Skip to content

A Will Eternal 914

บทที่ 914 ใจคนยากแท้หยั่งถึง

เมื่อบุรพาจารย์ครึ่งเทพกลับมา ลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่ลงไปอยู่ในสี่มหานครเบื้องล่างก็กลับขึ้นมายังสายรุ้งของใครของมันอีกครั้ง

หลังจากสายรุ้งนี้ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ผงดอกไม้ชำระล้างให้สะอาดก็ได้กลับคืนมาเป็นปกติดังเดิม มีเพียงโพรงยักษ์บนสายรุ้งสีครามเท่านั้นที่ยังเด่นหรา ใครก็ตามที่เงยหน้าขึ้นมองก็ล้วนมองเห็นโพรงนั้น ขณะเดียวกันก็ต้องเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในนั้นด้วย…

ใจป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยากอยู่ในโพรงแห่งนี้ ทว่าทุกครั้งที่เขาคิดจะไปจากที่นี่ก็ต้องมีอำนาจจิตแผ่ลงมาจากรุ้งสีม่วงทุกคราไป ทำเอาเขาตกใจจนต้องรีบหยุดทุกการกระทำลง พอถึงท้ายที่สุดเขาที่หน้าม่อยคอตกก็ได้แต่นั่งขัดสมาธิลอยตัวอยู่กลางโพรงที่ทั้งบนและล่างมองทะลุปรุโปร่งเห็นชัดหมด…

“หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นอย่างนี้ ตอนที่ข้าอธิบายควรบอกไปว่าเตรียมจะสร้างที่พักใหม่ ไม่ควรพูดว่าในใจมีแต่สำนักเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเฮือกๆ เขารู้สึกว่าตัวเองอาศัยอยู่ที่นี่เหมือนถูกห้อยต่องแต่งให้คนอื่นมอง ช่างน่าขายหน้าและน่ากระอักกระอ่วนยิ่งนัก

“แต่ยังดีที่ทำให้สีของสายรุ้งกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว ลูกศิษย์พวกนั้นเองก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรจริงจัง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจอยู่ในใจ ความรู้สึกผิดก็ค่อยๆ เจือจางลงไปด้วย

แต่ในความเป็นจริงแล้วการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกอับอาย นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้จักบุรพาจารย์ครึ่งเทพของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราดีพอ ไม่รู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาคนผู้นี้ก็เป็นคนเข้มงวดโหดร้าย ทว่าคนบางคนที่เนื่องจากรู้จักบุรพาจารย์ครึ่งเทพเป็นอย่างดีกลับมองออกถึงความจริงอันน่าตะลึงที่ทำให้บุรพาจารย์ครึ่งเทพมีปฏิกิริยาเช่นนี้ต่อเรื่องนี้!

“นี่มันเรียกว่าการลงโทษเสียที่ไหน แม้แต่ดุด่าก็ยังเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ…เห็นชัดๆ ว่านี่มันเหมือนผู้ใหญ่เห็นผู้น้อยทำผิดเลยลงโทษให้ยืนสำนึกผิดแค่นั้นเอง!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้…มีสิทธิ์อะไรถึงทำแบบนี้ได้! เขามันเป็นแค่คนนอกคนหนึ่ง มาเป็นกาฝากอาศัยอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราของเราก็ยังพอทำเนา แต่นี่เขากลับยังกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้!”

“น่าเสียดายที่ขนาดเรื่องนี้ก็ยังเล่นงานเขาถึงตายไม่ได้ ตอนนั้นข้าก็เกลียดขี้หน้าสำนักสยบธารมากพออยู่แล้ว สำนักสยบธารมีสิทธิ์อะไรมาลุกผงาด เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้มีสิทธิ์อะไรมาเจริญรุ่งเรือง หึ ก็แค่คนบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้น สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหรือฐานะก็ล้วนสูงส่งกว่าพวกเขาหลายเท่าตัว!”

อันที่จริงคำวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้เคยแพร่อยู่ในสำนักอย่างลับๆ

ตั้งแต่ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งถูกแต่งตั้งเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่างแล้ว ในฐานะที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเป็นสำนักใหญ่ต้นแม่น้ำ ลูกศิษย์ในสำนักจึงมีความเย่อหยิ่งจองหองในตัวเอง เลยไม่เคยเห็นหัวลูกศิษย์ของสำนักที่ด้อยกว่าตน คิดว่าสำนักเบื้องล่างตนล้วนเป็นพวกบ้านนอก แน่นอนว่าการลุกผงาดของป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมนำมาซึ่งความรู้สึกอันซับซ้อนที่คละเคล้าไปกับความริษยา

เดิมทีอารมณ์เช่นนี้ซุกซ่อนอยู่แค่ในใจของพวกเขาเท่านั้น ไม่กล้าเปิดเผยออกมาต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยา อารมณ์ของพวกเขาก็มิอาจอำพรางไว้ได้อีกต่อไป รู้สึกอย่างไรก็เปิดเผยมันออกมาหมด เป็นเหตุให้ไม่ทันได้พิจารณาว่าแท้จริงแล้วการหลอมยาของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สร้างความเสียหายจนถึงขั้นเกินอภัยให้กับพวกเขา

และมาถึงวันนี้ข่าวที่คนซึ่งมีใจริษยากระพือไฟเสนอความคิดให้คนอื่นเล่นงานป๋ายเสี่ยวฉุนสักครั้ง เล่นงานให้คนบ้านนอกในสายตาของพวกเขาเจอกับมรสุมเสียบ้างก็ได้ค่อยๆ ดังมาเข้าหูป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินเรื่องนี้ก็อึ้งงันไปนานมาก ลึกๆ ในใจเริ่มรู้สึกขมขื่น

“เรื่องพวกนั้นที่ข้าทำลงไปเพื่อชดเชยความผิดพลาด ช่างเป็นเรื่องที่เกินความจำเป็นแท้ๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่าสุดท้ายแล้วสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ไม่ใช่บ้านของตน บ้านของตนมีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือสำนักสยบธาร!

ทว่าเรื่องนี้ถูกคนวิพากษ์วิจารณ์กันได้ไม่นานเท่าไหร่ก็เจือจางลงไป เพราะมีข่าวใหม่ที่เขย่าคลอนจิตใจแทบทุกคนมากว่าแพร่มา

ข่าวนี้ก็คือ…เทียนจุนจะรับศิษย์!!

ข่าวนี้ปานประหนึ่งพายุที่พัดกวาดไปทั่วสี่ทิศในชั่วเวลาแผล็บเดียว ยิ่งเมื่อเรือรบขนาดใหญ่ยักษ์เหนือมหาสมุทรทงเทียนเบื้องใต้สายรุ้งของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราส่งเสียงครืนครั่น ข่าวลือเรื่องที่เทียนจุนจะรับลูกศิษย์ก็ยิ่งแพร่สะพัดครึกโครมไปทั่ว

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวที่มาจากเรือรบลำนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินตั้งแต่ครั้งแรก เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบกวาดอำนาจจิตมองไป แล้วก็เห็นชัดเจนว่าเรือรบลำมหึมาที่อยู่เหนือมหาสมุทรกำลังตั้งท่าเตรียมพร้อมเขมือบกลืนพลังของฟ้าดิน

ปีนั้นตบะของเขาไม่สูงพอจึงมองได้ไม่ละเอียดนัก ทว่าตอนนี้มีตบะคนฟ้า

ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมองเห็นต้นสายปลายเหตุในปราดเดียว เห็นได้ชัดว่าเรือรบลำนี้เป็นวัตถุอาคมขนาดมโหฬารชิ้นหนึ่ง และที่มันสามารถแล่นอยู่กลางมหาสมุทรทงเทียนที่เข้มข้นได้เป็นเวลานั้นก็เพราะเรือรบลำนี้ดูดซับเอาพลังวิญญาณมาจากในมหาสมุทรทงเทียน

เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่เปิดใช้จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาเตรียมการพักใหญ่ จากการจับตามองของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็คาดการณ์ว่าการสั่งสมพลังของเรือรบลำนี้คงต้องใช้เวลาไปอีกหลายวัน

“เทียนจุนจะรับลูกศิษย์? เรือรบสั่งสมพลังเตรียมออกเดินทาง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนหรี่ตาลง ตอนนี้เรื่องที่เทียนจุนจะรับลูกศิษย์ได้แพร่ไปทั่วสำนักแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้ยินบุรพาจารย์ธาราเทพพูดถึงมานานแล้ว ครั้งนั้นอีกฝ่ายถามว่าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาได้ประจวบเหมาะเช่นนี้เป็นเพราะเรื่องเทียนจุนจะรับลูกศิษย์หรือไม่

“อยู่ดีๆ เทียนจุนจะรับลูกศิษย์ทำไม?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกคลางแคลงใจ ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด เวลาก็ผ่านไปแล้วสามวัน เสียงดังครืนครั่นที่มาจากเรือรบก็หายไปด้วย ทว่ากลับแทนที่มาด้วยคลื่นพลังแกร่งกร้าวขุมหนึ่งที่แผ่ออกมาจากบนเรือคล้ายว่าเรือลำนี้สามารถแล่นออกสู่ทะเลได้ทุกเมื่อ

จากนั้นนักพรตจากสำนักแม่น้ำตอนกลาง ตอนล่างและตอนปลายของสายตะวันออกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าก็พากันเดินทางมาถึงสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา แทบทุกวันจะต้องมีคนไม่น้อยมาปรากฏตัวอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กับสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา

พวกคนที่มาเยือนเหล่านี้มีท่าทางระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้ามาในสำนัก แต่ตั้งค่ายที่พักอาศัยอยู่โดยรอบ และสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเองก็ไม่ได้ขัดขวางเรื่องนี้ ปล่อยให้นักพรตของแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออกจำนวนมากกว่าเดิมมาอยู่อาศัยรอบๆ สำนักได้ตามสบาย

พวกคนที่มาเหล่านี้มีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือตบะของพวกเขา…ล้วนเป็นก่อกำเนิด!

ซึ่งในบรรดานั้นต้องเป็นคนที่สนิทสนมกับลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปพำนักอยู่ในสำนัก

เพียงแต่ว่าผู้ที่ทำได้ถึงขั้นนี้มีเพียงสำนักในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนกลางเท่านั้น ถ้าเป็นแม่น้ำตอนล่างและแม่น้ำตอนปลาย ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีใครกล้าเข้ามา

และเมื่อคนเหล่านี้ปรากฏตัว ข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องที่เทียนจุนจะรับลูกศิษย์ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแม้แต่ลูกศิษย์ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเองก็ยังเริ่มเอนหัวกระซิบกระซาบกันจนข่าวลือต่างๆ ทั้งจริงและเท็จแพร่ไปทั่วแปดทิศ

“ดูท่าข่าวลือจะเป็นจริงซะแล้ว!”

“เทียนจุนจะรับลูกศิษย์จริงๆ หรือนี่!! สวรรค์ เรื่องนี้สามารถพูดได้ว่าเป็นโชควาสนาอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้นักพรตในเขตทงเทียนอย่างเราๆ เดินขึ้นฟ้าได้ในก้าวเดียว!!”

“ข้าได้ยินมาว่าเทียนจุนไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่นอนในการรับลูกศิษย์จากแม่น้ำสี่สายของเขตทงเทียน ก่อนหน้านี้ท่านผู้อาวุโสก็เคยรับศิษย์มาแล้วทั้งหมดสี่คน…”

“เรื่องนี้ข้าก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ว่ากันว่าลูกศิษย์ทั้งสี่คนของเทียนจุน…ก็คือบุรพาจารย์ครึ่งเทพ…ของสี่สำนักต้นแม่น้ำในตอนนี้!!”

และสวีเป่าไฉที่ตรวจสอบเจอรายงานลับนี้อย่างเฉียบไวก็ได้ใช้ความเร็วที่มากที่สุดไปรวบรวมข้อมูล ก่อนจะรีบมาหาป๋ายเสี่ยวฉุน

“บุรพาจารย์น้อย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!!” สวีเป่าไฉวิ่งเหยาะๆ มาจนกระทั่งถึงโพรงบนสายรุ้งสีครามที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่อาศัย ตอนที่เขามาถึง ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนถือแผ่นหยกไว้แผ่นหนึ่ง แผ่นหยกนี้เขาได้มาจากบุรพาจารย์คนฟ้าของศาลาเลือดเหล็ก ด้านในมีข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับการรับลูกศิษย์ของเทียนจุนบันทึกไว้อย่างละเอียด

พอได้ยินเสียงของสวีเป่าไฉ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงดึงอำนาจจิตกลับออกมาจากในแผ่นหยก เขาที่เห็นได้ชัดว่าเริ่มหอบหายใจไม่เป็นจังหวะหันมามองสวีเป่าไฉ

“บุรพาจารย์น้อย ท่านได้ยินหรือยัง เทียนจุนจะรับลูกศิษย์แล้ว!!” สวีเป่าไฉรีบพูดรัวเร็ว

“ก่อนหน้านี้เทียนจุนเคยรับลูกศิษย์ไปแล้วสี่คน ซึ่งบุรพาจารย์ครึ่งเทพของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเราก็คือหนึ่งในนั้น!”

“ตอนนี้เทียนจุนจะรับลูกศิษย์คนที่ห้า สามารถจินตนาการได้เลยว่า…ใครที่ได้กลายเป็นลูกศิษย์คนที่ห้าของเทียนจุน สุดท้ายแล้วคนผู้นั้นก็ต้องกลายมาเป็นผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพอย่างแน่นอน!!”

“ข้ายังไปสืบจนรู้มาด้วยว่าการรับลูกศิษย์ของเทียนจุนครั้งนี้ไม่เพียงแต่ครึกโครมอยู่ในแม่น้ำสายตะวันออกของพวกเราเท่านั้น แต่เป็นทั่วทั้งสี่สายของแม่น้ำทงเทียน นักพรตทุกคนที่อยู่ในขอบเขตเหล่านี้ ขอแค่ตบะถึงก่อกำเนิดก็ล้วนสามารถมาสมัครลงชื่อได้ที่สำนักต้นแม่น้ำของตัวเอง ซึ่งสี่สำนักต้นแม่น้ำไม่อาจขัดขวางได้ อีกทั้งพวกเขายังมีหน้าที่และความรับผิดชอบต้องเอารายชื่อของคนที่มาสมัครทุกคนส่งไปยังเกาะทงเทียนด้วย!” สวีเป่าไฉบอกข้อมูลทั้งหมดที่เขารู้มาให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังรวดเดียวจบ

ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดคลื่นกระเพื่อมไหวอีกครั้ง หัวใจเขาเต้นกระหน่ำ เรื่องพวกนี้ที่สวีเป่าไฉพูดมา เขาได้อ่านจากในแผ่นหยกที่บุรพาจารย์คนฟ้าของศาลาเลือดเหล็กมอบให้ก่อนแล้ว

ขณะเดียวกันยังมีข่าวบางส่วนที่ตอนนี้สวีเป่าไฉยังไม่รู้ ยิ่งเป็นคนนอกก็ยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ แต่คิดว่าอีกไม่นานพวกเขาก็ต้องได้ยินเรื่องนี้

นั่นก็คือ…การรับลูกศิษย์ของเทียนจุนครั้งนี้จะใช้วิธีการประลอง สถานที่ของการประลองก็คือพื้นที่ลับแห่งหนึ่งบนเกาะทงเทียน นักพรตทุกคนที่มีตบะเหนือก่อกำเนิดขึ้นไป ต่ำกว่าครึ่งเทพลงมาล้วนสามารถเข้าไปในพื้นที่ลับแห่งนั้นเพื่อเข้าร่วมการรับลูกศิษย์ของเทียนจุนในครั้งนี้ได้!

แม้ไม่รู้ว่าเมื่ออยู่ในพื้นที่ลับ พวกนักพรตจะต้องทำอะไร ทว่าการคัดเลือกลูกศิษย์ของเทียนจุนมีเพียงแค่เงื่อนไขเดียว…นั่นก็คือ คนแรกที่ออกมาจากพื้นที่ลับได้ก็จะกลายมาเป็นลูกศิษย์คนที่ห้าของเขา!

ขณะเดียวกันสำหรับร้อยคนแรกที่ออกมาจากพื้นที่ลับได้ แม้จะไม่ถูกรับเข้าเป็นศิษย์ แต่ก็จะมีของรางวัลให้เช่นกัน!

ได้กลายเป็นลูกศิษย์ของเทียนจุน สำหรับคนนับไม่ถ้วนแล้วเรื่องนี้คือโชคดีค้ำฟ้า มากพอจะทำให้พวกเขาบ้าคลั่งได้ ต่อให้เป็นคนฟ้าเองก็ยังหัวใจเต้นกระหน่ำอย่างที่ยากจะควบคุม

เพียงแต่ว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เขาใจเต้นได้เท่าใดนัก เพราะที่ทำให้เขาสนใจมากกว่าก็คือรางวัลของเทียนซือ!

รางวัลสำหรับคนที่ออกมาจากพื้นที่ลับได้เป็นคนที่สอง คนที่สามและคนที่สี่…ก็คือยาเม็ดหนึ่ง

ยาเม็ดหนึ่งที่เทียนจุนหลอมออกมาด้วยตัวเอง เป็นของหายากที่สุดของโลก…ยาอายุขัยพันปี!!

ยาเม็ดนี้สามารถทำให้คนมีอายุเพิ่มขึ้นมาได้อีกหนึ่งพันปีโดยที่ไม่ต้องทำอะไร ยาประเภทนี้หากจะเรียกว่าเป็นยาแห่งเซียนก็ยังไม่เกินไปนัก ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเป็นปรมาจารย์ด้านวิถีโอสถ แต่เขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนหลอมยาแบบนี้ออกมาไม่ได้แน่นอน

ยานี้จำเป็นต้องใช้พืชหญ้าวิเศษบางอย่างที่หายสาบสูญไปแล้วถึงจะหลอมออกมาได้!

ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงวิเคราะห์ได้ทันทีว่าแม้แต่เทียนจุนเองก็คงไม่มียาอายุขัยพันปีแบบนี้อยู่มากนัก!

และหากมียาอายุขัยพันปี สำหรับพวกนักพรตที่ตบะฝึกมาถึงช่วงคอขวดก็จะมีเวลามากพอในการตามหาวิธีการที่จะทำให้ฝ่าทะลุมันออกไปได้ สามารถพูดได้ว่า…เมื่อมียาอายุขัยพันปีเพิ่มขึ้นมา ความมั่นใจที่จะฝ่าด่านสำเร็จของพวกเขาก็จะเพิ่มมากขึ้น

ผู้ที่มีตบะก่อกำเนิด สามารถเลื่อนขั้นเป็นคนฟ้า ส่วนผู้ที่มีตบะเป็นคนฟ้าก็สามารถสั่งสมพลังทดลองเลื่อนสู่ขั้นครึ่งเทพได้!

สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว การดึงดูดของยาประเภทนี้อยู่เหนือกว่าสิ่งใดที่ทุกคนจะจินตนาการถึง ความยึดมั่นถือมั่นของเขาก็คือการเป็นอมตบะ ตอนนี้มียาอายุขัยพันปีมาวางอยู่ตรงหน้า หัวใจเขาย่อมหวั่นไหวอยากได้มาครอบครองเป็นธรรมดา นี่จึงทำให้ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น ดวงตาฉายแววดิ้นรนและคิดไม่ตก

ยาอายุขัยพันปีทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น

ทว่าตอนนั้นที่เขาได้พบเทียนจุนในแดนทุรกันดารกลับมีความรู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก ที่สำคัญที่สุดคือเขาคิดว่าช่วงเวลาที่เทียนจุนเลือกรับลูกศิษย์นี้…ผิดปกติแปลกๆ!

หากเทียนจุนไม่ได้รับบาดเจ็บตอนอยู่แดนทุรกันดารก็ยังพอว่า แต่นี่อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ ทว่ากลับยังมีอารมณ์มารับลูกศิษย์ นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนระแวงทันที

สวีเป่าไฉเองก็มองออกถึงอาการคิดไม่ตกของป๋ายเสี่ยวฉุน ลึกๆ ก็ให้รู้สึกแปลกใจ เขามองไม่ออกว่ามีอะไรให้ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องลังเล ในสายตาของเขา

หากป๋ายเสี่ยวฉุนไปเข้าร่วม ไม่พูดว่าต้องสำเร็จแน่นอน แต่จะอย่างไรซะนี่ก็ไม่ใช่แค่แม่น้ำทงเทียนสายตะวันออกอย่างเดียวเท่านั้น ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของแม่น้ำอีกสามสายก็ล้วนไปรวมตัวอยู่ที่เกาะทงเทียนเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สำหรับสวีเป่าไฉแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือหนึ่งในคนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะทำสำเร็จมากที่สุด

สำหรับอาการคิดไม่ตกของตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่รู้จะอธิบายให้สวีเป่าไฉฟังอย่างไร ทำได้เพียงข่มกลั้นหัวใจที่เต้นรัวเร็วอย่างกลัดกลุ้ม หลังจากไล่สวีเป่าไฉกลับไปแล้ว เขาก็นั่งถอนหายใจเฮือกๆ อยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง

“จะไปหรือไม่ไปดีนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเกาหัว ใคร่ครวญถึงผลได้ผลเสีย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!