Skip to content

A Will Eternal 1039

บทที่ 1039 สังหารต้าจุน

คาถาวิเศษเลี้ยงสมุนไพรก็คือการใช้พลังวิญญาณฟ้าดินมาแปลงเป็นพลังชีวิตของพืชหญ้า ทำให้ฤทธิ์ของยาสมุนไพรเพิ่มสูงมากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะเติบโตไปด้วยความเร็วที่แน่นอน เรื่องนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เป็นอาจารย์หลอมโอสถมักจะเอามาใช้อยู่เป็นประจำ

ส่วนสารบำรุงเลือดวิเศษที่กล่าวถึงก็มีความหมายตามชื่อเรียก บางคนจะฝังคนเป็นๆ ไว้ในดินเพื่อเอาเลือดของคนผู้นั้นมากระตุ้นให้พืชหญ้าที่ขาดพลังวิญญาณฟ้าดินได้รับสารบำรุง

วิธีนี้ส่วนใหญ่จะเป็นวิธีการของอาจารย์หลอมโอสถที่จิตใจต่ำช้าจนทำทุกอย่างโดยไม่เลือกวิธีการ ส่วนเวทลับสารบำรุงเลือดวิเศษอีกชนิดหนึ่งที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เคยเห็นมาก่อนในแดนทุรกันดาร มันคือวิชาที่สืบทอดอยู่ระหว่างแผ่นดินใหญ่ทงเทียนกับแดนทุรกันดารซึ่งมีความแค้นเลือดลึกล้ำต่อกัน ซึ่งวิธีการนั้นคล้ายคลึงกับตอนที่ซ่งเชวียโดนจับมาทำเป็นหินวิเศษมีชีวิต

นั่นก็คือเอาเมล็ดพันธ์ของพืชหญ้าหลากหลายชนิดปลูกลงไปบนร่างของคนที่มีชีวิตโดยตรง โดยจะเอาเรือนกายของพวกเขามาเป็นเนินดินที่ใช้กระตุ้นการเจริญเติบโตของเมล็ดพันธ์

ทว่าตอนนี้…สิ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นกลับเป็นวิชาเลือดวิเศษที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งกว่าสองชนิดก่อนหน้านี้ เขาเห็นเพียงว่าเบื้องหน้าผู้เฒ่าหลังค่อม ยังมี…พืชหญ้าสีแดงสดต้นหนึ่งที่สูงสามสิบกว่าจั้ง

พืชหญ้านี้มองดูเหมือนจะใหญ่โต แต่ในความเป็นจริงกลับมีใบอยู่แค่เก้าใบ และขอบของทุกใบก็มีเงี่ยงลักษณะคล้ายใบเลื่อยงอกขึ้นมา นอกจากใบแล้ว บนพืชหญ้าต้นนี้ยังมีกิ่งอีกหลายร้อยกิ่ง แต่ละกิ่งเล็กเรียวยาว ซึ่งทุกกิ่งล้วนแทงทะลุหว่างคิ้วของร่างร่างหนึ่งไปคล้ายกำลังดูดซับพลังที่อยู่ในร่างพวกเขามา

ที่เรือนกายของคนหลายร้อยหมุนวนเวียนอยู่รอบร่างของผู้เฒ่าอย่างเชื่องช้า ก็เพราะกิ่งมากมายของพืชพรรณสีเลือดขนาดมหึมาต้นนี้ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างเหล่านั้นล้วนแห้งเหี่ยว ราวกับว่าแม้แต่ไขสมองของพวกเขาก็ถูกพืชพรรณนี้ดูดเอาไปจนหมด

และสีหน้าของพวกเขาแทบทุกคนก็บิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด ดูน่าหวาดกลัว ก่อนตายยังอ้าปากกว้างคล้ายหลุมดำหลุมหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถดูดเอาพลังวิญญาณใดๆ ของที่นี่ไปได้แม้แต่เสี้ยวเดียว

ตอนนี้ร่างทั้งหลายร้อยร่างมีถึงเก้าส่วนกว่าที่ตายไปแล้ว และที่เหลืออีกสิบกว่าคนซึ่งแม้จะยังเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าหมดสิ้นซึ่งพลังชีวิต แม้แต่หายใจก็ยังมิอาจทำได้ ไฟแห่งชีวิตอยู่ในสภาวะมอดดับอย่างที่มิอาจพลิกฟื้นกลับมาได้อีก

ในบรรดานั้นมีปราณของโลกทงเทียนปนอยู่ด้วย ทว่าที่มากกว่ากลับเป็นปราณที่เผยให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยเห็นนักพรตของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง (เซิ่งหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนเคารพบูชา) มาก่อน แต่ตอนนี้กลับพอจะคาดการณ์ได้ถึงที่มาของคนเหล่านี้

ขณะเดียวกันอำนาจจิตของเขาก็แผ่ไปเห็นหลุมลึกที่อยู่ในถ้ำ ซึ่งหลุมนั้นก็คือหลุมหมื่นคน กระดูกที่อยู่ด้านในมีมากจนนับไม่หมด ส่วนใหญ่ล้วนเป็นกระดูกที่เน่าเปื่อยซึ่งมีพลังของความศักดิ์สิทธิ์แฝงเร้นอยู่ และก็เพราะการประคับประคองของหลุมหมื่นคนนี้ถึงทำให้พืชหญ้าของที่นี่เติบโตได้อย่างงดงาม

แม้ในศพหลายร้อยศพนี้จะมีปราณของโลกทงเทียนอยู่ไม่มาก แต่ประกายในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยังคงลุกโชนเย็นเยียบ

“เจ้ารนหาที่ตาย!” เสียงของเขาปานประหนึ่งลมในวันที่หนาวที่สุดของเขตการปกครองจ้งซานซึ่งบัดนี้ได้พัดผ่านเข้ามาในเขตการปกครองอวิ๋นไห่ พัดผ่านเข้ามาในถ้ำของหลี่ลั่วไห่แล้วปิดผนึกทุกอย่างไว้ด้วยน้ำแข็ง!

หลี่ลั่วไห่ที่กำลังฮึกเหิมร่างแข็งค้าง หน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน

“ใคร!!” หัวใจของหลี่ลั่วไห่เต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ก้าวพรวดออกไปข้างหน้าอย่างไม่มีลังเล หมายจะย้ายไปจากตำแหน่งเดิมที่ยืนอยู่ เพราะการปรากฏตัวของเสียงนี้ทำให้เขารับมือไม่ทัน ยิ่งตระหนักได้ว่าน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรนั้นจู่ๆ ก็ดังขึ้นมาโดยที่ตนไม่ทันรู้ตัวมาก่อนแม้แต่น้อย ความหมายที่เป็นตัวแทนของเรื่องนี้จึงทำให้เขาตะลึงพรึงเพริดถึงขีดสุดได้ทันที

เขารู้แน่ชัดดีว่าด้วยตบะของตน ทอดสายตามองไปทั่วดินแดนเซียนแห่งที่สาม หากสามารถลอดผ่านสิ่งกีดขวางหลายชั้นเข้ามาในถ้ำได้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากตน…ย่อมมีไม่เกินสามคนแน่นอน!

และคนที่สามารถทำทุกอย่างนี้ได้โดยที่ตนสัมผัสไม่ถึง ก็มีแค่เทียนจุนเท่านั้น

แทบจะชั่วขณะเดียวกับที่หลี่ลั่วไห่เคลื่อนตัวออกไป เขาก็สัมผัสได้ว่าจู่ๆ ด้านหลังของตนก็มีพลานุภาพสยบขุมหนึ่งที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลูกคลื่น แต่กลับเป็นพายุกระหน่ำไร้รูปลักษณ์ลูกหนึ่งที่มากพอจะกระเทือนโลกทั้งใบ หรือแม้แต่ครึ่งเทพก็ยังกลืนกินได้ซึ่งพัดตะลุยครืนครั่นพลิกภูเขาคว่ำทะเลเข้ามากลบทับตนเอาไว้ภายใน

“ไม่!!” ในหัวใจของหลี่ลั่วเฟิงเหมือนมีสายฟ้าระเบิดเปรี้ยง ความตะลึงลานของเขา ความหวาดกลัวของเขา วิญญาณเทพของเขาล้วนสั่นเทิ้มอยู่ในพายุลูกนั้น และวินาทีที่พายุกลบทับเข้ามาจนมิด ปราณความเย็นจำนวนนับไม่ถ้วนก็ลอดทะลวงเข้ามาตามทุกอณูรูขุมขนของเขา มุดเข้ามาในทวารทั้งเจ็ดและทะลุทะลวงไปอย่างบ้าคลั่ง เสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่นไปตลอดทางตามเลือดเนื้อของเขาที่ถูกดับทำลาย ตามเส้นชีพจรที่แหลกสลาย ตามกระดูกที่ถูกบดขยี้!

และเวลาเพียงแค่ชั่วลมหายใจเดียว เมื่อเสียงร้องโหยหวนด้วยความทรมานดังออกมาจากปากของหลี่ลั่วไห่ ท่ามกลางเลือดสดที่พุ่งทะลักปุดๆ โลกเบื้องหน้าของเขาก็พลันพร่าเลือน เขาเห็นเพียงมือใหญ่ข้างหนึ่งที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าแล้วกดลงมาบนกระหม่อมของตน

เสียงกระดูกแตกลั่นกลายเป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินในชีวิตนี้!

เสียงปังๆ ดังไปพร้อมๆ กับที่ร่างของหลี่ลั่วไห่ซึ่งเริ่มจากหัวกะโหลกที่สัมผัสกับฝ่ามือใหญ่ปริแตกลามไปทีละชุ่น เวลาเพียงชั่วพริบตา ร่างทั้งร่างของเขาก็ถูกฉีกทึ้งแหลกลาญเป็นพันๆ หมื่นๆ ชิ้นคล้ายถูกแร่ด้วยมีดนับพันนับหมื่นครั้ง!!

ซ้ำร้ายด้วยตบะครึ่งเทพ ด้วยพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง แม้แต่จะทำให้ตัวเองหมดสติก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขา นั่นจึงทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดทรมานปานจะขาดใจตายอย่างลึกล้ำชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ!

นับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือ จนกระทั่งทุกอย่างสิ้นสุด หลี่ลั่วไห่ยังไม่ทันแม้แต่หันไปมอง ยังไม่ทันแม้แต่แผ่อำนาจจิตออกมาเพื่อดูว่า…ผู้แข็งแกร่งที่ปรากฏตัวในถ้ำของตน ผู้ที่บดขยี้ตนได้อย่างสิ้นซากเพียงการโจมตีเดียว คือใครกันแน่…

ท่ามกลางเสียงอึกทึก หลี่ลั่วไห่ที่ร่างแหลกสลายกลายเป็นหมื่นชิ้น วิญญาณเทพยังไม่ทันระเบิดออกก็ถูกพลังมหาศาลขุมหนึ่งตรงเข้ามาบดขยี้ ทั้งยังก้าวก่ายพลังของวัฏจักรสังสาร ทำให้วิญญาณของนักพรตจากแผ่นดินหย่งเหิงดวงนี้มิอาจเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิด แต่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนฝืนรั้งไว้ในฝ่ามือของตัวเอง สุดท้ายกลายมาเป็น…วิญญาณครึ่งเทพดวงหนึ่ง!!

วิธีการเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนป๋ายเสี่ยวฉุนคงทำไม่ได้ ทว่าพอมาอยู่ในแผ่นดินหย่งเหิงเกินครึ่งปี แม้เขาจะไม่ได้ฝึกตน ทว่าพลังฟ้าดินของโลกใบใหญ่แห่งนี้ก็ได้ผสานรวมเข้ามาในร่างของเขาอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตบะของเขามีการพัฒนากว่าก่อนหน้านี้ไปไม่น้อย

และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ เพราะนักพรตของโลกทงเทียนทุกคนที่มาอยู่บนแผ่นดินหย่งเหิงก็ต้องมีพลังแห่งโลกผสานรวมเข้ามาในร่างอย่างต่อเนื่องเช่นกัน!

จ้องมองวิญญาณครึ่งเทพที่สูญเสียทุกจิตสำนึกกลางฝ่ามือตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง หลังจากเก็บวิญญาณครึ่งเทพนี้ไปไว้เรียบร้อย เขาก็เงยหน้ามองศพมากมายที่อยู่บนกิ่งของพืชพรรณสีแดงสูงสามสิบกว่าจั้งต้นนั้น

พืชหญ้านี้มีสติปัญญาเป็นของตัวเอง คล้ายสัมผัสได้ถึงคลื่นน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างของมันจึงสั่นเทิ้มและโรยราไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าเขาราวตกใจจนตายอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อมันตายไป ศพเหล่านั้นก็ร่วงกราวลงมาบนพื้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเข้าไปใกล้ แล้วเขาก็พลันได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยใบหน้าหนึ่งในบรรดาศพหลายร้อยนั้น

“ผู้สืบทอดของราชาเก้านรกภูมิ โจวหง!” ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนติดขัด โจวหงผู้นี้เคยเล่นงานป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างลับๆ อยู่หลายครั้งตอนที่เขาอยู่ในแดนทุรกันดาร มาถึงท้ายที่สุด เนื่องจากล้มเหลวไปเสียทุกครั้ง และยิ่งป๋ายเสี่ยวฉุนเปิดเผยตัวตนก็ยิ่งทำให้โจวหงรู้สึกจนใจสุดขีด สู้ก็สู้ไม่ชนะ ด้วยความอึดอัดคับแค้นใจจึงได้แต่เลือกหลบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน

ตอนนี้โจวหงยังไม่กลืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายลงไป แต่ไฟแห่งชีวิตของเขามอดดับลงแล้ว ทว่าเพราะการตายของพืชพรรณต้นนั้นทำให้จิตสำนึกของเขาหวนคืนจึงลืมตาขึ้นมาคล้ายได้รับแรงฮึดเฮือกสุดท้ายก่อนตาย พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็อึ้งตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด

ในดวงตานั้นมีความซับซ้อน มีความตื่นเต้น มีความขมขื่น และมีความปลงอนิจจัง…

ราวกับว่าทุกบุญคุณความแค้นในอดีตล้วนรวมอยู่ในสายตานี้ จนกระทั่งท้ายที่สุด เขาเองก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร เพียงแค่คลี่ยิ้มแล้วหลับตาลง…

ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น เขาอยากช่วยอีกฝ่าย แต่รู้ดีว่าตนไร้กำลังให้ฝืนชะตาฟ้า เนิ่นนานหลังจากนั้น เขาถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก ยกมือขวาขึ้นเก็บศพของโจวหงไป และทันใดนั้นถ้ำทั้งถ้ำก็ตกอยู่ในทะเลเพลิง

เสียงตูมตามดังกึกก้องไปทั่ว ทุกสิ่งที่เคยดำรงอยู่ในถ้ำล้วนแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี มีเพียงพวกพืชหญ้าที่แม้จะเติบโตขึ้นมาด้วยสารบำรุงเลือดของนักพรตราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง ทว่าพืชหญ้าไม่มีความผิด จึงถูกป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดเอามาจนเกลี้ยงด้วยความเคยชิน!

ตอนที่หมุนตัวจากมา สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายความเฉียบขาด ครั้นจึงเดินไปยังประตูทางออก

“ต่อให้จะเสียเวลามากขึ้น แต่ก็ต้องพาคนของโลกทงเทียนที่อยู่ที่นี่ไปด้วยให้ได้!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ ชั่วขณะที่เดินออกจากถ้ำ อำนาจจิตของเขาก็พลันซัดครืนครั่นไปสี่ทิศ!

พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปทั่วทั้งนครอวิ๋นไห่ ทำให้นักพรตทุกคน คนธรรมดาทุกคนที่อยู่ในนครแห่งนี้ซึ่งไม่ว่าจะมีตบะอะไรก็ล้วนตัวสั่นเทิ้ม ในสมองเกิดเสียงดังอึงอล สูญสิ้นทุกจิตสำนึก ราวกับว่าสำหรับพวกเขาแล้ว บัดนี้…เวลาได้หยุดลง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!