Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 345

ตอนที่ 345

ค่ายกลกระบี่ดอกบัว

ตูม!

ในเช้าตรู่วันหนึ่ง สายฟ้าก็ปรากฎขึ้นเหนือบึงน้ำที่กว้างใหญ่ ด้านนอกของหนึ่งในอาคารบ้านเรือน

หลังคาของอาคารหลังนี้ได้หายไปนานแล้ว เห็นได้ชัดว่าถูกทำลายไป เถ้าธุลีสีดำมองเห็นได้ทุกหนทุกแห่ง ตอนนี้มีผู้ฝึกตนอยู่ในที่แห่งนี้เกือบหนึ่งพันคน และคนทั้งหมดก็คุ้นเคยกับสายฟ้าไม่มากก็น้อย

ขณะที่นกแก้วทะยานพุ่งผ่านอากาศ มองขึ้นไปในท้องฟ้า และถอนหายใจด้วยความเห็นอกเห็นใจออกมา จากนั้นก็คิดไปถึงเจตนาดีของมัน ทำจิตใจให้แน่วแน่มุ่งมั่นที่จะไปสั่งสอนผู้ฝึกตนในการใช้ค่ายกลเซียน

“ค่ายกลนี้ใช้ผู้คนเป็นรากฐาน! ด้วยคนนับร้อย, พวกเจ้าสามารถสร้างความสั่นสะท้านให้กับสร้างแกนลมปราณ ด้วยผู้คนนับพัน, พวกเจ้าสามารถต่อสู้กับขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง ด้วยผู้คนนับหมื่น, ขั้นตัดวิญญาณก็ไม่นับว่าเป็นอย่างไร! ด้วยผู้คนนับล้าน พวกเจ้าสามารถสะกดเซียนอมตะ! ย้อนกลับไปตอนที่อู่เหยียอาละวาดไปทั่วทั้งเก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่ ไม่มีใครปฏิเสธที่จะก้มหัวให้กับข้า!”

ความโหยหาปรากฎขึ้นในดวงตา เป็นเครื่องหมายราวกับว่ามันได้ย้อนรำลึกไปถึงความรุ่งเรืองในอดีตที่ผ่านมาของมัน จากนั้นก็พยายามสอนผู้ฝึกตนเหล่านั้นเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

ด้านในอาคารซึ่งถูกโจมตีโดยสายฟ้า ใบหน้าเมิ่งฮ่าวดูน่าเกลียด แต่ที่ยิ่งดูน่าเกลียดมากไปกว่า ก็คือใบหน้าของปรมาจารย์ตระกูลหลี่ ซึ่งดูราวกับว่ามันกำลังมีอาการร่อแร่เต็มที

“บรรพบุรุษน้อยของข้า!” มันคร่ำครวญ ร่างวิญญาณสั่นสะท้าน ดูเหมือนมันใกล้จะเป็นบ้าไปได้ทุกขณะจิต “ท่านบรรพบุรุษน้อย เช่นนี้ดีหรือไม่?! ปล่อยข้าไป…ข้าทนทานไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ปล่อยให้สายฟ้าผ่าข้าออกเป็นสองส่วน, ดีหรือไม่…?”

เมิ่งฮ่าวไม่กล่าวคำใดๆ นำร่างวิญญาณของปรมาจารย์ตระกูลหลี่เก็บกลับเข้าไป จากนั้นก็มองขึ้นไปในท้องฟ้า ซึ่งดูเหมือนจะสดใส ไร้สายฟ้าใดๆ อีก ในตอนนี้ เขาไม่ค่อยหวาดกลัวต่อสถานการณ์เช่นนี้อีก แต่คุ้นเคยกับมันไปแล้ว

หลังจากฝึกฝนมาระยะเวลาหนึ่ง เขาก็ได้พัฒนาวิธีการบางอย่าง เพื่อดึงเอาปรมาจารย์ตระกูลหลี่ออกมาได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ตอนนี้วิธีการนั้นได้ถูกพัฒนาให้กลายเป็นสัญชาติญาณ ทันทีที่สายฟ้าปรากฎขึ้น ปรมาจารย์ตระกูลหลี่ก็จะถูกเรียกออกมา

ตอนแรก เมิ่งฮ่าวยังไม่บรรลุถึงความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ แต่วิธีการฝึกรับเหตุฉุกเฉินได้ผล และในที่สุดเขาก็สามารถใช้วิธีการนั้นได้เกือบสมบูรณ์ทุกครั้ง

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความรู้แจ้งของเมิ่งฮ่าวเกี่ยวกับสายฟ้า ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นสัญชาติญาณ

ในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวไม่อาจจะรักษาสีหน้าให้เยือกเย็นได้โดยสิ้นเชิง ยังคงดูเจ็บปวดอยู่เล็กน้อย ถึงแม้จะไม่ได้มากมายเท่ากับปรมาจารย์ตระกูลหลี่ก็ตาม

เมิ่งฮ่าวมองไปยังบุรุษวัยกลางคนที่นอนอยู่เบื้องหน้า ร่างกายมันสั่นสะท้าน ใบหน้าซีดขาว ดูเหมือนมันจะถูกกักขังไว้ในสถานที่แห่งนี้ และไม่อาจจะขยับตัวเคลื่อนไหวได้ คนผู้นี้ยังเลวร้ายกว่าปรมาจารย์ตระกูลหลี่มากนัก

นี่เป็นผู้ฝึกตนที่ไม่ได้มาจากดินแดนสีดำ แต่มาจากทะเลทรายตะวันตก นี่เป็นบุรุษที่เมิ่งฮ่าวได้ทำให้สลบไปก่อนหน้านี้ เป็นคนที่มีรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์สามภาพ เขานำมันมายังที่แห่งนี้ ผนึกมันไว้ ป้องกันไม่ให้มันขยับตัวเคลื่อนไหว และเริ่มศึกษามัน

เมิ่งฮ่าวรักการศีกษาหาความรู้ ย้อนกลับไปตอนที่เขายังเป็นนักศึกษา เขามักจะชอบอ่านหนังสือ หลังจากที่เข้ามาในโลกแห่งการฝึกตน เขาก็มักจะศึกษาวิชาเวท หรือครุ่นคิดเกี่ยวกับการปรุงยา

ไม่สำคัญว่าเมื่อไหร่ ตราบเท่าที่มีเวลา เขาก็จะศึกษาบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งมักจะนำไปสู่ความเข้าใจในส่วนต่างๆ มากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่เขากำลังศึกษาผู้คน

เมิ่งฮ่าวได้ศึกษามันมาเป็นเวลาสามวันแล้ว ทั้งด้านในและภายนอก เมื่อไหร่ที่เขาเผชิญกับบางจุดที่ไม่เข้าใจ เขาก็จะตัดชิ้นเนื้อออกมา และเพ่งสมาธิศึกษาไปจนกว่าจะเข้าใจ

เมิ่งฮ่าวได้เรียนรู้มากมายในสามวันที่ผ่านมานี้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก สำหรับบุรุษวัยกลางคน แม้ว่านี่จะเป็นฝันร้าย ราวกับว่ามันกำลังตกอยู่ในขุมนรกที่ลึกที่สุด เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายออกมาได้ ความเย็นชาของมันเปลี่ยนเป็นความทุกข์ทรมาน, ก่นด่าสาปแช่ง และบ้าคลั่ง ในที่สุดมันก็เริ่มร่ำไห้โอดครวญ และเชื่ออย่างแท้จริงว่า เมิ่งฮ่าวเป็นบุคคลที่น่ากลัวมากที่สุดในโลกแห่งผู้ฝึกตนทั้งหมด

ตอนนี้ เมิ่งฮ่าวกำลังศึกษาโลหิตของผู้ฝึกตนนั้น เขายืดแขนของมันออกมา ซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลและส่วนที่ตกสะเก็ดไปแล้ว เนื้อเยื่อบางแห่งก็ขาดหายไป

เมิ่งฮ่าวกรีดเป็นแผลยาว และจากนั้นก็เก็บตัวอย่างโลหิตมา

เขาใส่โลหิตเข้าไปในกระถางปรุงยา และเริ่มกลั่นสกัดมัน

ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นเป็นสีเทาซีด ดวงตาไร้ประกายและเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง มันไม่รู้ว่าจะถูกปฏิบัติเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด และจิตใจของมันก็ใกล้จะพังทลายลงไปเต็มที จริงๆ แล้ว เมื่อคืนก่อน เมิ่งฮ่าวได้เตรียมที่จะศึกษาสมองของมัน ความหวาดกลัวทำให้มีหยาดน้ำตาไหลรินลงมาจากดวงตาของมัน

ในตอนนั้น เมิ่งฮ่าวก็ลังเล และจากนั้นก็ตัดสินใจไม่ดำเนินการต่อ

เมิ่งฮ่าวมักจะมีความสนใจในรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกเป็นอย่างมาก หลังจากวิเคราะห์ค้นคว้าไปมากมาย เขาก็ได้ข้อสรุปว่า ภาพเหล่านั้นประกอบไปด้วยพลังที่คล้ายกับเม็ดยา เป็นพลังที่มาจากร่างกายภายนอกของผู้ฝึกตน

ยกตัวอย่างเช่น ภาพศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถใช้พุ่งทะลวงผ่านขั้นรวบรวมลมปราณ ไปยังขั้นพื้นฐานลมปราณ และจากนั้นก็เป็นขั้นสร้างแกนลมปราณ ความเข้าใจในเรื่องนี้ทำให้เขารู้แจ้งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

เมิ่งฮ่าวรู้สึกมานานแล้วว่า เขาสามารถทะลวงผ่านจากขั้นกลางสร้างแกนลมปราณไปยังขั้นสุดท้ายได้ ความรู้สึกนี้เริ่มรุนแรงมากขึ้น จนในที่สุด เขาก็ตระหนักว่าเพื่อที่จะทะลวงผ่านไปยังขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณ เขาจำเป็นต้องยอมให้ทัณฑ์สวรรค์ฟาดลงมาที่เขาอย่างเต็มที่ หลังจากที่มีชัยชนะเหนือมัน เขาก็จะสามารถผ่านเข้าไปยังขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณ

แต่เมื่อไหร่ที่มันเกิดขึ้น เขาก็มีความเชื่อมั่นอยู่เล็กน้อยเกี่ยวกับขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง วิญญาณแรกก่อตั้งเป็นก้าวที่กว้างใหญ่ซึ่งมีผู้ฝึกตนน้อยคนนักที่จะสามารถไปถึงได้อย่างแท้จริง

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้ฝึกตนมากมาย สามารถบรรลุถึงขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณ แต่ก็มีน้อยมากที่จะสามารถทะลวงผ่านเข้าไปยังขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง ดูเหมือนจะมีผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งอยู่มากมาย แต่ต้องมีการยืดอายุขัยออกไปมาก จึงทำให้มีผู้คนน้อยนักที่สามารถทะลวงผ่านไปยังขั้นนี้ได้อย่างแท้จริง

หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดสำหรับเมิ่งฮ่าวก็คือ การที่เขาขาดบางส่วนของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ ซึ่งเกี่ยวข้องกับแกนสีทอง ถ้าไม่มีวิธีการที่เหมาะสม ก็เป็นเรื่องยากที่จะบรรลุถึงขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งสมบูรณ์

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะได้ตำรานั้นมาครอบครอง และเขาก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนด้วยเช่นกัน แต่เมิ่งฮ่าวก็มีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า ภาพศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกจะช่วยให้เขา สร้างเส้นทางของตัวเองขึ้นมาได้ เพื่อมุ่งตรงไปยังขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งสมบูรณ์

เมิ่งฮ่าวเพ่งสมาธิไปที่โลหิตในกระถางปรุงยา ขณะที่มันค่อยๆ กลายเป็นหมอกอย่างช้าๆ จนในที่สุดก็จางหายไป จากนั้นแสงเจิดจ้าก็ส่องประกายอยู่ในดวงตา “น่าสนใจนัก ไม่มีกลิ่นอายของภาพศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายในโลหิต”

“ผิวหนัง, กล้ามเนื้อ, กระดูกและโลหิต โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ พวกมันทั้งหมดเป็นปกติธรรมดาโดยสิ้นเชิง!”

เมิ่งฮ่าวนั่งครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็มองกลับไปยังบุรุษที่อยู่ตรงหน้า จิตใจของมันสั่นสะท้าน และกำลังจะอ้าปากเพื่อวิงวอนขอชีวิต ในขณะที่มือขวาของเมิ่งฮ่าวได้ยื่นมาวางอยู่บนแขนที่มีรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ของมัน

“ภาพศักดิ์สิทธิ์นี้มีร่องรอยของปราณอสูรอยู่จางๆ ซึ่งถูกเรียกว่าแก่นแท้ของเก้าขุนเขาทะเลด้วยเช่นกัน” ขณะที่เมิ่งฮ่าวยกมือกลับขึ้นไป บุรุษผู้นั้นก็ส่งเสียงครวญครางแหลมเล็กออกมา รอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ แยกออกมาจากผิวหนังของมัน ถูกดึงขึ้นไปจนกระทั่งเมิ่งฮ่าวถือสิ่งที่ดูเหมือนกับเป็นแผ่นผิวหนังอยู่ในมือ หลังจากแยกออกมา มันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งไร้ร่องรอยใดๆ โดยสิ้นเชิง

“เมื่อไหร่ที่มันออกไปจากร่างกายของผู้ฝึกตน ภาพศักดิ์สิทธิ์ก็จะหายไป”

เขาขมวดคิ้ว “แล้วภาพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แล้วก็คืออะไร? เป็นปรากฎการณ์ของอสูรอันยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์และปฐพี?”

เมิ่งฮ่าวมองออกไปด้านนอก เป็นเวลายามสนธยาแล้ว และท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยกลุ่มเมฆ ความคิดมากมายหมุนคว้างอยู่ในจิตใจ แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ

 

หลังจากนั้นสักพัก เมิ่งฮ่าวก็โบกสะบัดมือ ผนึกที่มองไม่เห็นของผู้ฝึกตนวัยกลางคนก็หายไป มันลุกขึ้นมายืน ตัวสั่นสะท้าน รีบประสานมือและโค้งตัวให้กับเมิ่งฮ่าวอย่างรวดเร็ว ตัวสั่นไปมาอย่างรุนแรงต่อเนื่อง

“เจ้าไปได้แล้ว” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ

สำหรับบุรุษผู้นั้น คำพูดนี้ราวกับเป็นประกาศิตจากสวรรค์ จิตใจมันเต็มไปด้วยความยินดีจนอยากจะร่ำไห้ออกมา มันจากไปในทันที เร่งความเร็วให้มากสุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อออกไปจากดินแดนแห่งฝันร้ายนี้

เวลาผ่านไป เมิ่งฮ่าวก้มศีรษะลงและหัวเราะออกมา “ข้าคงดีใจล่วงหน้ามากไป” เขาพึมพำ “ข้ามีพลังของผนึกปราณอสูร แต่การจะเข้าใจภาพศักดิ์สิทธิ์ คงต้องใช้เวลาอีกมาก ความรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์ไม่อาจได้มาในช่วงเวลาสั้นๆ” อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมั่นก็สาดประกายอยู่ในดวงตา เขาจะไม่ยอมเลิกล้มในความคิดที่จะทำความเข้าใจภาพศักดิ์สิทธิ์

เขาตบไปที่ถุงสมบัติ หยิบเอากระดาษที่คล้ายผ้าซึ่งมีขอบไม่เรียบ เป็นแถบยาวอ่อนนุ่มสีเหลืองคล้ายพื้นดินออกมา

นี่ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากสิ่งที่ช่วยเพิ่มชื่อเสียงของปรมาจารย์จินกวง เป็นธงที่นกแก้วได้ช่วยให้เขาขโมยมาจากงานประมูล หลังจากที่ตื่นขึ้นมาจากการจำศีล นกแก้วก็ช่วยเขากลั่นสกัดมัน

“ยันต์ที่ถูกใช้โดยเซียนอมตะ ซึ่งสามารถช่วยให้ข้าได้รับความรู้แจ้ง ที่เกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์เวทในดินแดนสีดำ นี่ต้องเป็นการช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน” เขาลูบกระดาษขณะที่คิดไปถึงอาณาเขตอันกว้างใหญ่ที่ผู้ติดตามของเขา สามารถไปค้นหาดินเซียนได้ ซึ่งการเป็นปรมาจารย์จินกวงของเขาในตอนนี้ ก็เห็นได้ชัดว่า ทำให้คนเหล่านั้นสามารถขยายอาณาเขตไปค้นหาได้มากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้

 

ดินเซียนจำนวนมากมายได้ถูกส่งมาให้เขา ตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องทำทั้งหมดก็คือนำดินไปแตะสัมผัสกับกระดาษยันต์แผ่นนี้ และมันจะดูดซับเอากลิ่นอายของดินเซียนเข้าไป ทำให้กลายเป็นดินธรรมดาโดยสมบูรณ์

หลังจากที่ดูดซับกลิ่นอาย สัญลักษณ์เวทก็จะปรากฎขึ้นบนกระดาษ ซึ่งค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปร่างของการผนึก

เมิ่งฮ่าวมั่นใจว่า หลังจากมีเวลานานพอ และรวบรวมดินได้เพียงพอ สัญลักษณ์เวทก็จะปรากฎบนกระดาษมากขึ้น ด้วยความรู้แจ้งในสัญลักษณ์เหล่านั้นมากขึ้น เขาก็จะสามารถใช้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์อันน่าตกใจบางอย่างออกมาได้

นี่เป็นวิธีการที่เขาวางแผนไว้เพื่อจัดเตรียมเวทเซียนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เมื่อเขาบรรลุขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง!

รุ่งอรุณวันต่อมา เมิ่งฮ่าวเก็บกระดาษยันต์กลับเข้าไป และจากนั้นก็หยิบเอากระบี่ไม้แห่งกาลเวลาออกมา และเริ่มกลั่นสกัดมันเพิ่มขึ้นไปอีก เขาได้ทำการกลั่นสกัดกระบี่ไม้นี้มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่มาถึงดินแดนสีดำ และในตอนนี้ มันก็ประกอบไปด้วยวงจรแห่งกาลเวลาหกสิบปีถึงสามรอบ นอกจากนี้ เขายังมีต้นชุนชิวอยู่ในถุงสมบัติซึ่งประกอบไปด้วยวงจรหกสิบปีสองรอบ

“ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสร้างของวิเศษกาลเวลา ซึ่งประกอบไปด้วยวงจรหกสิบปี” เขาคิด “เพียงแค่ใช้ความพยายามสักเล็กน้อยก็ได้แล้ว สำหรับวงจรหกสิบปีสองรอบ ก็มีโอกาสทำได้สำเร็จถึงสามในสิบส่วน ถ้าล้มเหลวก็หมายถึงต้องสูญเสียทรัพยากรไปทั้งหมด นั่นเป็นเรื่องใหญ่อย่างแท้จริง แล้วของวิเศษกาลเวลาที่มีวงจรหกสิบปีสามรอบจะน่ากลัวขนาดไหน มีโอกาสที่จะทำได้สำเร็จเพียงแค่ครึ่งส่วนในสิบส่วน ถ้าไม่มีกระจกทองแดง ข้าก็คงไม่อาจจะสร้างขึ้นมาได้แม้แต่ชิ้นเดียวในชั่วชีวิตของข้า”

เขามองไปยังกระบี่ในมือ ซึ่งเปล่งประกายแสงสีฟ้าอันเจิดจ้าออกมา พื้นผิวของมันดูเหมือนจะไหลไปมาเหมือนกับสายน้ำ

และการสะบัดกระบี่อยู่ในอากาศ ก็ทำให้เกิดระลอกคลื่นกระจายออกไป ระลอกคลื่นนั้นทำให้สิ่งของที่อยู่รอบๆ เริ่มผุพังลงไปในทันที

เมิ่งฮ่าวกำลังจะเก็บกระบี่กลับเข้าไป แต่ทันใดนั้นเอง ที่เขาเงยหน้าขึ้น และมองออกไปยังที่ห่างไกล เขาขมวดคิ้ว

“ตระกูลตงลั่วไม่อาจจะต่อต้านได้อีกแล้ว” เขาพึมพำ ส่งจิตสัมผัสออกไปเพื่อตามหานกแก้ว และแจ้งคำสั่งบางอย่าง ต่อมา ร่างเขาก็เริ่มกลายเป็นแสงเลือนลาง และภาพภูติผีก็พุ่งขึ้นมา หลังจากนั้น เมิ่งฮ่าวคนที่สองก็ปรากฎขึ้น หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ อีกหนึ่งค่อยๆ จมลงไปในพื้นดิน

เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดมือขวา จากนั้นกระบี่ไม้แห่งกาลเวลาสิบเล่ม ก็ลอยออกมาจากห้องลับใต้ดิน หมุนวนเป็นวงกลมในอากาศเหนือศีรษะเขา

ปลายกระบี่ชี้ออกไปด้านนอก และขณะที่พวกมันหมุนวนไปมา ก็เริ่มสร้างเป็นกระแสน้ำวนในรูปของดอกบัว พลังที่กระจายออกมาจากค่ายกลกระบี่รูปดอกบัว ทำให้อาคารที่เมิ่งฮ่าวอยู่นั้นเริ่มผุพังลงไป ในที่สุด ก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่นอกจากเถ้าธุลี บรรยากาศทั้งหมดในบริเวณนั้นเริ่มเต็มไปด้วยความผุพังและเก่าแก่โบราณ จิตใจของผู้ฝึกตนนับพันคนสั่นสะท้าน พวกมันกระจัดกระจายออกไปในทันที มองกลับมายังเมิ่งฮ่าวด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ตอนนี้เขากำลังนั่งขัดสมาธิ มีดอกบัวขนาดใหญ่หมุนวนไปมาอยู่เหนือศีรษะ รอบๆ ตัวเขา ทุกสิ่งทุกอย่างในบึงน้ำกำลังเริ่มผุพังลงไป

ในตอนนี้เองที่ดวงจันทร์กำลังลอยขึ้นมา แสงจันทร์สาดส่องลงมายังกระบี่ ทำให้พวกมันส่องประกายเป็นแสงสีเงินออกมา ดูเหมือนกับดอกบัวที่กำลังเบ่งบาน ช่างแปลกประหลาดและสวยงาม…ทุกคนที่มองมาคงต้องจดจำภาพนี้ไปตลอดชีวิตของพวกมันอย่างแน่นอน

ขณะที่ดอกบัวสั่นกระเพื่อมไปมา ปรมาจารย์จินกวงที่ด้านล่างก็เงยหน้าขึ้น และกล่าวเสียงราบเรียบดังก้องออกมา “นี่คือค่ายกลกระบี่กาลเวลาของข้า!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!