิสบุญรักษ์”
เมษามองหน้าผู้ชายคนนั้น “คุณ!”
มาร์คัสลุกขึ้นยืนผายมือเชิญ “เชิญครับมิสบุญรักษ์”
เมษาก้าวไปนั่งที่เก้าอี้อย่างงงๆ
“สวัสดีครับมิสบุญรักษ์ ผมมาร์คัส แจ็คสัน ผมเป็นบอสของคุณ” มาร์คัสแนะนำตัวเองสีหน้าราบเรียบ “หน้าที่ของคุณก็คือเรียนรู้งานจากโอเวนและแอนนาให้เร็วที่สุด เข้าใจนะครับ”
เมษาพยักหน้ารับอย่างงุนงง “ค่ะ”
“โอเค คุณเรียกผมว่าบอสเหมือนโอเวนและแอนนา ส่วนผมเรียกคุณว่าเมษาล่ะกัน นามสกุลของคุณออกเสียงยากไปหน่อยสำหรับผม เข้าใจนะครับ” มาร์คัสบอกแล้วก็หันไปพยักหน้ากับโอเวน “เอาล่ะ ทำงานได้”
โอเวนเดินไปนั่งที่เก้าอี้ แอนนาก็ตามไปนั่งข้างๆ
มาร์คัสนั่งลงแล้วก็เริ่มทำงาน
เมษามองการทำงานของทั้งสามคนอย่างพยายามจะเรียนรู้งาน
เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงแรกของการทำงาน เมษาก็แทบแย่ ตาลายเห็นแต่ตารางหุ้นเต็มหัวไปหมด ไหนจะข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจต่างๆ ในเครือบริษัทหลากหลายธุรกิจจนนับนิ้วไม่ไหว
“โอเวน เรื่องซื้อที่ดินสำหรับโรงงานใหม่ไปถึงไหนแล้ว?” มาร์คัสถาม
Chapter 8 ทานข้าวกับบอส
“โอนเกือบหมดแล้ว เหลืออีกสองคนที่ยังไม่ขาย” โอเวนตอบทั้งๆ ที่สายตาไม่ได้ละจากหน้าจอเลยสักนิด “แอนนา ของบการเงินอาทิตย์ที่แล้วด้วย”
“ค่ะบอส” แอนนารับคำแล้วก็เปิดไฟล์งบการเงินส่งให้ จากนั้นเธอก็หันไปสั่งงานเมษาว่า “คุณคอยดูหุ้นตัวนี้ไว้ถ้าขึ้นถึง 50% เมื่อไหร่ก็รีบบอกฉันทันที แล้วก็ดูราคาทองด้วยนะถ้าขึ้นถึง 10% เมื่อไหร่ก็รีบบอกฉัน เข้าใจนะ?”
“ค่ะ” เมษาพยักหน้ารับ
มาร์คัสสั่งงานไป สายตาก็คอยมองเลขาใหม่ไปด้วย
“แอนนา กาแฟ” โอเวนสั่ง สายตาไม่ได้ละจากหน้าจอ
“ค่ะบอส” แอนนารับคำแล้วก็เอื้อมมือไปยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะ พอเสียงปลายสายรับสายเธอก็สั่งว่า “ลาเต้ร้อนสองแก้ว คาปูชิโนร้อนหนึ่งแก้ว” แล้วเธอก็หันไปถามเมษาว่า “อ่อ…เมษาคุณจะดื่มอะไร?”
“คะ” เมษามองอย่างงงๆ
“คุณอยากได้เครื่องดื่มอะไร? กาแฟ น้ำผลไม้ หรือว่าโค้ก?” แอนนาถามอีกครั้ง
“เอ่อ…ช็อกโกแล็ตร้อนค่ะ ขอบคุณค่ะ” เมษาบอก
“ช็อกโกแล็ตร้อนหนึ่งแก้ว แล้วก็บูลเบอรี่ชีสเค้กสองชิ้น ขอบคุณค่ะ” แอนนาสั่งเสร็จแล้วก็วางสาย แล้วเธอก็หันไปทำงานต่อ
มาร์คัสสั่งงาน โอเวนก็สนองได้เป๊ะๆ ทันท่วงที ส่วนแอนนาก็ทำงานให้โอเวนโดยไม่มีข้อบกพร่อง เมษาได้แต่คอยทำตามที่แอนนาบอกอย่างมึนๆ งงๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเงอะงะงุ่มง่ามเป็นส่วนเกินของทั้งสามคน
เสียงกริ่งดังขึ้น แอนนารีบลุกไปดูแล้วก็เปิดประตูให้รูมเซอร์วิสเข้ามา
พอประตูห้องเปิดออก หน้าจอโน๊ตบุ๊คทุกเครื่องก็เปลี่ยนเป็นภาพพักหน้าจอด้วยฝีมือโอเวนที่ป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล เมษามองหน้าจออย่างงงๆ “เอ๊ะ!”
มาร์คัสยกนิ้วแตะริมฝีปากตัวเอง “ชู่ว!” ส่งสัญญาณให้เลขาใหม่เงียบๆ
พอรูมเซอร์วิสออกไปแล้ว โอเวนก็เปลี่ยนหน้าจอทุกเครื่องให้เข้าโหมดทำงานดังเดิม
แอนนายกเครื่องดื่มเสิร์ฟให้กับทุกคนแล้วก็มานั่งทำงานต่อ
จนกระทั่งใกล้เที่ยงมาร์คัสก็ปิดโน๊ตบุ๊ค แล้วก็นั่งมองเลขาใหม่ซึ่งกำลังตั้งอกตั้งใจทำงาน
เมษาเหลือบมองแอนนาแล้วก็สบตากับเจ้านาย เธอรู้สึกอึดอัดที่ถูกเขามองอย่างบอกไม่ถูก เหมือนถูกมองด้วยสายตาเกลียดชัง บางครั้งก็เฉยๆ บางครั้งก็รู้สึกอบอุ่นชั่วแว๊บ ตลอดเวลาที่นั่งทำงานเธอหายใจไม่ค่อยทั่วท้องเลยสักนิด ถ้าไม่ใช่เพราะได้เงินเดือนเยอะ เธอคงไม่ยอมอดทนกับสายตาคู่นั้นแน่ๆ
โอเวนปิดโน๊ตบุ๊ค “โอเคบอส ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
มาร์คัสพยักหน้ารับรู้ “โอเค ขอบคุณมาก แล้วอาหารกลางวันจะกินอะไรกันดีล่ะ?”
โอเวนมองหน้าเจ้านาย
“เฮ้! นายติดค้างอาหารจีนฉันอยู่นะ อย่าลืมซิ” เขาบอกน้ำเสียงเฉยๆ
“โอเคๆ ฉันจำได้” มาร์คัสบอกน้ำเสียงเหมือนเด็กที่กำลังงอนเพื่อน
แอนนามองเฉยๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ
เมษามองอย่างอึ้งๆ รู้สึกได้ว่าระหว่างผู้ชายสองคนนี้ความสัมพันธ์คงเป็นมากกว่าแค่เจ้านายกับลูกน้องแน่ๆ
“ขอบคุณที่นายยังจำได้” โอเวนค้อมหัวให้แล้วก็ยักคิ้วใส่
“โอเค อาหารจีน” มาร์คัสบอก
แอนนารีบเปิดไอแพ็ดหาร้านอาหารจีนที่ดีที่สุดทันที จากนั้นเธอก็จัดแจงจองโต๊ะ แล้วก็หันไปพยักหน้าให้โอเวน
โอเวนมองลูกน้องแล้วก็โทรหาโรเจอร์ “บอสจะออกไปข้างนอก”
“โอเค” โรเจอร์รับคำแล้วก็วางสาย
โอเวนเดินนำหน้าออกไป แอนนารีบเดินตามไป
มาร์คัสเดินตามลูกน้องไป
เมษาเดินตามออกไปเป็นคนสุดท้าย
พอลิฟท์ถึงชั้นล่าง โอเวนก็เดินนำออกไปเหมือนเช่นเคย ตามด้วยแอนนา
มาร์คัสเดินตามลูกน้องไป เมษาเดินตามไปแล้วก็เดินเลี่ยงไปตรงทางออกลานจอดรถ
มาร์คัสรีบเดินตามไปคว้าแขน “จะไปไหน?”
เมษาตกใจ “อุ๊ย!” เธอมองอุ้งมือที่กำรอบข้อมือตัวเองอย่างอึดอัดใจ
“จะไปไหน?” มาร์คัสถามอีกครั้ง
“ฉันจะไปทานข้าวกลางวันค่ะ” เมษาตอบพยายามบิดข้อมือออกจากอุ้งมือนุ่ม
“ไปด้วยกัน” มาร์คัสบอกแล้วก็รั้งแขนให้เดินไปที่รถ
“เอ่อ…ไม่ดีกว่า ฉันไปเองสะดวกกว่าค่ะ” เมษาบอก ขืนตัวไว้
“ไปด้วยกัน แอนนาก็ไปได้” มาร์คัสบอกเสียงเรียบ
เมษาหันไปมองคนอื่น เห็นทุกคนมองมาด้วยสายตางงๆ สงสัย ก็ชะงักไป “เอ่อ…”
มาร์คัสรั้งแขนดึงให้เดินไปที่รถ “ทุกคนไปกันหมด เราทีมเดียวกันไม่ใช่เหรอ ถ้าคุณไม่ไปด้วยจะเป็นทีมเดียวกันได้ยังไง เราทำงานร่วมกันนะ”
เมษาก้าวตามแรงดึงอย่างอึดอัดใจ เธอพยายามใช้สายตาบอกให้เขาปล่อยมือ “เอ่อ…”
โอเวนเปิดประตูรถคอย
มาร์คัสรั้งแขนเมษาเดินไปที่รถ เขาผายมือเชิญให้เธอเข้าไปนั่งในรถ “เชิญ”
เมษาเข้าไปนั่งในรถอย่างอึดอัดใจ
“นายนั่งข้างหน้า” มาร์คัสสั่งโอเวน
โอเวนพยักหน้ารับ แล้วก็หันไปสั่งแอนนาว่า “คุณไปนั่งกับเมษานะ”
แอนนาพยักหน้ารับแล้วก็เดินไปเปิดประตูอีกด้านเข้าไปนั่งในรถ
มาร์คัสก้มตัวลงก้าวเข้าไปนั่งในรถ
เมษารีบเขยิบตัวไปนั่งชิดกับแอนนา
โอเวนปิดประตูรถให้แล้วก็เปิดประตูเข้าไปนั่งข้างหน้าคู่กับโรเจอร์
แอนนารีบบอกจุดหมายให้โรเจอร์รับรู้
จากนั้นรถเบนซ์คันใหญ่ก็ขับออกจากโรงแรมไป
เมื่อไปถึงร้านอาหารจีนสุดหรู ทั้งห้าคนก็เข้าไปนั่งในห้องส่วนตัว
โอเวนเลื่อนเก้าอี้ให้แอนนา ส่วนมาร์คัสก็เลื่อนเก้าอี้ให้เมษา “เชิญครับ”
“ขอบคุณค่ะ” เมษานั่งลงอย่างอึดอัดใจ แต่พอเห็นคนอื่นทำตัวตามสบายก็คลายความอึดอัดลง
โอเวนรับเมนูจากพนักงานไปเปิดดูแล้วก็สั่งว่า “เป็ดปักกิ่งหนึ่งตัว แล้วก็นี่ๆๆๆๆ แล้วก็อันนี้ ส่วนเครื่องดื่มขอเป็นชาอู่หลง”
“แล้วนายจะสั่งอะไรล่ะ?” เขาหันไปถามเจ้านาย
“นายสั่งให้ฉันด้วย” มาร์คัสบอกสั้นๆ แล้วก็หันไปบอกโรเจอร์ว่า “โรเจอร์สั่งเต็มที่เลยนะ”
โรเจอร์ทำมือโอเคแล้วก็หันไปสั่งอาหาร
“แอนนาสั่งเต็มที่เลยนะ นานๆ ทีผมถึงจะมีโอกาสถล่มกระเป๋าบอสของเราอย่างนี้ต้องจัดหนักๆ หน่อยล่ะ” โอเวนหันไปพูดกับแอนนา
แอนนาพยักหน้ารับยิ้มๆ
มาร์คัสหันไปมองคนข้างๆ “เมษาคุณอยากทานอะไรก็สั่งเลยนะไม่ต้องเกรงใจ”
“ค่ะ” เมษาพยักหน้ารับอย่างเกร็งๆ
พอสั่งอาหารและเครื่องดื่มเสร็จแล้วพนักงานเสิร์ฟก็ยกของว่างมาเสิร์ฟให้
เมษาจิบชาเขียวพลางมองทุกคนไปด้วย
สามหนุ่มเริ่มคุยกันตามประสาเพื่อนรัก
แอนนาจึงหันไปคุยกับเมษา “ถ้าคุณมีปัญหาอะไรบอกฉันได้เลยนะ”
“ขอบคุณค่ะ” เมษาพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้
แอนนายิ้มตอบ
“เอ่อ…ไม่มีออฟฟิตในประเทศไทยเหรอคะ?” เมษาถามในสิ่งที่สงสัยมาตั้งแต่เช้า
แอนนาส่ายหน้า “ไม่มี บอสยังไม่มีแผนจะเปิดออฟฟิตในประเทศไทยเลย”
เมษาทำหน้างง “อ้าว แล้วบอสมาทำอะไรที่กรุงเทพฯคะ? หรือว่ามามองหาทำเลเปิดออฟฟิตคะ?”
“ไม่ใช่หรอก บอสมาธุระส่วนตัวน่ะ” แอนนาบอก “ช่วงบอสอยู่กรุงเทพฯ เราก็ทำงานด้วยกันแบบนี้ไปก่อน แต่ถ้ากลับนิวยอร์คเมื่อไหร่ก็ห้องใครห้องมันน่ะ”
“เอ่อ…แล้วนี่ฉันต้องไปอเมริกาด้วยรึเปล่าคะ?”
“ไม่รู้ซิ เรื่องนี้คุณต้องถามบอสเอาเองนะ แล้วแต่บอสจะตัดสินใจ” แอนนาบอกพลางบุ้ยปาก
เมษามองตามอย่างเกร็งๆ แล้วก็หันไปคุยกับแอนนาต่อ
“คุณแต่งงานรึยัง?” แอนนาถามชวนคุยตามประสาผู้หญิง
“ยังค่ะ” เมษาส่ายหน้า
พนักงานเดินเข้ามาเสิร์ฟอาหาร ทำให้การพูดคุยหยุดชะงัก เมื่อพนักงานเสิร์ฟอาหารเสร็จแล้วก็เดินออกไป
“เชิญทานครับ เชิญ” มาร์คัสบอกแล้วก็คีบอาหารเข้าปาก
คนอื่นๆ จึงเริ่มทาน
โอเวนห่อเป็ดปักกิ่งแล้วก็หมุนจานไปให้แอนนา “แอนนาผมห่อให้คุณแล้ว”
“ขอบคุณค่ะ” แอนนาหยิบจานลงจากโต๊ะหมุน
มาร์คัสห่อเป็ดปักกิ่งแล้วก็ยื่นให้เมษา “ลองทานนี่ซิ”
“ขอบคุณค่ะ” เมษาคีบเป็ดเข้าปาก
“เฮ้! ไม่มีใครห่อให้ฉันมั่งเลย” โรเจอร์พูดลอยๆ
มาร์คัสกับโอเวนหันไปสบตากันแล้วก็ลุกขึ้นยื่นเป็ดไปใส่จานโรเจอร์พร้อมกัน “เอ้า! ของนาย”
“ขอบคุณ” โรเจอร์ยักคิ้วให้ยิ้มขำๆ คีบเป็ดเข้าปากอย่างอารมณ์ดี
มาร์คัสคอยตักอาหารให้เมษาจนคนกินต้องรีบยกมือห้าม “พอแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ”
หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วทุกคนก็กลับโรงแรม
พอถึงโรงแรมมาร์คัสก็สั่งว่า “แอนนาคุณพาเมษาไปสอนงานที่ห้องคุณนะ”
“ค่ะบอส” แอนนาพยักหน้า จากนั้นเธอก็พาเมษาไปสอนงานที่ห้องพักตัวเอง
มาร์คัสเดินเข้าห้องไป เขานั่งลงที่โซฟา
โอเวนเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วก็หยิบขวดน้ำโยนให้ “รับนะ”
มาร์คัสรับขวดน้ำหมับ แล้วก็เปิดขวดยกขึ้นจิบ
โอเวนเดินไปนั่งตรงข้าม “นายคิดจะทำยังไงต่อไปล่ะ?”
“ไม่รู้ซิ ดูไปก่อน” มาร์คัสตอบ “แล้วเรื่องคดีความของเธอคืบหน้าไปถึงไหนแล้วล่ะ?”
โอเวนส่ายหน้า “ยังเงียบอยู่ คงต้องรอให้ขโมยเอาของออกมาขายนั้นแหละถึงจะตามตัวได้ มันเอาออกมาขายเมื่อไหร่เราก็จับตัวมันได้เมื่อนั้นแหละ”
“อืม” มาร์คัสพยักหน้าแล้วก็ยกขวดน้ำขึ้นจิบ
“อ่อ…เรื่องออฟฟิตที่โซลฉันจัดการเรียบร้อยแล้วนะ” โอเวนรายงาน
“ขอบคุณมาก ไม่มีอะไรแล้วนายก็ไปพักเถอะ” มาร์คัสบอกน้ำเสียงอ่อนโยน
“อืม ฉันไปล่ะ นายก็พักด้วยล่ะ” โอเวนโบกมือแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไป
มาร์คัสมองตามจนประตูปิดลง แล้วเขาก็เอนหัวพิงพนักโซฟา ภาพหญิงสาวผุดขึ้นมานับตั้งแต่ที่ได้เห็น ใจหนึ่งก็เกลียด อีกใจก็…
“เฮ้อ…” เขาหลับตาลงอย่างหนักใจ
ภายในห้องพักของแอนนา เจ้าของห้องก็พยายามสอนงานให้เลขาใหม่อย่างสุดฝีมือ
เมษาก็พยายามเรียนรู้งานจากรุ่นพี่เต็มที่เช่นกัน
สองสาวทำงานไปคุยกันไปอย่างถูกคอตามประสาผู้หญิงด้วยกัน
เมษารู้สึกสนิทใจกับแอนนามากขึ้น
จนกระทั่งถึงตอนเย็น ได้เวลาเลิกงานแอนนาก็ปล่อยให้เมษากลับบ้านได้
เมษาออกจากโรงแรมแล้วก็นั่งรถไฟฟ้าไปต่อรถตู้กลับบ้าน โดยไม่รู้เลยว่ามีคนคอยตามอยู่ห่างๆ
พอเธอเข้าบ้านแล้ว นักสืบก็ไลน์ไปรายงานโอเวน
โอเวนอ่านข้อความแล้วก็วางโทรศัพท์ลงอย่างโล่งใจ
เมื่อถึงบ้านเมษาก็เห็นแม่ทำกับข้าวไว้รอแล้ว
“แองจี้ไปล้างมือไปจะได้มาทานข้าวกัน”
“ค่ะแม่” เมษาเดินไปล้างมือในครัวแล้วก็ไปนั่งที่โต๊ะตักข้าวให้แม่แล้วก็ตัวเอง
“ไปทำงานวันแรกเป็นไงมั่งลูก?” มาริสาชวนคุย
“โหย…งานยุ่งมากเลยค่ะแม่ บอสแองจี้เขารวยมากเลยนะคะมีบริษัทตั้งหลายแห่ง มิน่าล่ะเขาถึงได้รับสมัครเลขาเพิ่ม”
“แล้วออฟฟิตอยู่ตรงไหนล่ะลูก? เผื่อวันไหนแม่ผ่านไปจะได้ชวนหนูไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน” มาริสาถามแล้วก็ตั้งใจรอฟัง
“ไม่มีออฟฟิตหรอกค่ะแม่ บริษัทนี้เขายังไม่เปิดออฟฟิตในเมืองไทยเลยค่ะ”
“อ้าว…แล้วทำงานกันยังไงล่ะลูก?”
“ก็นั่งทำงานกันในห้องพักที่โรงแรมนั่นแหละค่ะ แองจี้ก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละค่ะว่าห้องสวีทของโรงแรมหรูหราแบบนี้นี่เอง แต่ก็ดีนะคะแม่ แองจี้ไปทำงานสะดวกดี นั่งรถตู้ไปต่อรถไฟฟ้าแล้วก็เดินเข้าโรงแรมเลย ทีแรกฟ้าก็กลัวว่าพวกนั้นจะเป็นพวกมิจฉาชีพมาหลอกแองจี้ถึงขนาดเมื่อเช้าตามไปพบคุณแอนนาถึงที่โรงแรมเลย แต่พอโทรถามฝ่ายบุคคลของบริษัทฯแล้วแองจี้กะฟ้างี้หน้าแตกเลยค่ะแม่” เมษาเล่าไปก็ตักข้าวทานไปด้วย
“แอนนานี่เป็นเจ้านายหนูเหรอ?”
เมษาส่ายหน้า “ค่ะแม่ คุณแอนนาเป็นรองเลขาค่ะ ส่วนแองจี้ก็เป็นรองเลขารองจากคุณแอนนาอีกที ส่วนเลขาอันดับหนึ่งคือคุณโอเวนค่ะ”
“เหรอ”
“คุณแอนนากับคุณโอเวนดูจะใจดีมาก แต่บอสซิคะดูดุๆ ยังไงไม่รู้ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเงินเดือนตั้งห้าหมื่นแองจี้คงลาออกตั้งแต่วันแรกแน่ค่ะแม่”
“ถ้าหนูไม่ชอบก็หางานใหม่ซิลูก ไปทำงานที่โรงแรมของฟ้าดีไหม? แม่ได้ยินฟ้าบอกว่ามีตำแหน่งว่างอยู่นี่น่า”
Chapter 9 มอร์แกน แจ็คสัน
“อะไรคะแม่ ไปทำงานวันแรกก็จะให้แองจี้ลาออกซะแล้ว” เมษามองแม่อย่างงงๆ “อ๋อ…แม่กลัวว่าแองจี้จะต้องไปทำงานเมืองนอกล่ะซิ แองจี้ไม่ไปหรอกค่ะแม่ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าเขาจะให้แองจี้ไปแองจี้ก็จะลาออกค่ะ แองจี้ไม่ทิ้งแม่ให้อยู่คนเดียวหรอกค่ะ”
เธอรีบตักกับข้าวเอาใจแม่
มาริสายิ้มให้ลูกสาว
พอทานข้าวเสร็จแล้วเธอก็บอกลูกว่า “แองจี้เดี๋ยวแม่ไปหาเพื่อนก่อนนะลูก อาจจะกลับช้าหน่อยหนูไม่ต้องรอแม่หรอกนะลูก”
“ค่ะแม่” เมษาพยักหน้ารับ
มาริสาหยิบกระเป๋าแล้วก็เดินออกไปเรียกแท็กซี่
“ไปโรงแรม……….ค่ะ” เธอบอกแท็กซี่แล้วก็นั่งเครียด มือกำสายสะพายกระเป๋าแน่น…ฉันจะต้องเข้มแข็ง
เมื่อไปถึงโรงแรมมาริสาก็รีบเดินไปที่ล๊อบบี้ “สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ” รีเซฟชั่นไหว้ยิ้มทักทาย
“คือฉันมาพบมิสเตอร์มอร์แกน แจ็คสันค่ะ” มาริสาบอกแล้วก็กำสายสะพายแน่นมือชื้นเหงื่อ
“รอสักครู่ค่ะ” พนักงานบอกแล้วก็คีย์ข้อมูลลงคอม
โอเวนกำลังคุยกับรีเซฟชั่นอีกคนอยู่ตรงเคาน์เตอร์พอดี พอได้ยินชื่อมอร์แกน แจ็คสันเขาก็หันไปมองทันที…นั่นมิสมาริสา บุญรักษ์นี่นา!
เขารีบเดินห่างออกไปโทรหาเจ้านายทันที
“มาร์ค มิสมาริสา บุญรักษ์มาขอพบพ่อนายอยู่ที่ล็อบบี้”
“เธอมาทำไม?” มาร์คัสสงสัย
“ไม่รู้ซิ นายจะให้ทำยังไง?” โอเวนถาม สายตาก็คอยมองผู้หญิงคนนั้น
รีเซฟชั่นเงยหน้าถามว่า “ขอประทานโทษค่ะ มอร์แกน แจ็คสันสะกดยังไงคะ?”
มาริสาหยิบกระดาษปากกาเขียนชื่อส่งให้
“รอสักครู่ค่ะ” รีเซฟชั่นคีย์ข้อมูล
มาร์คัสครุ่นคิด แล้วก็บอกว่า “งั้นนายบอกเธอว่าเดี๋ยวฉันไปพบ”
“โอเค” โอเวนรับคำสั่งแล้วก็เก็บโทรศัพท์
รีเซฟชั่นเงยหน้าขึ้น “ไม่มีแขกชื่อมอร์แกน แจ็คสันค่ะ”
มาริสาอึ้งไป “เอ่อ…ช่วยเช็กอีกทีได้ไหมคะ?”
“ค่ะ รอสักครู่ค่ะ” รีเซฟชั่นก้มหน้าคีย์อีกครั้ง
โอเวนเดินเข้าไปหามาริสาทักทายเป็นภาษาอังกฤษว่า “สวัสดีครับ มาดามมาพบมิสเตอร์มอร์แกน แจ็คสันใช่ไหมครับ?”
มาริสาหันไปมอง “ค่ะ”
“งั้นเชิญนั่งรอก่อนครับ อีกสักครู่เขาจะลงมาพบมาดามครับ” โอเวนผายมือไปทางโซฟารับแขก
มาริสามองอย่างครุ่นคิด
รีเซฟชั่นเงยหน้าบอก “ไม่มีแขกชื่อมอร์แกน แจ็คสันเข้าพักค่ะ”
มาริสาหันไปก้มหัวให้ “ขอบคุณค่ะ”
แล้วเธอก็หันไปมองฝรั่งตัวสูงใหญ่ในชุดสูทราคาแพง
“เชิญครับ” โอเวนผายมือ
มาริสามองอย่างตัดสินใจ…เขาคงไม่ได้ลงชื่อเข้าพักแน่ๆ แล้วผู้ชายคนนี้คงเป็นบอดี้การ์ดของเขา
เธอเดินไปนั่งรอมือกำสายกระเป๋าชื้นเหงื่อ เมื่อกำลังจะได้พบกับมอร์แกน แจ็คสันอีกครั้ง
พนักงานเดินเข้ามาเสิร์ฟน้ำแล้วก็ยื่นเมนูเครื่องดื่มให้
มาริสาโบกมือ “ขอบคุณค่ะ”
พนักงานถือเมนูกลับไป
โอเวนถอยไปยืนคอยอยู่ห่างๆ เมื่อเห็นเจ้านายเดินมาเขาก็บอกว่า “บอสมาแล้วครับมาดาม”
มาริสามองหนุ่มฝรั่งรูปหล่อที่กำลังเดินเข้ามา เค้าหน้านั้นละม้ายคล้ายมอร์แกน แจ็คสันอยู่มาก
มาร์คัสยื่นมือไปทักทาย “สวัสดีครับ”
มาริสาลุกขึ้นยืนยื่นมือไปจับตามมารยาท “สวัสดีค่ะ คุณคือมาร์คัสซินะ?”
“ครับ” มาร์คัสพยักหน้ารับ
“เชิญนั่งค่ะ” มาริสาบอกแล้วก็นั่งลง
มาร์คัสนั่งลงตรงข้าม พนักงานเดินเข้ามาเสิร์ฟน้ำแล้วก็รีบถอยไปเมื่อเห็นชายหนุ่มโบกมือว่าไม่ต้องการสั่งเครื่องดื่ม
“ฉันต้องการพบมิสเตอร์มอร์แกนค่ะ” มาริสาบอก
“คุณพ่ออยู่ที่นิวยอร์กครับ ถ้าคุณต้องการพบเขาคุณก็ต้องไปนิวยอร์กครับ” มาร์คัสบอกน้ำเสียงราบเรียบ แววตาเรียบเฉยจนไม่อาจเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ “คุณพ่ออยากพบคุณมาก”
มาริสาหน้าตึงทันควัน “จะอยากพบเพื่ออะไร? ฉันกับเขาไม่มีอะไรจะต้องพูดกันอีก มันจบไปแล้ว ฝากบอกคุณพ่อคุณด้วยว่าอย่ามายุ่งกับฉันและลูกสาวของฉัน เธอเป็นลูกของฉันคนเดียว ถ้าคุณคิดจะบอกอะไรกับเธอฉันจะพาเธอหนีไปให้ไกลๆ เลย!”
เธอบอกน้ำเสียงแข็งกร้าวแล้วก็ลุกไป
มาร์คัสมองตามไป
เมษาไปทำงานได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว เธอรู้สึกอึดอัดกับสายตาของเจ้านายน้อยลง และก็ได้รู้ว่าโอเวนกับแอนนาน่าจะชอบพอกันอยู่
เธอทำงานคล่องขึ้นจนแอนนาปลื้มปริ่ม
“บอสคะ คืนนี้บอสต้องไปร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวบูทขายสินค้าหารายได้เพื่อการกุศลของสมาคมภริยาทูตที่อิมแพ็คอารีน่าฯนะคะ บอสจะควงใครไปร่วมงานด้วยคะ ตอนนี้มิสโมนากับมิสแอลล่าบินมาร่วมงานแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่กรุงเทพฯ พอดี” แอนนารายงานในตอนเช้า
เมษาได้ยินชื่อก็นึกถึงนางแบบดังระดับโลกที่มีข่าวว่าเป็นแฟนของเจ้านายตัวเอง
มาร์คัสละสายตาจากหน้าจอมองรองเลขาท่าทางครุ่นคิด “อืม…โมนาเริ่มวุ่นวายสร้างข่าวอยู่เรื่อย ตัดออกไปได้เลย ส่วนแอลล่าก็พูดมากเกินจนน่ารำคาญ ตัดไปด้วยล่ะกัน”
“อ้าว…แล้วบอสจะควงใครไปร่วมงานด้วยล่ะคะ? หรือว่าบอสจะฉายเดี่ยวคะ?”
“อืม…ผมคิดว่าคุณเตรียมตัวเป็นคู่ควงไปงานด้วยกันดีกว่า” มาร์คัสสั่ง
โอเวนชะงักกึก!
เขาเงยหน้ามองเจ้านายเขม็ง
“นายไปหาผู้หญิงคนอื่นเลย แอนนาต้องไปกับฉัน!” เขาบอกเสียงต่ำหน้าตาขึงขัง
“อ้าว…เฮ้! นี่นายจะให้ฉันฉายเดี่ยวออกงานไม่ได้นะ เสียชื่อซีอีโออย่างฉันหมดน่ะซิ ฉันต้องมีคู่ควงไปงานด้วยนะ!” มาร์คัสชะโงกหน้าไปจ้องหน้าเลขาหนุ่ม
โอเวนจ้องตาเจ้านายแล้วก็หยิบไอแพ็ดขึ้นมาจิ้มๆ พักนึง จากนั้นก็ยื่นไอแพ็ดให้เจ้านาย “นายเลือกมาเดี๋ยวฉันติดต่อให้”
มาร์คัสรับไอแพ็ดไปดู เป็นรายชื่อดารานางแบบในไทยของเอเจนซี่ดัง เขาเลื่อนหน้าจอไปมาแล้วก็ยื่นไอแพ็ดคืน “ไม่เอาล่ะ ขืนควงผู้หญิงพวกนี้ไปงานด้วยมีหวังเกาะติดฉันเป็นเหาฉลามแน่”
“แล้วแต่นายเลย” โอเวนรับไอแพ็ดคืนมาแล้วก็ง่วนกับการทำงานต่อ
มาร์คัสมองเลขาหนุ่มด้วยสายตาอ้อนๆ “เฮ้! นายจะปล่อยให้ฉันไปงานคนเดียวจริงๆเหรอ? โอ้โน! เฮ้! ให้ฉันควงแอนนาไปออกงานแค่คืนเดียวเอง พลีสสสสส…”
โอเวนเงยหน้ามองเจ้านายสายตาแข็งกร้าว พูดเสียงต่ำเย็นชาว่า “ไม่”
มาร์คัสสะบัดหน้าพรึ่ด พึมพำขมุบขมิบ
โอเวนจ้องเจ้านายเขม็ง ชูกำปั้นขึ้น
มาร์คัสยกมือยอมแพ้ “โอเคๆ”
เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พ่นลมหายใจ แล้วสายตาก็สะดุดกับรองเลขาสาวอันดับสอง สายตาคมพินิจพิจารณาใบหน้าคนที่กำลังง่วนกับงานตรงหน้า
“แอนนา ฉันส่งคำสั่งไปให้สาขาโตเกียวเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“โอเค แล้วงบการเงินของอาทิตย์ที่แล้วจากปารีสส่งมาหรือยัง?”
“ยังค่ะ”
“โอเค งั้นเดี๋ยวฉันตามเรื่องเอง” แล้วแอนนาก็หยิบโทรศัพท์เดินห่างออกไป
เมษามองตามแอนนาแล้วก็หันกลับมามองหน้าจอโน๊ตบุ๊ค แล้วก็สบตากับเจ้านาย เธอรีบก้มหน้ามองจอทันที
มาร์คัสมองรองเลขาอันดับสองอย่างตัดสินใจ “เมษา คุณไปงานคืนนี้กับผมล่ะกัน”
“ห๊า!” เมษาตกใจเงยหน้าจ้องเจ้านายตาโต
โอเวนละสายตาจากหน้าจอมองเจ้านายและรองเลขาอันดับสอง แล้วก็หันไปชูนิ้วโป้งให้เจ้านาย “เยี่ยม! นายควรจะพาเธอไป”
มาร์คัสขึงตาใส่เลขาหนุ่ม
โอเวนเมินสายตาของเจ้านายแล้วก็หันไปมองรองเลขาอันดับสอง เขาหันไปเรียกลูกน้องสาว “แอนนา”
แอนนาคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วก็รีบเดินไปหาเจ้านาย “มีอะไรคะ?”
“คืนนี้บอสจะพาเมษาไปงานด้วย คุณพาเธอไปช็อปปิ้งนะ” โอเวนสั่งแล้วก็หันไปทำงานต่อ
“ค่ะบอส” แอนนาพยักหน้ารับ
“ผมไปด้วย” มาร์คัสบอกแล้วก็ปิดโน๊ตบุ๊ค ลุกขึ้นยืน
โอเวนรีบปิดโน๊ตบุ๊คทุกเครื่องแล้วก็โทรหาโรเจอร์ พอปลายสายรับโทรศัพท์เขาก็สั่งว่า “บอสจะไปช็อปปิ้งที่……….”
“โอเค” โรเจอร์รับคำแล้วก็วางสาย
เมษาได้แต่มองทุกคนตาปริบๆ “เอ่อ…”
“มาเร็วเมษา” แอนนาจัดแจงหยิบกระเป๋าแล้วก็คว้าแขนรองเลขาอันดับสองรั้งให้ลุกขึ้นเดินออกจากห้อง
“เดี๋ยวๆๆๆ แอนนา ฉันไม่ไปงานกับบอสหรอก” เมษาขืนตัว
“ทำไม?” มาร์คัสถามเสียงเรียบ
เมษาหันไปมองเจ้านาย “คือฉันไม่เคยไปงานแบบนี้เลยค่ะ ฉันกลัวว่าจะไปทำอะไรให้บอสต้องขายหน้าน่ะค่ะ บอสหาผู้หญิงคนอื่นเถอะค่ะ”
“ไม่เป็นไร ผมจะดูแลคุณเอง” มาร์คัสบอก
“ไม่ดีกว่าค่ะ” เมษายืนกราน
“ไปเถอะเมษา อีกหน่อยคุณก็ต้องออกงานแบบนี้บ่อยๆ เพราะคุณเป็น…”
“แอนนา!” มาร์คัสเรียกเสียงดังจนสองสาวสะดุ้ง
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันใด
แอนนายกมือปิดปากหน้าซีด เหลือบมองบอส
โอเวนรีบแก้สถานการณ์ “เพราะคุณเป็นเลขาไงครับ”
“คุณควรจะทำตัวให้เคยชินกับการออกงานเข้าไว้ คุณต้องฝึกออกงานบ่อยๆ เพราะสถานะภาพของคุณเปลี่ยนไปแล้ว แต่ถ้าคุณไม่ไปก็ไม่เป็นไร ผมจะได้หาเลขาใหม่” มาร์คัสบอกเสียงราบเรียบ
เมษาหน้าเหวอ “เอ่อ…”
ไรอ่ะ ไม่ไปงานด้วยก็จะไล่ออกเลยเหรอ?
“คุณจะไปหรือไม่ไป?” มาร์คัสถามน้ำเสียงเฉยเมย
“ไปค่ะ ไป” เมษาพยักหน้าอย่างไม่มีทางเลือก
โอเวนมองแล้วก็เดินออกจากห้องไป
มาร์คัสเดินเข้าไปจับข้อมือรองเลขาอันดับสองจูงให้เดินไปด้วยกัน
เมษาเดินตามไปอย่างงงๆ “เอ่อ…”
พอตั้งสติได้เธอก็พยายามบิดข้อมือออกจากอุ้งมือนุ่ม
“บอสคะ ปล่อยค่ะ” เธอกระซิบบอกเบาๆ อย่างอึดอัดใจ
มาร์คัสมองข้อมือเล็กในอุ้งมือตัวเองแล้วก็มองวงหน้าของรองเลขาอันดับสอง เขาใช้มืออีกข้างลูบหัวเธอเหมือนกำลังลูบหัวเด็กตัวเล็กๆ “เป็นเด็กดีนะ”
เมษามองอย่างอึ้งๆ วางตัวไม่ถูก ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ “เอ่อ…”
เธอพูดอะไรไม่ออก
แอนนาเดินตามไป เห็นท่าทางเจ้านายที่ปฏิบัติต่อเมษาก็แอบยิ้ม เธอรีบเดินอ้อมคนทั้งสองไปเดินเคียงข้างกับโอเวน
มาร์คัสจูงแขนเมษาให้เดินไปด้วยกัน
โอเวนเดินไปกดลิฟท์ พอลิฟท์เปิดออกเขาก็มองสำรวจตรวจตราความปลอดภัยแล้วก็ก้าวเข้าไปในลิฟท์
แอนนาตามไปยืนข้างๆ
มาร์คัสจูงมือเมษาเดินตามเข้าไปในลิฟท์
เมษาพยายามแกะมือเจ้านายออก
“บอสคะ ปล่อยเถอะค่ะ” เธอกระซิบบอก
มาร์คัสไม่สนใจ ยังคงจับข้อมือน้อยเอาไว้อยู่อย่างนั้น
พอลิฟท์เปิดออก แอนนาก็เดินนำหน้าออกจากลิฟท์ เจอโรเจอร์ยืนคอยอยู่หน้าลิฟท์ เธอเดินนำหน้าทุกคนไปยังทางออกไปสู่สกายวอล์ก
มาร์คัสจูงมือเมษาเดินตามแอนนาไป
โอเวนกับโรเจอร์ก็เดินปิดท้ายคอยระวังรักษาความปลอดภัยให้เจ้านาย
แรกๆ ที่ต้องเดินแบบนี้ เมษาก็รู้สึกอึดอัด แต่พอนานเข้าเธอก็เริ่มเคยชิน ก็เจ้านายเธอรวยมหาศาลขนาดนี้ ลูกน้องก็ต้องคอยอารักขาแข็งขันเป็นธรรมดา
เมื่อไปถึงห้างดังอันเป็นศูนย์รวมสินค้าแบรนด์เนมระดับโลก มาร์คัสก็จูงเมษาเดินไปเลือกดูเสื้อผ้า
เมษาได้แต่มอง ไม่กล้าหยิบจับ เพราะรู้ว่าแต่ละตัวราคาแพงระยับขนาดไหน
“ไปเลือกซิ” มาร์คัสบอก
เมษาส่ายหน้า “ไม่ล่ะค่ะ แพงๆ ทั้งนั้นเลย”
เธอมองไปรอบๆ อย่างอึดอัดใจ
มาร์คัสปล่อยมือ แล้วก็เดินไปเลือกเอง เขาชี้ชุดราตรีที่คิดว่าน่าจะเข้ากับเมษาหลายตัว
พนักงานก็หยิบชุดมาถือรอ
“พาเธอไปลองชุด” มาร์คัสบอกพนักงาน
Chapter 10 ถูกหาเรื่อง
พนักงานสาวผายมือเชิญ “เชิญทางนี้ค่ะคุณผู้หญิง”
“คะ” เมษามองพนักงานสาวอย่างงงๆ
“เชิญคุณผู้หญิงไปลองชุดค่ะ” พนักงานสาวบอกอีกครั้ง
“ไม่ลองค่ะ ชุดแพงๆ ทั้งนั้นเลย ฉันกลัวว่าจะทำชุดเสียหายน่ะค่ะ” เมษาบอกแล้วก็รีบเดินเลี่ยงไป
มาร์คัสคว้าแขนหมับ “จะไปไหน?”
เขาหันไปเรียกแอนนา “แอนนา มานี่”
“คะบอส” แอนนาเดินเข้าไปหาเจ้านาย
“พาเธอไปลองชุดพวกนั้นซะ” มาร์คัสสั่งแล้วก็ดันตัวเมษาไปให้แอนนาจัดการ
“ค่ะบอส” แอนนาพยักหน้ารับแล้วก็ล็อกแขนเมษาพาเข้าห้องลองชุด “ตามฉันมาเมษา ห้ามดื้อนะ โอเค?”
เมษามองหน้าทุกคนแล้วก็เดินคอตกอย่างจำใจเข้าห้องลองชุด
พอลองสวมชุดแรกแล้วแอนนาก็พาเมษาออกมาอวดโฉมให้เจ้านายดู “คิดว่าไงคะบอส?”
มาร์คัสส่ายหน้า
แอนนารีบพาเมษาไปเปลี่ยนชุดใหม่
พอชุดที่สอง โอเวนกับโรเจอร์ก็ขยับเข้าไปยืนข้างหลังเจ้านาย
มาร์คัสส่ายหน้า แล้วก็หันไปมองลูกน้องทั้งสอง “พวกนายคิดว่าไง?”
โอเวนกับโรเจอร์ส่ายหน้าพร้อมกัน
แอนนารีบพาเมษาไปเปลี่ยนชุดใหม่
เมษารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตุ๊กตาที่กำลังถูกจับแต่งตัวอย่างไงอย่างงั้น
พอชุดที่สาม โรเจอร์พยักหน้ายกนิ้วว่าดี แต่สองหนุ่มจอมเจ้ากี้เจ้าการกลับทำมือไม่ชอบ
ชุดที่สี่ โอเวนชอบ แต่โรเจอร์กับมาร์คัสไม่ชอบ
เธอเปลี่ยนชุดไปหลายชุดแล้วแต่ก็ยังไม่มีชุดไหนที่จะทำให้สามหนุ่มเห็นพ้องต้องกันสักชุด จนกระทั่งชุดที่แปดสามหนุ่มจึงยกนิ้วไลค์พร้อมกัน
แอนนายิ้มหน้าบานอย่างสนุกสนานที่ได้ช่วยแต่งตัวให้เมษา
เมื่อเลือกชุดได้แล้ว มาร์คัสก็พาไปเลือกรองเท้ากับกระเป๋าต่อ
เมษาลองสวมรองเท้าหลายคู่ ลองเดินไปเดินมา ขณะที่กำลังจะเดินกลับไปนั่งถอดรองเท้าออกเธอก็ถูกลูกค้าคนหนึ่งซึ่งมัวคุยกับเพื่อนเดินมาชนเธอเข้าให้ พลั่ก!
“ว๊าย! แหกๆๆ”
“อุ๊ย!” เมษาเซถลา
“เมษา!”มาร์คัสรีบถลันเข้าไปประคองไว้ “เป็นอะไรรึเปล่า?”
เมษาเกาะเขาไว้แน่น พอตั้งสติได้เธอก็รีบผละออก “ขอบคุณค่ะ”
“เป็นอะไรรึเปล่า? เจ็บตรงไหนบ้าง?” มาร์คัสมองสำรวจไปทั่วทั้งตัวอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรค่ะ” เมษาบอกแล้วก็หันไปมองคนที่มาชนตัวเองซึ่งล้มลงไปนั่งแปะกับพื้น แก้วกาแฟหกรดตัว
สาวประเภทสองนางนั้นมองเมษาอย่างโมโห “นี่เธอ! เดินยังไงย่ะ ไม่มีตาดูรึไงถึงเดินมาชนคนอื่นเค้าแบบนี้น่ะห๊ะ! ดูซิ เสื้อผ้าฉันเลอะหมดแล้วเนี่ย”
เมษามองเฉย เพราะเธอไม่ได้เป็นฝ่ายผิด
เพื่อนของสาวสองนางนั้นรีบช่วยประคองเพื่อนขึ้นยืน “ต๊าย เป็นไรมากป่ะรูนนี่?”
“เป็นซะย่ะ! ดูซิเนี่ยชุดฉันเลอะหมดแล้ว” รูนนี่ลุกขึ้นมาโวยวายเสียงดัง
แอนนา โอเวน โรเจอร์ รีบเข้าไปล้อมเจ้านายไว้
“นี่เธอ! เสื้อชุดนี้ฉันแพงมากนะย่ะ เธอเดินไม่ดูตาม้าตาเรือมาชนฉันแบบนี้จ่ายค่าเสียหายฉันมาเลยนะเธอ”
“ทำไมฉันต้องจ่ายให้คุณด้วย คุณเดินมาชนฉันเองนะ” เมษาย้อนถามสีหน้าเรียบเฉย
“หนอย อีนี่ ถือว่าพวกมากกว่าแล้วกร่างเหรอย่ะ อีกระหรี่พัฒน์พงษ์” รูนนี่ชี้หน้าด่ากราด
สี่ฝรั่งแม้จะฟังไม่ออกแต่ก็พอเดาได้จากท่าทางอีกฝ่ายว่าพวกเขากำลังถูกด่า ก็ไม่พอใจ
ผู้จัดการร้านรีบเดินออกมาเคลียร์
“มีปัญหาอะไรรึ?” เขาถามพนักงาน
“คือคุณสาวสองคนนั้นน่ะค่ะเดินเข้ามาในร้านแล้วก็มาชนคุณผู้หญิงคนนั้นน่ะค่ะ” พนักงานรีบกระซิบบอก
ผู้จัดการมองสำรวจสาวสองทั้งสองคนแล้วก็หันไปมองสำรวจกลุ่มฝรั่ง แค่มองปราดเดียวเขาก็รู้ว่าควรจะเอาอกเอาใจฝ่ายไหนดี เขารีบปราดเข้าไปพูดกับสาวสองว่า “คุณผู้หญิงครับ คุณกำลังรบกวนลูกค้าท่านอื่นอยู่นะครับ มีปัญหาอะไรเชิญไปคุยกันในห้องทำงานผมดีกว่าครับ”
“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละจนกว่านังชะนีนี่จะจ่ายค่าเสียหายให้ฉัน” รูนนี่ยืนกรานอย่างโกรธจัด
“มาทางนี้เมษา” มาร์คัสดึงตัวเมษาไปนั่งที่โซฟา ไม่ได้สนใจสองสาวข้ามเพศเลยสักนิด
“เอ้าๆ จะหนีไปไหนล่ะนังชะนี?” รูนนี่ถลันจะตามไปเอาเรื่อง
โอเวนกับโรเจอร์ยืนขวางเต็มที่
รูนนี่ไม่กล้าฝ่าทั้งสองคนตามไป ได้แต่ถอยไปยืนกระฟัดกระเฟียด “ถือว่าพวกมากกว่าเหรอนังชะนีหน้าวอก”
แอนนาเดินตามเจ้านายไป
เมษาไม่สนใจคู่กรณีเลย เธอนั่งลงถอดรองเท้าออก
มาร์คัสก้มลงถอดรองเท้าให้
“อุ๊ย บอสไม่ต้อง” เมษาตกใจรีบบอก
มาร์คัสไม่สนใจท่าทีห้ามปราม เขาถอดรองเท้าให้แล้วก็หยิบรองเท้าคู่เดิมมาสวมให้
“บอสคะ ฉันใส่เองได้ค่ะ” เมษาบอกพยายามจะดึงขาออกจากอุ้งมือนุ่ม
มาร์คัสจ้องหน้าเมษา “เป็นเด็กดีนะ อยู่นิ่งๆ ซิ”
เมษาอยากจะหดขากลับ แต่ก็ถูกสายตาคู่นั้นสะกดเอาไว้
มาร์คัสบรรจงสวมรองเท้าให้ แล้วก็ลุกขึ้นยืน เขาชี้ไปที่รองเท้าคู่ที่สามที่หญิงสาวได้ลองสวม แล้วก็สั่งแอนนาว่า “เอาคู่นี้”
“ค่ะบอส” แอนนารับคำสั่งแล้วก็หันไปบอกพนักงานขาย
พนักงานขายอีกคนรีบเข้าไปหยิบรองเท้ามาโดยไม่ต้องรอให้สาวฝรั่งบอก “จ่ายเป็นเครดิตการ์ดหรือเงินสดคะ?”
“เครดิตการ์ดค่ะ” แอนนาตอบแล้วก็เดินตามพนักงานขายไปจ่ายเงิน
ผู้จัดการมองลูกค้าแล้วก็หันไปพูดกับสาวสองว่า “ถ้าคุณยังโวยวายอยู่อย่างนี้ ผมคงต้องเรียกรปภ.มาเชิญคุณออกไปแล้วล่ะครับคุณผู้หญิง”
“นี่แก กล้าไล่ฉันเหรอย่ะ!” รูนนี่โวยวาย
ผู้จัดการจึงหันไปสั่งพนักงานว่า “โทรตามรปภ.”
“ค่ะผู้จัดการ” พนักงานรีบโทรเรียกรปภ.ทันที
สาวสองโมโหจัด “คอยดูนะ ฉันจะไม่มาเหยียบร้านนี้อีกเลย ไอ้ร้านเฮงซวย ไป แม็กกี้”
รูนนี่สะบัดหน้าเดินตึงๆ ออกจากร้านไป แม็กกี้รีบตามไป
ผู้จัดการร้านพ่นลมหายใจแล้วก็สั่งพนักงานว่า “รีบทำความสะอาดซิ”
“ค่ะผู้จัดการ” พนักงานรีบเข้าไปทำความสะอาด
ผู้จัดการหันไปก้มหัวให้สองฝรั่งที่ยืนขวางอย่างเหนียวแน่น “ผมขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ครับ”
แล้วเขาก็เดินผ่านทั้งสองคนไป โค้งคำนับลูกค้า “ผมขอโทษครับที่ต้องเจอเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ ขอโทษจริงๆ ครับ”
มาร์คัสหันไปมอง “ไม่เป็นไร”
แอนนาหิ้วถุงใส่รองเท้าเดินกลับไปหาเจ้านาย “โอเค เราจะไปไหนต่อคะ?”
“กลับโรงแรม” มาร์คัสสั่งแล้วก็หันไปยื่นมือให้เมษา
เมษามองมือนั้น “ขอบคุณค่ะ”
แต่เธอก็ไม่จับมือเขา ดีดตัวลุกขึ้นยืนอย่างกระฉับกระเฉง
มาร์คัสหดมือกลับสีหน้าเรียบเฉย เขาเดินนำหน้าออกจากร้านไป
โรเจอร์รีบเดินตามไป
แอนนาขยับเข้าไปคล้องแขนเมษาให้เดินไปด้วยกัน “ฉันคิดว่าเขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ มาชนคุณแล้วยังจะมาโวยวายอีก”
เมษายิ้ม “อย่าไปสนใจเลย”
โอเวนเดินปิดท้าย
พนักงานขายพนมมือไหว้ลูกค้า “ขอบพระคุณค่ะ”
เมื่อลูกค้าออกไปแล้ว พนักงานขายก็กระซิบคุยกันว่า “แหมนังกระเทยบ้านั่นไม่น่าโผล่มาเลยอ่ะ ดูซิเลยขายได้คู่เดียวเอง”
“นั่นซิ แต่ฉันอิจฉาผู้หญิงคนนั้นจัง แฟนหล่อๆ รวยๆ เมื่อไหร่จะมีแบบนั้นบ้างน้อ?”
“เอ้าๆ มัวแต่ยืนคุยกันอยู่นั้นแหละ” ผู้จัดการดุลูกน้อง
เมื่อกลับถึงโรงแรม แอนนาก็พาเมษาไปสปา จัดคอร์สเสริมความงามชุดใหญ่ตั้งแต่หัวจรดเท้า
ส่วนมาร์คัสก็ไปเดินเลือกของบางอย่างกับโอเวนและโรเจอร์ภายในพลาซ่าของโรงแรม หลังจากเลือกซื้อของได้แล้วก็พากันกลับห้องพัก
เมษาส่งไลน์บอกแม่ว่าคืนนี้จะกลับดึก เพราะต้องไปงานเลี้ยงกับเจ้านาย
มาริสาอ่านข้อความแล้วก็ส่งสติ๊กเกอร์ตอบ
ภายในสปา พนักงานกำลังตัดแต่งเล็บมือเล็บเท้าให้ลูกค้าสาวทั้งสองคน
เมษาได้แต่คิดว่า แค่แต่งตัวไปงานเลี้ยงแค่นี้ต้องเล่นใหญ่เบอร์นี้เลยเหรอ ทั้งขัดหน้านวดหน้า ขัดผิดนวดตัว ทำเล็บ อะไรจะอลังการงานสร้างขนาดนี้…
สองสาวใช้เวลาอยู่ในสปาถึงสี่ชั่วโมงจึงจบคอร์สเสริมความงาม หลังจากนั้นแอนนาก็พาเมษากลับไปที่ห้องพักของตัวเอง
“เอาล่ะถึงห้องแสนรักแล้ว” แอนนาเปิดประตูห้องพักแล้วก็พาเมษาเข้าห้อง “คุณไปใส่ชุดนี้นะ”
“โอเค” เมษารับชุดเดรสแสนแพงมาถือไว้แล้วก็เดินเข้าไปเปลี่ยนชุดภายในห้องน้ำ
เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้น แอนนาเดินไปเปิดประตู สามหนุ่มยืนออกันอยู่หน้าประตู
“ทุกอย่างเรียบร้อยไหม?” โอเวนถาม
“เพอร์เฟค” แอนนาตอบแล้วก็หมุนตัวเดินเข้าห้อง
สามหนุ่มเดินตามเข้ามา
โอเวนวางกล่องกำมะหยี่ลงบนโต๊ะกระจก
แอนนาเดินไปหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางออกมา เปิดวางเรียงราย แล้วเธอก็เดินเข้าห้องนอนไปเลือกชุดเดรสที่จะใส่ไปงานคืนนี้
เมษาเดินออกมาจากห้องน้ำเห็นสามหนุ่มนั่งอยู่ในห้องรับแขกก็ชะงักไป
มาร์คัสกวักมือ “มานี่ซิ”
เมษาเดินไปหาอย่างงงๆ…มีไรอีกหว่า?
“มานั่งนี่” มาร์คัสชี้ไปที่เก้าอี้
เมษาเดินไปนั่งอย่างงงๆ แล้วโอเวนกับโรเจอร์ก็ขยับเข้ามา หยิบแปรงหวีผมกับไดร์เป่าผมตั้งท่า
เมษาหันไปมองอย่างงงๆ “เอ่อ…พวกคุณจะทำอะไรคะ?”
“เวลคัม ทู โอเวนแอนด์โรเจอร์ ซาลอน” สองหนุ่มพูดพร้อมกัน
เมษาหน้าเหวอ อ้าปากค้าง “ห๊ะ!”
โอเวนกับโรเจอร์ไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบผ้าคลุมไหล่แบบที่ใช้ในร้านเสริมสวยคลุมลงบนไหล่บอบบาง แล้วลงมือจัดแต่งทรงผมให้หญิงสาว
เมษาได้แต่เหลือบมองอย่างอึ้งๆ “นี่มันอะไรกันคะบอส?”
มาร์คัสนั่งลงมองสองหนุ่มช่วยกันทำผม
จากท่าทางของทั้งสองเมษาคิดได้แค่อย่างเดียวว่า…มืออาชีพชัดๆ
“วางใจได้เมษา สองคนนี้เคยเป็นช่างเสริมสวยมาก่อน” มาร์คัสพูด “โอเวนกับโรเจอร์เคยได้รับรางวัลที่ 1 ในงานประกวดระดับนานาชาติมาแล้วหลายครั้ง ตอนนี้พวกเขาเป็นบอสของ……….น่ะ”
เมษาได้ยินชื่อร้านก็ตาโต เพราะเป็นร้านเสริมสวยแบรนด์ดังมีสาขาทั่วโลก ไม่น่าเชื่อนี่เธอกำลังถูกช่างระดับตำนานทำผมให้อยู่เหรอ? อร๊ายยยยยย…
ครึ่งชั่วโมงต่อมาสองหนุ่มก็วางแปรงหวีผมกับไดร์เป่าผมลง “โอเค เพอร์เฟค”
มาร์คัสลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปมองใกล้ๆ แล้วก็ชูนิ้วให้สองหนุ่ม “เพอร์เฟค”
เมษาได้แต่มองสามหนุ่มอย่างอึ้งๆ อยากจะลุกไปส่องกระจกแทบแย่
“เมษามานั่งนี่ซิ” มาร์คัสชี้ไปที่โซฟา
“คะ?” เมษาลุกไปนั่งอย่างงงๆ…จะทำไรอีกล่ะหว่า?
แอนนาเดินออกมาจากห้องนอน แล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่เมษาเพิ่งลุกไป
โรเจอร์หยิบผ้าคลุมไหล่มาคลุมให้แอนนา แล้วก็หยิบแปรงกับไดร์เป่าผมขึ้นมาลงมือจัดการทำผมให้รองเลขา โอเวนก็ช่วยอีกคน
“ขอบคุณุค่ะบอส ขอบคุณค่ะโรเจอร์” แอนนาพูดกับสองหนุ่มแล้วก็นั่งนิ่งอย่างคุ้นเคย
มาร์คัสเดินไปนั่งข้างๆ เมษาแล้วก็หยิบหลอดเซรั่มบำรุงผิวขึ้นมา เขาบีบเซรั่มออกมา แล้วก็แตะลงบนผิวหน้าของเมษา
เมษาผงะเอนตัวหนี “เอ่อ…”
“อย่าขยับ” มาร์คัสสั่งแล้วก็ยื่นมือไปแตะเซรั่มบนผิวหน้าเนียน
เมษาได้แต่มองเขาอย่างงงๆ
นิ้วยาวนุ่มค่อยๆ เกลี่ยเซรั่มไปทั่วผิวหน้าอย่างแผ่วเบา พอลงเซรั่มเสร็จแล้วมาร์คัสก็หันไปเลือกครีมรองพื้น
ท่าทางที่หยิบจับเครื่องสำอางบอกได้ว่าเขามีความคุ้นเคยกับเครื่องสำอางเหล่านี้มากทีเดียว
เขาหยิบครีมรองพื้นบีบเนื้อครีมออกมา แล้วค่อยๆ บรรจงแต้มลงบนผิวเนียน
“บอสแต่งหน้าเป็นด้วยเหรอคะ?” เมษาถามเหมือนเห็นสิ่งมหัศจรรย์
“เป็นซิ เชื่อใจผมนะ โอเค? ผมเนี่ยมืออาชีพเลยล่ะ เคยช่วยโอเวนทำงานที่ร้านด้วยนะ” มาร์คัสบอก
เมษาได้แต่มองอย่างอึ้งๆ
หลังจากทำผมให้แอนนาเสร็จแล้ว โอเวนก็ลงมือแต่งหน้าให้รองเลขาเอง
โรเจอร์กระซิบกับโอเวนแล้วก็เดินออกจากห้องไป