บทที่ 809 พวกเราล้วนเป็นคนที่ใช้คำว่าอาจารย์เหมือนกัน
คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งดังจบ ทันใดนั้นบ่อสายฟ้าที่ปกคลุมแค่ขอบเขตของวังหลวงซึ่งเดิมทีมีลางว่าจะหายไปแล้วกลับระเบิดเสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าออกมา ก่อนที่บ่อสายฟ้านั้นจะหมุนคว้างอย่างรวดเร็ว
ตามหลังการหมุนวน มันก็พลันหดเล็กลง เสียงฟ้าร้องดังก้องกังวานติดต่อกันอยู่หลายครั้ง ยิ่งตรงจุดศูนย์กลางของบ่อสายฟ้าที่หมุนคว้างนี้ก็ถึงกับมีหลุมดำปรากฏขึ้น!
มองปราดๆ หลุมดำนี้คล้ายกับดวงตาที่กำลังจ้องมองมายังตำหนักเทียนซือซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ข้างใน ราวกับต้องการจะมองลอดทะลุตำหนักใหญ่มาให้เห็นป๋ายเสี่ยวฉุน
อีกทั้งภายใต้การหมุนวนและตามหลังการหดเล็กลงของบ่อสายฟ้านี้ ในน้ำวนสีดำก็มีคลื่นขุมหนึ่งที่เกินกว่าตบะคนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบระเบิดอออกมาอย่างแกร่งกร้าวมากขึ้นทุกขณะ!
เห็นได้ชัดว่าจะมีสายฟ้าผ่าลงมาอีกครั้งจริงๆ!!
แม้แต่ต้าเทียนซือก็ยังมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาถึงกับผุดลุกขึ้นยืน ขมวดคิ้วมองไปยังท้องฟ้า
ภาพนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจสะดุ้งโหยง พอเห็นว่าน้ำวนบ่อสายฟ้ายิ่งหดเล็กลงเรื่อยๆ อานุภาพของหลุมดำก็ยิ่งแข็งแกร่ง หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต้นกระหน่ำ ร้องคร่ำครวญอยู่ในใจตัวเอง
“ข้าปากเสียแท้ๆ …ท่านปู่สวรรค์ ข้า…ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ไม่ต้องมานะ ไม่ต้องมาอีกแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะร้องไห้เต็มแก่
แม้เขาจะไม่รู้ว่าอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินคนอื่นๆ ต้านทานทัณฑ์อสนีกันได้อย่างไร แต่เขาก็เข้าใจดีว่าครั้งแรกนั้นอาจง่าย ส่วนครั้งที่สองหากเปลี่ยนมาเป็นเขาแล้วทุ่มเทสุดความสามารถก็ยังพอต้านรับไว้ได้ไหว ทว่าหากการต้านรับผ่านพ้นไปแล้ว เกรงว่าเขาเองก็คงบาดเจ็บสาหัส อ่อนแออย่างถึงที่สุด ส่วนรอบที่สาม…ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้านทานเอาไว้ได้เลย อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้เป็นคนฟ้าก็คงมีอกสั่นขวัญผวากันบ้าง
“ข้าผิดไปแล้ว…ข้าผิดไปแล้วจริงๆ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตัวสั่นเทิ้มพึมพำอยู่ในใจตัวเองไม่หยุด เขารู้สึกว่าตนไม่ควรไปท้าทายท่านปู่สวรรค์จริงๆ …นี่มันเสี่ยงเกินไปแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนนั้นที่ตัวเองอยู่สำนักธาราเทพ มีครั้งหนึ่งที่ทดลองขี่กระบี่บินแล้วโดนสายฟ้าไล่ผ่าจนหวิดเอาชีวิตไม่รอด
ยามนี้คนอื่นๆ ในตำหนักก็พากันสูดลมหายใจดังเฮือกด้วยสีหน้าปั้นยาก แต่ละคนเหลือบมองป๋ายเสี่ยวฉุน เพราะปากของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นช่างอัปมงคลยิ่งนัก ดันท้าให้ทัณฑ์สวรรค์ผ่าลงมาอีกครั้ง และบ่อสายฟ้าที่เดิมทีกำลังจะสลายไปแล้ว มาตอนนี้กลับ…ทำท่าจะผ่าลงมาอีกจริงๆ
ภาพนี้ทำให้พระยาสวรรค์หลายคนแช่มชื่นอยู่ในใจ แต่อย่างพวกเฉินฮ่าวซงกลับรู้สึกสะท้านสะเทือนอารมณ์ ตกตะลึงยิ่งกว่าตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมไฟสิบแปดสีออกมาได้ก่อนหน้านี้เสียอีก
“จะเป็นไปได้อย่างไร!!”
“ประโยคเดียวของเขา…กลับทำให้ทัณฑ์สวรรค์ผ่าลงมาอีกครั้ง นี่…ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ทัณฑ์สวรรค์เอามาล้อเล่นได้แบบนี้!!”
“บนร่างของป๋ายฮ่าว…ซุกซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่ เรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อ เกินคาดคิดไปแล้ว…ผิดปกติ…!!”
ขณะที่พวกเจ้าพระยาสวรรค์กำลังครุ่นคิดด้วยความหวาดกลัว น้ำวนสายฟ้าบนนภากาศก็ยังคงส่งเสียงดังกึกก้อง แล้วหดมาเข้ามารวมอยู่ในหลุมดำตรงกลางพร้อมกันทั้งหมด ท่ามกลางความหวาดผวาของป๋ายเสี่ยวฉุน มันก็พลันบังเกิด…สายฟ้าสีม่วงอมทองเส้นหนึ่ง!
สายฟ้านี้ไม่ได้หนาใหญ่เท่าสองเส้นแรก มองดูแล้วธรรมดาอย่างมาก
แต่ชั่วขณะที่เผยตัวขึ้นมา ผู้ฝึกวิญญาณทุกคนในนครจักรพรรดิขุยที่มองเห็นกลับมีเสียงดังอึงอลเกิดขึ้นในสมอง
พวกพระยาสวรรค์ที่อยู่ในตำหนักเทียนซือพากันสูดลมหายใจดังเฮือก
พวกเฉินฮ่าวซ่งก็หน้าเปลี่ยนอย่างพร้อมเพรียงกัน!
“ทัณฑ์อสนีครึ่งเทพ!!” หลังจากที่สี่คำนี้หลุดออกมาจากปากของต้าเทียนซือ ร่างของเขาก็พลันกระโดดผลุงขึ้นแล้วหายวับไป มาปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่นอกตำหนักเทียนซือแล้ว
แทบจะขณะเดียวกันกับที่เขาเผยกาย มังกรทองที่หลบไปอยู่ไกลๆ ก็ร้องคำรามหนึ่งครั้ง ก่อนจะสะบัดร่างกลายเป็นแสงสีทองเส้นหนึ่งที่ตรงดิ่งเข้าหาต้าเทียนซือ ร่างของมันหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวก็กลายมาเป็นตรีศูลสีทองเล่มหนึ่งที่ถูกต้าเทียนซือ…คว้าจับไว้ในมือ
และเวลานี้เอง สายฟ้าสีม่วงปนทองเส้นนั้นก็พุ่งปราดลงมายังตำหนักเทียนซือ!
เสียงแหลมแหวกอากาศดังมาตลอดทาง ทำให้ทุกคนที่ได้ยินแสบร้าวแก้วหู และความว่างเปล่าก็ถึงขั้นถูกผ่าให้แตกออก!
ต้าเทียนซือหรี่ตาทั้งคู่ลง มือขวาจับตรีศูลสีทองไว้มั่น ครั้นจึงพลันเงื้อตรีศูลแทงเข้าใส่สายฟ้าสีม่วงอมทองที่ผ่าเปรี้ยงลงมาเส้นนั้น!
ตูม!
การโจมตีครั้งนี้ก่อให้เกิดเสียงแหวกอากาศเทียมฟ้าเช่นเดียวกัน ความว่างเปล่าพังถล่มทลาย ขณะเดียวกันด้านหลังของต้าเทียนซือก็มีเงามายาของตรีศูลขนาดใหญ่ยักษ์หนึ่งเล่มปรากฏขึ้น เงามายานี้ใหญ่นับหมื่นจั้งจนเหมือนจะกินพื้นที่ไปทั่วทั้งฟ้าดิน พอพุ่งทะยานขึ้นฟ้าก็ปะทะเข้ากับสายฟ้าสีม่วงอมทองนั่นโดยตรง
ตูมๆๆๆ!
เสียงกัมปนาทสั่นสะเทือนฟ้าดินถึงกับทำให้ทั้งนครจักรพรรดิขุยโยกไหว สายฟ้าสีม่วงอมทองแตกทลายเป็นเสี่ยงๆ ลงไปทีละชั้น ส่วนต้าเทียนซือยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ถอยไม่ขยับ แม้แต่สีหน้าก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ!
เพียงแต่ว่าหลังจากที่สายฟ้าสีม่วงอมทองแตกกระจายออกกลับมีพายุบ้าคลั่งลูกหนึ่งพัดครืนครั่นออกมาจากภายในแล้วกวาดตะลุยไปรอบๆ ตำหนักเทียนซือ
เจ้าพระยาสวรรค์สิบคนที่อยู่ในตำหนักเทียนซือที่ต่อให้จะไม่เต็มใจแค่ไหน ทว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ก็จำต้องลงมือช่วยเหลือ พวกเขาหายตัววับไปในชั่วพริบตา พอปรากฏตัวอีกครั้งก็กระจายตัวกันอยู่แปดทิศของตำหนักเทียนซือ มือทั้งคู่ทำมุทราก่อนจะตบลงไปอย่างแรง ทำให้การโจมตีที่พัดกวาดไปทั่วทิศชะงักค้างอยู่เบื้องหน้าพวกเขา พลังทำลายล้างของการโจมตีนี้ถูกกำราบลงโดยพลัน!
และบัดนี้บนท้องฟ้าก็ไม่เหลือสายฟ้าใดๆ อีกแม้แต่เส้นเดียว ก้อนเมฆค่อยๆ เคลื่อนตัวกลับมาดังเดิม ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ…
ในตำหนักเทียนซือ ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจดังเฮือก ไม่กล้าพูดอะไรที่เป็นการท้าทายท่านปู่สวรรค์อีกแล้ว เพียงมองไปยังต้าเทียนซือและเจ้าพระยาสวรรค์สิบคนที่กลับเข้ามาในตำหนักตาปริบๆ
“ขอบพระคุณต้าเทียนซือ ต้าเทียนซือองอาจเกรียงไกร สง่าผ่าเผย!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบปรี่ขึ้นหน้าไปกุมมือคารวะต่ำๆ พร้อมเอ่ยหยั่งเชิงไปหนึ่งประโยค ขณะที่กำลังคิดว่าควรจะเอ่ยประจบอีกสักหน่อยดีหรือไม่นั้น ต้าเทียนซือก็พลันโบกมือ
“ปรมาจารย์ป๋าย ยินดีด้วยที่ได้เลื่อนขั้นเป็นชั้นดิน นับแต่วันนี้ไปตำแหน่งผู้ตรวจการคงไม่เหมาะสมกับปรมาจารย์ป๋ายอีกแล้ว ราชวงศ์ขุยของเรามีพื้นที่ต้องห้ามห้าแห่ง ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนมีประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจกับการหลอมวิญญาณทั้งสิ้น”
“ปรมาจารย์ป๋าย ไม่ทราบว่าหากจัดให้เจ้าไปทำความเข้าใจกับพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจี จะดีหรือไม่?” ต้าเทียนซือมองป๋ายเสี่ยวฉุนพลางเอ่ยเนิบช้า น้ำเสียงที่ใช้ก็แตกต่างไปจากที่เคยเป็นอย่างเห็นได้ชัด
เพราะอย่างไรซะป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ก็คือปรมาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินแล้ว!
เพียงแต่ว่าโจวอู่เต้าคือพระยาสวรรค์ การตายของเขาก็จำเป็นต้องมีคำอธิบาย
ป๋ายเสี่ยวฉุนเลื่อนขั้นเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินจึงไม่มีโทษตาย ทว่าก็ไม่เหมาะสมที่จะให้เขาเป็นผู้ตรวจการอีกต่อไป การจัดให้เขาไปอยู่ที่พื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจีทั้งสามารถหลบเลี่ยงความแค้นเคืองของทุกคนในนครจักรพรรดิขุย ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาเดินออกไปจากน้ำวนลูกนี้และได้ไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
และเนื่องด้วยความคิดของต้าเทียนซือเปลี่ยนไปแล้ว
เขาจึงกังวลว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะตระหนักไม่ได้ถึงความหวังดีที่ตนมีให้ ดังนั้นริมฝีปากของเขาจึงขมิบขมุบส่งข้อความเสียงให้ป๋ายเสี่ยวฉุนโดยไม่สนใจว่ารอบกายยังมีขุนนางทั้งราชสำนักมองอยู่
“ป๋ายฮ่าว พื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจีแห่งนั้นมีกองกำลังส่วนตัวสามพันนายของข้าผู้อาวุโส หลังที่เจ้าไปที่นั่น กองกำลังนั้นจะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้า
ซึ่งเจ้าเองก็จะได้หลบภัยชั่วคราวด้วย และด้วยตัวตนของเจ้า อีกไม่นานเท่าไหร่ ข้าผู้อาวุโสย่อมเรียกเจ้ากลับมาอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถึงเวลานั้นเจ้าก็สามารถกลับมาได้”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ในใจไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง เพราะเขารู้สึกว่าตนเป็นถึงอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินแล้ว แต่นี่ยังไม่ทันได้มีหน้ามีตาก็ต้องไปจากที่นี่เสียแล้ว
ทว่าพอคิดตามคำพูดของต้าเทียนซือก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ตอนนี้ตนแบไพ่ตายออกมาแล้ว แม้ว่าจะหลบเลี่ยงฉากสังหารอย่างโจ่งแจ้งได้ แต่เขาก็รู้ดีว่ากระสุนสว่างหลบง่าย แต่ลูกธนูในที่มืดนั้นหลบยาก เขาจึงจำต้องระวังตัวให้มาก
และการออกจากนครจักรพรรดิขุยไปหลบภัยก็นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีอย่างมาก
คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วหันไปคารวะต้าเทียนซือ
“ทุกอย่างทำตามประสงค์ของต้าเทียนซือ!”
ต้าเทียนซือยิ้มน้อยๆ ก่อนกวาดสายตามองเจ้าพระยาสวรรค์ทั้งสิบและเหล่าพระยาสวรรค์
“พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”
“พวกข้าฟังคำสั่งจากต้าเทียนซือ!” พวกเฉินฮ่าวซงที่ถึงแม้ในใจจะจำใจแค่ไหนก็ยังจำเป็นต้องเดินออกมาคารวะต้าเทียนซือเพื่อแสดงท่าทีของตัวเอง
เมื่อเห็นว่าต้าเทียนซือและสิบเจ้าพระยาสวรรค์ต่างก็เห็นด้วยแล้ว พวกพระยาสวรรค์ที่ต่อให้ในใจลึกๆ จะไม่พอใจ แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรมาก ได้แต่ก้มหน้ายอมทำตามคำสั่ง
มาถึงตอนนี้ฉากสังหารที่คนทั้งราชสำนักมีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถือว่าคลี่คลายได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ทุกคนทยอยกันไปจากตำหนักเทียนซือ
ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาจากในตำหนัก เขาก็รู้สึกเพียงว่าฟ้าครามสดใส อารมณ์เบิกบานอย่างยิ่งยวด
ครั้งนี้เขาไม่เพียงแต่ชนะเท่านั้น แถมยังชนะอย่างสวยงาม ชนะอย่างเด็ดขาดสัมบูรณ์!
ก่อนที่จะเข้าไปในตำหนักเทียนซือ เขาคือผู้ตรวจการที่คนนับไม่ถ้วนหวาดเกรง แต่พอออกมาจากตำหนักเทียนซือ เขากลับกลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดินที่อาจารย์หลอมวิญญาณจำนวนเหลือคณนาของแดนทุรกันดารไล่ตามสรรเสริญกันอย่างกระตือรือร้น!
“หึหึ ขนาดต้าเทียนซือยังต้องเรียกข้าว่าปรมาจารย์…พวกเราล้วนเป็นคนที่ใช้คำว่าอาจารย์เหมือนกัน! (คำว่าซือในชื่อของต้าเทียนซือหมายถึงอาจารย์ ส่วนคำว่าปรมาจารย์ที่ใช้เรียกป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีคำว่าซือที่แปลว่าอาจารย์เช่นกัน)”
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดยิ่งลำพองใจ เดินออกมาได้สองสามก้าวก็พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันขวับกลับไปมองในตำหนักเทียนซือ พอเห็นจ้าวสงหลินที่หลบอยู่ด้านหลังกลุ่มคนราวกับไม่กล้าเข้ามาใกล้ตนและต้องการซ่อนตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับตน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระแอมหนักๆ หนึ่งที แล้วถือโอกาสยืนอยู่ตรงนั้น…ไม่ยอมไปไหน