Skip to content

A Will Eternal 842

บทที่ 842 ข้าเองก็ไม่ได้ดีเลิศขนาดนั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง รับเอาป้ายคำสั่งนั้นมา พอป้ายคำสั่งมาอยู่ในมือ เขาก็รู้สึกเย็นเยือกไปทั้งร่าง แค่มองก็รู้แล้วว่านี่คือของดี ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเก็บลงไป เขารู้ว่าเขตต้องห้ามแห่งชีวิต บางคนก็เรียกว่าเขตไร้คน ที่นั่นคือพื้นที่ระหว่างเขตทงเทียนกับแดนทุรกันดาร ไม่มีใครสามารถข้ามผ่านไปได้

มีเพียงสี่จุดเท่านั้นที่สามารถเดินทางข้ามผ่านได้ก็คือจุดที่ตั้งของกำแพงเมือง

แต่เมื่อมีป้ายคำสั่งนี้ก็จะสามารถเดินทางผ่านเขตต้องห้ามแห่งชีวิตไปได้โดยตรง ป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถจากไปได้ทุกเมื่อ อีกทั้งหากไปยังเขตต้องห้ามแห่งชีวิต เขาก็จะได้กลับสำนักสยบธารเร็วกว่าเดิม

เพราะอย่างไรซะหากอิงตามแผนการเดิมของป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งก็คือเดินทางโดยใช้เส้นทางของกำแพงเมือง เขาก็ยังจำเป็นต้องรอเรืออยู่ริมชายฝั่ง แล้วค่อยโดยสารกลับไปเปลี่ยนสถานีที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา

พอคิดถึงว่าคนเฝ้าสุสานดีกับตนถึงเพียงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันซาบซึ้งใจ เขาไม่คิดว่าป้ายนี้จะเป็นของปลอม เพราะอย่างไรแล้วหากคนเฝ้าสุสานคิดจะกำจัดเขาก็ไม่จำเป็นต้องวางแผนอะไรให้ซับซ้อน อีกฝ่ายยกมือตบตนผลัวะเดียวก็สิ้นเรื่อง

“ท่านปู่ ท่านปู่คนดีของข้า ถ้าอย่างนั้น…ข้าไปก่อนนะขอรับ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พอพูดจบก็หมายจะจากไป เขารู้สึกว่าตอนนี้ตนอยู่แดนทุรกันดารนับว่าเสี่ยงอันตรายอย่างมาก ฉวยโอกาสที่ทุกคนถูกคนยังถูกคำว่าอาจารย์ของตนล่อลวงให้เข้าใจผิดรีบหนีไปเสียตอนนี้เลยดีกว่า

มีเพียงท่าทีของเทียนจุนเท่านั้นที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเล แต่เขามาคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่าตนเป็นเพียงบุคคลตัวเล็กๆ คนหนึ่ง อีกฝ่ายเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นคงไม่มาคิดเล็กคิดน้อยกับตน แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาเองก็ไม่เคยล่วงเกินเทียนจุนมาก่อน

“ข้าแอบกลับไปคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” ป๋ายเสี่ยวฉุนสองจิตสองใจ แต่ก็ยังรู้สึกว่าตอนนี้เมื่อตัวตนถูกเปิดโปงไปแล้ว หากเทียบกับการกลับไปยังสำนักสยบธาร การอยู่ในแดนทุรกันดารก็ยังมีความเสี่ยงมากกว่าอยู่ดี

ทว่าขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเตรียมจะจากไปโดยเร็วที่สุดนั้น คนเฝ้าสุสานที่ยืนหันหลังให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ริมชายฝั่งแม่น้ำอเวจีก็เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบเครือ

“ยังจำได้หรือไม่ว่าปีนั้นที่เจ้าถามชื่อของข้าผู้อาวุโส ข้าตอบเจ้าไปว่าอย่างไร…”

“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักฝีเท้า มองมายังคนเฝ้าสุสานอย่างงุนงงว่าทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

“โลกใบนี้เจ้าสามารถมองเป็นสุสานขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ฝังร่างของผู้บงการชะตาชีวิตของมนุษย์นามว่าขุย…และข้าผู้อาวุโสก็คือคนเฝ้าสุสานที่คอยปกป้องพิทักษ์สุสานของเขา” น้ำเสียงของคนเฝ้าสุสานยิ่งแหบพร่ามากขึ้นเรื่อยๆ และบัดนี้ใบหน้าของเขาก็แก่ชรากว่าเดิมอีกเยอะมาก

“หลังจากที่ผู้บงการตายไป ก็ได้ปิดประตูของโลกใบนี้ที่เชื่อมโยงไปยังภายนอก และสั่งเสียเอาไว้ว่า นอกจากมีคนฝึกวิชาการสืบทอดของเขาจนถึงขั้นมหายาน ซึ่งก็คือขั้นเทียนจุนได้แล้ว ถึงจะเปิดประตูของโลกได้ หาไม่แล้ว ไม่ว่าใครก็ห้ามไปจากโลกใบนี้ทั้งสิ้น!” คนเฝ้าสุสานเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตาที่หม่นมัวเผยแสงแห่งการย้อนทวนความทรงจำ

“สุสาน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนหอบหายใจดังเฮือก เรื่องที่เกี่ยวกับโลกใบนี้ ก่อนหน้านั้นเขาแค่เข้าใจแบบกระจัดกระจาย ทว่ามาตอนนี้กลับเข้าใจอย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วโลกใบนี้คือสุสาน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เบิกตากว้าง ใจสั่นรัว

“และอนุชนรุ่นหลังของเขาก็กลายมาเป็นเชื้อพระวงศ์ของโลกใบนี้ ดังนั้นจึงมีจักรพรรดิขุยสืบทอดกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า โลกใบนี้จึงมีชื่อว่า…โลกแห่งจักรพรรดิขุย!”

คนเฝ้าสุสานไม่ได้สนใจป๋ายเสี่ยวฉุน เพียงพึมพำเหมือนพูดอยู่กับตัวเอง ความรู้สึกถึงกาลเวลาอันเนิ่นนานพลันท่วมท้นออกมาจากร่างของเขา

“หากไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น บางทีก่อนหน้านี้นานมากแล้วก็คงมีจักรพรรดิเขตมหายานเหนือครึ่งเทพเกิดขึ้นแล้ว…เพียงแต่เรื่องไม่คาดคิดก็ดันเกิดขึ้นจนได้…มีนักพรตคนหนึ่งที่อาศัยพรสวรรค์อันเลิศล้ำน่าตะลึงสร้างวิชาเทียนจุนขึ้นมาด้วยตัวเอง และเดินไปบนเส้นทางแห่งเต๋าที่ไม่เหมือนใครซึ่งได้โค่นล้มราชวงศ์จักรพรรดิขุยไปอย่างสิ้นเชิง!” ตอนที่พูดถึงนักพรตคนนี้ ต่อให้น้ำเสียงของคนเฝ้าสุสานจะทุ้มหนัก ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังพอจะฟังออกถึงความชื่นชมจากน้ำเสียงอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าพรสวรรค์ของนักพรตคนนั้นเลิศล้ำน่าชมเชยมากแค่ไหน และป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้ดีว่านักพรตผู้นี้คือใคร

“และข้าผู้อาวุโสก็มิอาจไปก้าวก่ายได้ มีเรื่องราวมากมายที่ข้ารู้ แต่กลับมิอาจทำสิ่งใด จะอย่างไรข้าก็เป็นเพียงคนเฝ้าสุสานคนหนึ่ง คนเฝ้าสุสานที่คอยพิทักษ์สุสานของผู้บงการ ปกปักษ์วัฏจักรสังสาร คุ้มครองประตูแห่งโลก ครั้งแรกที่ข้าฝืนใจลงมือก็เพียงเพื่อไม่ให้ราชวงศ์ล่มสลาย เพื่อให้แดนทุรกันดารแห่งนี้ได้ดำรงสืบต่อไป และค่าตอบแทนของการยื่นมือเข้าแทรกก็คือเวลาแห่งการดำรงอยู่ของข้าที่ลดหายไปครึ่งหนึ่ง”

“เมื่อหลายปีก่อน นักพรตคนนี้ก็หาข้าเจอแล้ว เขาคิดจะไปจากโลกใบนี้ คิดจะเปิดประตูของโลก แต่เขาไม่ใช่ผู้สืบสันตติวงศ์ ข้าผู้อาวุโสย่อมมิอาจอนุญาต แต่ข้าก็ได้บอกวิธีการที่ถูกต้องให้กับเขาไปแล้ว!”

“เพียงแต่ว่าเขาไม่เหมาะสมกับการสืบทอดแห่งขุย เขาเพียรมาหาข้าผู้อาวุโสครั้งแล้วครั้งเล่า ใช้ทุกวิธีการเพื่อให้ข้ายอมเปิดประตูให้ แต่ในที่สุดเขาก็เหมือนจะเข้าใจว่ามีเพียงสังหารข้าผู้อาวุโสเท่านั้น เขาถึงจะไปจากที่แห่งนี้ได้”

“เจ้าคงรู้แล้วว่าคนผู้นี้เป็นใคร เขามีนามว่านักพรตทงเทียน ซึ่งก็คือผู้ที่เจ้าได้เห็นก่อนหน้านี้…เทียนจุน” คนเฝ้าสุสานพูดมาถึงตรงนี้ก็หันตัวกลับมามองป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนรับฟังคำพูดของคนเฝ้าสุสานพร้อมใจที่มีลูกคลื่นถาโถมไม่หยุด ทว่าหลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของคนเฝ้าสุสานอย่างชัดเจน ลูกคลื่นนี้ก็ยิ่งขยายใหญ่

“ท่านปู่ ท่าน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดไม่ออก คนเฝ้าสุสานที่อยู่เบื้องหน้าตนแก่ชราลงกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว อีกฝ่ายเหมือนซากศพที่เพิ่งคลานออกมาจากหลุม แตกต่างจากก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับเหว อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอที่ค่อยๆ เอ่อขึ้นมาจากร่างของคนเฝ้าสุสานด้วย

“ข้าแก่มากแล้ว…อยู่มานานมากเหลือเกินแล้ว บางทีปีนั้นตอนที่ผู้บงการสร้างข้าขึ้นมาก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าข้าจะดำรงอยู่มาได้ยาวนานขนาดนี้ ตามชะตาชีวิตดั้งเดิมของข้า นาทีที่ประตูใหญ่ของโลกใบนี้เปิดออก ก็คือช่วงเวลาแห่งการตายดับของข้า” คนเฝ้าสุสานเอ่ยเนิบช้า ไม่ได้สนใจความชราภาพทรุดโทรมของตัวเองแม้แต่น้อย

“เวลาของข้าเหลืออีกไม่มากแล้ว ดังนั้นถึงได้ฝืนลงมือในครั้งนี้ แต่น่าเสียดายที่…ต่อให้ใช้เวทต้องห้ามก็ยังมิอาจสังหารเขาได้”

“และเนื่องจากการลงมือครั้งนี้ ก็ทำให้เวลาแห่งการดำรงอยู่ของข้าหดสั้นลงไปอีกครั้ง…และรอยแผลเป็นจากเวทต้องห้ามก็เป็นเหตุให้โลกใบนี้เกิดลางที่จะแตกสลาย” คนเฝ้าสุสานส่ายหัว สีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความเสียดาย

ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหอบหนัก เวลานี้เขาเพิ่งจะเข้าใจเหตุและผลอย่างถ่องแท้ แล้วก็มองออกว่าที่คนเฝ้าสุสาน เสียดายนั้นไม่ใช่แค่ครั้งนี้ที่ไม่สามารถสังหารเทียนจุนได้สำเร็จ แต่ยังเป็นเพราะเมื่อหลายปีก่อน เขามีโอกาสทำได้สำเร็จ ทว่าเนื่องจากขีดจำกัดหลากหลายประการจึงไม่ได้เลือกลงมือ เป็นเหตุให้รู้สึกเสียดายที่ปล่อยให้เทียนจุนเติบโตจนมีวันนี้

และเกรงว่าก็คงเป็นเพราะเหตุนี้ ถึงทำให้มีการชดเชยในครานี้!

“การสังหารเขาล้มเหลวก็อยู่ในการคาดการณ์ของข้าผู้อาวุโสด้วย เพียงแต่ข้ายังอยากลองทำดูเท่านั้น…อันที่จริงตอนที่เจ้ายังไม่ได้มาแดนทุรกันดาร ข้าผู้อาวุโสก็ได้เริ่มเตรียมการสำหรับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายหลังไว้แล้ว” คนเฝ้าสุสานถอนหายใจเบาๆ ดวงตาที่จ้องมองป๋ายเสี่ยวฉุนค่อยๆ ฉายความหมายลึกล้ำ

“ผู้สืบทอดของจักพรรดิหมิง?” ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนติดขัด หัวใจเต้นถี่รัว เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ หลังจากที่เขาเห็นว่าคนเฝ้าสุสานพยักหน้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็บังเกิดความฮึกเหิมขึ้นในใจ รู้สึกว่ามาถึงขั้นนี้หากตนยังไม่เข้าใจก็โง่เง่าเกินไปแล้ว นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะความยอดเยี่ยมของตนที่ทำให้ได้รับความสำคัญจากคนเฝ้าสุสาน และอีกฝ่ายก็ต้องการให้ตนกลายมาเป็นผู้สืบทอดของเขา กลายมาเป็นจักรพรรดิหมิง!

พอนึกถึงภาพที่ตนเองกลายเป็นจักรพรรดิหมิง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตื่นเต้นสุดขีด ยามนี้จึงสูดลมหายใจเข้าลึก ไอแห้งๆ หนึ่งที ก่อนจะข่มกลั้นความลำพองใจเอาไว้แล้วเอ่ยถ่อมตัวสองสามคำ

“คือว่า…ท่านปู่ อันที่จริงข้าก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรขนาดนั้น…แต่ข้าก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว! อ้อ ใช่แล้ว ผู้สืบทอดของจักรพรรดิหมิงต้องทำอะไรบ้างหรือ?”

“ผสานรวมกับแม่น้ำอเวจี วิญญาณพิทักษ์พระราชวังหมิง ปกปักษ์สุสานผู้บงการ พิทักษ์วัฏจักรสังสาร คุ้มครองประตูแห่งโลก ใครก็ตามที่ไม่ใช่ผู้สืบสัตติวงศ์ล้วนมิอาจออกไปจากที่นี่ได้!” คนเฝ้าสุสานมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความลึกล้ำพลางเอ่ยเนิบช้า

ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ก็ยืนเซ่อไปทันที ประโยคหลังยังพอได้ แต่ประโยคแรกๆ นั่น เขารู้สึกทะแม่งๆ ชอบกล ดังนั้นจึงรีบเอ่ยถามหวังไขข้อข้องใจ

“ท่านปู่ วิญญาณพิทักษ์พระราชวังหมิงหมายความว่าอะไรหรือขอรับ? วิญญาณผสานรวมเข้าไปในแม่น้ำอวเจี…

นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าต้องตายแล้วหรอกหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนกขึ้นมาทันที พอเขาเห็นว่าคนเฝ้าสุสานพยักหน้ารับอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สำลักลมหายใจ หน้าขาวเผือด ก่อนจะส่ายหัวอย่างแรง

“ท่านปู่ คือว่า…ท่านก็เห็นว่าข้าไม่ได้ดีเลิศอะไรขนาดนั้น ข้าคนนี้น่ะอยู่ว่างไม่ได้ ข้อเสียก็เยอะ จะให้ข้าพิทักษ์แม่น้ำอเวจีก็ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ ภาระยิ่งใหญ่ขนาดนี้ คนตัวเล็กๆ อย่างข้าแบกรับไว้ไม่ไหวหรอก เอ่อ…ท่านหาคนอื่นเถอะนะ ข้า…ข้าไปก่อนนะขอรับท่านปู่” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเร็วปรื๋อ รีบถอยหลังไปหลายก้าว ทว่าชั่วขณะที่เขาถอยไปนั้น คนเฝ้าสุสานกลับยกมือขวาขึ้นคว้ามาทางป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องโหยหวน ใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ รีบตะโกนดังลั่น

“ท่านปู่ ข้าทำไม่ได้จริงๆ นะขอรับ ข้าไปอยู่ที่ไหน ที่นั่นก็ต้องวอดวายด้วยความไม่ตั้งใจของข้า ข้าไม่อยากทำร้ายท่าน…”

“หุบปาก! ข้าผู้อาวุโสยังไม่ได้เลอะเลือนถึงขนาดให้เจ้ามาเป็นผู้สืบทอด!” คนเฝ้าสุสานขมวดคิ้ว มือที่คว้านั้นไม่ได้จับร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่จับไปยังถุงเก็บของของเขา ทันใดนั้นสถูปวิญญาณที่ป๋ายฮ่าวอยู่ก็ลอยออกมาจากในถุงแล้วมาตกอยู่กลางฝ่ามือของคนเฝ้าสุสาน

“ผู้สืบทอดที่ข้าผู้อาวุโสเลือกคือป๋ายฮ่าว ไม่ใช่เจ้า” คนเฝ้าสุสานเอ่ยเสียงเรียบเฉย

“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง อึ้งค้างไปอีกครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!