Skip to content

A World Worth Protecting 13

บทที่ 13 โอสถปัดเป่า

หลังจากฝากตำนานไว้ที่สาขาการยุทธ์ หวังเป่าเล่อก็เดินทางกลับมายังถ้ำพักอาศัยของตนที่สาขาอาวุธเวท เด็กหนุ่มนั่งที่ระเบียงอย่างอิ่มเอมใจพลางมองไปยังท้องฟ้าสีฟ้าสวยสด เขารู้สึกมีความสุขเหลือเกินขณะหยิบถุงขนมขึ้นมาเริ่มเปิด    เคี้ยวกร้วมๆ

ข้าผอมลงไปเสียขนาดนี้ ต้องบำรุงหน่อยเสียแล้ว หวังเป่าเล่อถอนหายใจ      ขณะจับไปที่ใบหน้าท้วมน้อยๆ และพุงยื่นๆ ของตน แม้ว่าแผนการลดน้ำหนัก         จะทำให้เขากำจัดไขมันวิญญาณออกไปจนหมดได้เขาก็ยังคงเป็นเจ้าตุ้ยนุ้ยอยู่ดี       ถึงกระนั้นเขาก็ยังรู้สึกพอใจกับผลลัพธ์

“วิญญาณบรรพบุรุษจ้ำม่ำคงไล่ตามจับข้าไม่ได้แล้ว” หวังเป่าเล่อหัวเราะเบาๆ เขารู้สึกได้ถึงปราณโลหิตที่ไหลเวียนอยู่ภายในกาย ขณะที่กำลังดื่มด่ำกับความสำเร็จเขาก็หยิบขนมออกมาเปิดกินอีกถุง

กว่าเด็กหนุ่มจะอิ่มก็ปาไปยามโพล้เพล้ เขาทำเป็นเมินถุงขนมเปล่ากองย่อม       ที่ระเบียงและเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อเริ่มผลิตศิลาวิญญาณอีกครั้ง

ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมา เขาโคจรวิชามหาสุญกลืนปราณรวมพลังรอบตัวเข้าเป็นหนึ่งเดียว เมื่อรวบรวมปราณมาเรียบร้อยแล้ว หวังเป่าเล่อก็บีบอัดพลังทั้งหมดไปที่มือขวา ปรากฏเป็นศิลาวิญญาณขนาดเท่าลูกเกาลัดอยู่บนฝ่ามือของเขา!

ศิลาวิญญาณก้อนนี้ไม่ได้ตกผลึกอย่างสมบูรณ์แบบหากยังดูค่อนข้างโปร่งแสงอยู่ ความรู้สึกราวกับว่ากำลังถือสมบัติล้ำค่าอยู่ในมือทำให้หวังเป่าเล่อฉีกยิ้มกว้างไปถึงสองใบหู

ความบริสุทธิ์ร้อยละ 75 ข้ายังต้องฝึกให้หนักกว่านี้จักได้ทำให้ถึงร้อยละ 90 โดยเร็ว ความตื่นเต้นดีใจนี้แฝงไปด้วยความคลั่งไคล้ทันทีที่นึกถึงเกียรติและอำนาจของตำแหน่งหัวหน้านักเรียนที่รออยู่ เขารีบฝึกต่ออย่างไม่รอช้า

เจ็ดวันผ่านไปไวราวโกหก

ภายในระยะเวลาเจ็ดวันนั้น หวังเป่าเล่อเข้าเรียนที่โถงศิลาวิญญาณอยู่บ้าง       แต่ด้วยความตั้งใจที่ลดลงแต่ก่อน เขายังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกปรือ        วิชามหาสุญกลืนปราณแต่ก็เจออุปสรรคเข้าจนได้

เมื่อความบริสุทธ์ของศิลาวิญญาณแตะเลข 75 การจะดันไปให้ไกลกว่านั้น     กลับทำได้ยากเสียเหลือเกิน ช่างดูราวกับว่าเขาเจอเข้ากับปัญหาคอขวดที่ต่อให้      ฝึกหนักมากเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้

นี่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกกังวลใจอย่างเสียมิได้ เขาตบพุงตนเองอย่างไม่ได้ดั่งใจหลังจากการฝึกในสองสามวันที่ผ่านมาดูไร้วี่แววของผลลัพธ์ เขาควักเอาหน้ากากนิลออกมาพลางบ่นคำราม

หรือว่าข้าทำผิดวิธี ข้าตกสำรวจอะไรไปเพราะตัวอักษรมันอ่านได้ไม่ชัดหรือเปล่านะ คิดได้เช่นนั้นหวังเป่าเล่อก็พลันรู้สึกสิ้นไร้ไม้ตอกขึ้นมาทันที เขาหยิบหมอนเทพมายาออกมาและพาตนเองเข้าไปสู่มิติมายาอีกครั้ง

มิติมายายังคงเป็นสีขาวโพลนด้วยน้ำแข็งเหมือนเดิม หิมะโปรยปราย                ไร้การควบคุมพร้อมลมหนาวที่พัดมากรีดแทงร่างกาย แต่หวังเป่าเล่อไม่มีอารมณ์    จะมาชื่นใจกับอากาศหนาวเย็น เขารีบก้มลงมองหน้ากากที่เลือนรางในมือตนทันที

ครู่ต่อมาเขาก็เห็นกลุ่มคำปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากพินิจพิเคราะห์ดูแล้ว     เขาก็แน่ใจว่าตนเองไม่ได้ทำพลาดไปแม้แต่จุดเดียว

ช่างแปลกนัก…ไม่มีจุดใดที่ข้าพลาดเลย แล้วเหตุใดข้าจึงผ่านเลข 75 ไปไม่ได้เสียทีนะ หวังเป่าเล่อรู้สึกทุกข์ใจมากขึ้นกว่าเดิม เขาถอนหายใจหลังจากบ่นออกมา ขณะที่  เด็กหนุ่มกำลังจะออกจากมิติมายาเพื่อไปหาทางแก้อื่นนั้น หน้ากากนิลก็ดูราวกับ    จะได้ยินสิ่งที่เขาพูดและเริ่มบิดงออย่างรวดเร็ว

ภาพตรงหน้าทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกตกใจเป็นอันมาก เขาตระหนกเมื่อพบว่า  เคล็ดลับวิชามหาสุญกลืนปราณได้อันตรธานหายไปเสียแล้ว แต่กลับมีตัวอักษรใหม่ขึ้นมาแทนที่

และตัวอักษรใหม่เหล่านั้นก็ชี้ให้เขาเห็นทางที่จะก้าวข้ามปัญหาความบริสุทธิ์ของศิลาวิญญาณไปได้!

ปรากฏการณ์นี้ทำให้หวังเป่าเล่องงงวยเป็นอันมาก เขาขยี้ตาและเพ่งมองไปที่หน้ากาก พลางตะโกนว่า “ใครอยู่ในนั้นน่ะ จงแสดงตัวออกมา ข้ารู้นะว่าเจ้าอยู่ในนั้น จงออกมาเดี๋ยวนี้!”

เมื่อพูดออกไปเรียบร้อยแล้วหวังเป่าเล่อก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมและจ้องเขม็งไปที่หน้ากาก แต่หน้ากากนิลกลับนิ่งไม่ไหวติงใดๆ ท้ายที่สุดหวังเป่าเล่อก็มองไปยังตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนหน้ากากอย่างไม่ไว้วางใจ ดวงตาของเขาค่อยส่องประกายขึ้น

โอสถปัดเป่า…

คำที่แสดงอยู่บนหน้ากากบอกหวังเป่าเล่อว่าการจะทำให้ศิลาวิญญาณบริสุทธิ์มากไปกว่านี้ เขาต้องใช้สิ่งที่เรียกว่าโอสถปัดเป่ามาเป็นตัวช่วย มีแต่ยานี้เท่านั้นที่จะทำให้ขจัดสิ่งแปลกปลอมออกไปจากร่างกายของเขาอย่างหมดจด แลทำให้พลังปราณสามารถไหลเวียนเข้าร่างได้อย่างไม่โดนกีดกัน นี่แหละคือ วิธีที่จะทำให้เขาเพิ่มค่าความบริสุทธิ์ของศิลาวิญญาณได้

หวังเป่าเล่อตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขารู้สึกประทับใจกับหนทางแก้ไข แต่ขณะเดียวกันก็พบว่าเจ้าหน้ากากนี่มันช่างแปลกเสียเหลือเกิน เขายังคงลังเลเมื่อพาตนเองออกจากมิติมายา หลังจากเปิดเครือข่ายวิญญาณแล้วเด็กหนุ่มก็เริ่มค้นหาว่าโอสถปัดเป่านี่แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่

ไม่นานเขาก็พบข้อมูลโดยสังเขปเกี่ยวกับโอสถปัดเป่าบนเครือข่ายของสำนักศึกษา     ดูเหมือนว่าเจ้ายานี้จะไม่ทำอันตรายต่อร่างกายมนุษย์แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง ยานี้สามารถขจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกายมนุษย์ออกไปได้ จึงทำให้เหล่าจอมยุทธ์ระดับการฝึกตนโบราณเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างว่องไวมากยิ่งขึ้น

ปัญหาก็คือเจ้าโอสถปัดเป่านี้มีราคาแพงหูฉี่ และถ้าจะปรุงขึ้นมาเองก็ยากเสียเย็นแสนเข็ญเสียเหลือเกิน นี่ไม่ใช่ยาที่ศิษย์สาขาหลอมโอสถปกติทั่วไปจะปรุงขึ้นมาได้เองด้วยซ้ำ มีแต่คนระดับหัวหน้าศิษย์สาขาหลอมโอสถเท่านั้นที่อาจโชคช่วยทำสำเร็จ และแน่นอนว่าเขาย่อมอยากจะกินมันเสียเองอยู่แล้ว

เนื่องจากสมุนไพรที่ใช้ในการปรุงเป็นของหายากเหลือเกิน แม้แต่ประธานนักเรียนเองก็คงต้องน้ำตาไหลเมื่อเห็นทุนทรัพย์ของตน คงมีเพียงอาจารย์สาขา   หลอมโอสถเท่านั้นที่จะพอจ่ายไหว

พูดง่ายๆ ก็คือ โอสถปัดเป่านี้ถือเป็นของล้ำค่าอย่างหาที่สุดมิได้ที่เกาะ           มหาปราชญ์ชั้นรองนี้

เมื่อได้อ่านสรรพคุณของโอสถปัดเป่าแล้วหวังเป่าเล่อก็หมดสิ้นซึ่งความลังเลใจ เขาคิดว่าแม้หน้ากากนิลจะทำตัวแปลกๆ แต่เจ้ายานี่ก็จะมีประโยชน์ต่อตัวเขาแน่นอน ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าก่อตัวขึ้นมาในจิตใจของเด็กหนุ่มในฉับพลันทันใด

ในวันต่อๆ มานอกจากการเข้าเรียนและการฝึกปราณแล้วหวังเป่าเล่อก็ใช้เวลา   ที่เหลือแทบทั้งหมดไปกับการศึกษาสรรพคุณของโอสถปัดเป่า เขาทำแม้กระทั่งติดต่อขอความช่วยเหลือกระต่ายน้อยและตู้หมินที่ศึกษาอยู่สาขาหลอมโอสถ แต่การสืบค้นของเพื่อนทั้งสองก็เหมือนจะคว้าน้ำเหลวเช่นกัน หวังเป่าเล่อเริ่มอับจนหนทาง

ถึงอย่างไรเจ้ายานี่ก็ทั้งหายากและเลอค่ามาก ต่อให้มีคนอยากขายก็คงไม่ใช่อะไรที่นักเรียนธรรมดาอย่างกระต่ายน้อยและตู้หมินจะล่วงรู้ได้

แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นนักเรียนพรสวรรค์เขาก็เพิ่งเริ่มเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้มาได้ไม่ถึงปี มันจึงเป็นการยากมากสำหรับเด็กหนุ่มที่จะรู้ข่าววงใน

แต่ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น กระต่ายน้อยมุ่งมั่นกับการช่วยเหลือหวังเป่าเล่อเป็นอย่างมาก เด็กสาวรู้สึกว่าหวังเป่าเล่อได้ช่วยชีวิตของเธอไว้ แม้ว่าภายหลังเธอจะได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับบททดสอบนั้นก็ตาม ภาพของหวังเป่าเล่อที่ร่างกายอาบไปด้วยเลือดก็ไม่เคยเลือนหายไปจากใจของเธอเลย ไม่ต่างจากหลิวต้าวปิน

ด้วยเหตุนี้กระต่ายน้อยจึงจริงจังกับคำขอของหวังเป่าเล่อเอาเสียมากๆ และด้วยใบหน้าหวานน่ารักและนิสัยอันแสนสดใสร่าเริงของเธอ กระต่ายน้อยก็ได้ข่าวสำคัญมาในหนึ่งเดือนให้หลัง

“เป่าเล่อ! ข้าได้ยินมาว่าอีกครึ่งเดือนจะมีงานประมูลที่นครศักดิ์สิทธิ์ล่ะ           จะมีโอสถปัดเป่าขายด้วยนะ!”

เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินเสียงตามสายจากกระต่ายน้อยเขาก็ตื่นเต้นดีใจเป็นอันมากจนจุมพิตลงที่แหวนสื่อสาร

“เสี่ยวหยา ข้ารักเจ้า!”

ในหอพักของศิษย์สาขาหลอมโอสถกระต่ายน้อยนั่งอยู่บนเตียงของเธอ เมื่อเด็กสาว  ได้ยินเสียงจุมพิตจากหวังเป่าเล่อผ่านแหวนสื่อสารนั้นเธอก็หน้าแดงก่ำ ตู้หมินที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองมาด้วยความสงสัย

“เสี่ยวหยาเจ้าเป็นอะไรน่ะ”

“ป…เปล่านี่” กระต่ายน้อยก้มหน้าลงในทันที หัวใจของเธอเต้นแรงผิดจังหวะ ขณะที่กำลังรู้สึกเขินอายอยู่นั้น ความคิดอันแสนประหลาดที่อธิบายไม่ได้ก็ก่อตัวขึ้นในใจเธอ

ทางด้านหวังเป่าเล่อก็กำลังเดินวนไปวนมาในถ้ำที่พักของเขาด้วยความตื่นเต้น พลางกำหมัดชูขึ้นบนอากาศด้วยความดีใจเป็นครั้งคราว ดวงตาของเด็กหนุ่มตื่นตัวและเต็มไปด้วยความกระหาย

การประมูลต้องใช้ศิลาวิญญาณ นี่จะง่ายเกินไปแล้วสำหรับข้า ศิลาวิญญาณที่มีความบริสุทธิ์ร้อยละ 75 ถือว่ามีราคาแพงพอสมควร แถมข้ายังไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลยแม้แต่บาทเดียว หวังเป่าเล่อระเบิดหัวเราะออกมา เขารู้สึกราวกับว่าว่า         โอสถปัดเป่านั้นได้มาอยู่ในกำมือของเขาแล้ว นี่เป็นเพราะเขาได้สะสมศิลาวิญญาณเอาไว้เป็นจำนวนมากจากการฝึกฝนวิชาเมื่อก่อนหน้า

ตัวเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องใช้ศิลาวิญญาณมากมายขนาดนี้ ไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เขาใช้ทั้งหมดไปกับการซื้อโอสถปัดเป่า ขนหน้าแข้งเขาก็ไม่ได้ร่วงเลยสักนิด

แต่ข้าจะชะล่าใจไม่ได้ ในอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงกล่าวไว้ว่า           การประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไปมักนำมาซึ่งภัยร้าย ด้วยความคิดนี้หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจว่าจะใช้เวลาอีกครึ่งเดือนที่เหลือเดินหน้าผลิตศิลาวิญญาณต่อไป

แน่นอนว่าอีกครึ่งเดือนหลังจากนั้นหวังเป่าเล่อใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสร้างศิลาวิญญาณตามคาด เวลาผ่านไปเหมือนกระแสน้ำไหล ในที่สุดวันแห่งการประมูล   ก็มาถึง เช้าวันนั้นหวังเป่าเล่อก้าวเท้าออกจากถ้ำที่พักของเขาด้วยจิตใจอันแรงกล้า

สำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่กลางทะเลสาบป่าขจีที่อยู่บริเวณชานเมือง           ทิศตะวันออกของนครศักดิ์สิทธิ์ โดยปกติแล้วนักเรียนจากสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์สามารถเดินทางเข้าออกนครได้อย่างไม่มีข้อบังคับ แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่          หวังเป่าเล่อมาเยือนเมืองแห่งนี้ สถานที่นี้ก็ไม่ใช่ที่แปลกใหม่แต่อย่างใด เขานั่งเรือออกจากสำนักและวิ่งตรงไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ทันทีที่ถึงฝั่ง

ไม่นานเขาก็มาถึงจุดหมาย ถ้าเทียบกับเมืองปักษาเพลิงบ้านเกิดของเขา        นครศักดิ์สิทธิ์มีขนาดใหญ่กว่าอย่างเทียบไม่ติด เมืองปักษาเพลิงเป็นเพียงหนึ่งใน   เมืองเล็กๆ นับไม่ถ้วนที่อยู่ภายใต้การปกครองของสหพันธรัฐ แต่นครศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นถึงหนึ่งในสิบเจ็ดเมืองยุทธศาสตร์ของอาณาจักรเลยทีเดียว!

กำแพงใหญ่ยักษ์ที่ดูคล้ายกับแผ่นเหล็กปกป้องนครไว้จากอันตรายภายนอก     ทั่วกำแพงเรียงรายด้วยเหล็กแหลมมากมายนับไม่ถ้วนสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ แสงสะท้อนเจิดจ้าส่องประกายแห่งความตายอันน่าพรั่นพรึง

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีวงแหวนปราณขนาดใหญ่ล้อมกำแพงไว้อีกชั้น แม้นี่จะเป็นแสนยานุภาพที่ใช้ในเหตุการณ์ปกติ มิใช่แบบเต็มกำลัง ภาพตรงหน้าก็ทำให้รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่อันเหลือเชื่อที่โอบล้อมนครแห่งนี้ไว้

จากระยะไกลมองเห็นเจดีย์มากมายสูงลิบเลยยอดกำแพงขึ้นมา แต่ละยอดเจดีย์มีลูกบอลขนาดยักษ์ที่หมุนวนเป็นวงกลมพลางปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาเป็นระยะๆ ดูเอ่อล้นไปด้วยพลังอันน่ากลัวที่พร้อมกำจัดศัตรูที่อาจหาญบุกน่านฟ้า

ทั้งหมดนี่เป็นเพราะกระบี่สำริดเขียวโบราณจากจักรวาลอันไกลโพ้น หลังจากที่พุ่งเข้าเสียบกลางดวงอาทิตย์ ด้ามจับของมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วเศษเสี้ยวก็         ตกกระจายไปทั่วพื้นโลก หลายก๊กหลายเหล่าในอดีตต่างพากันค้นหาเศษของ       ดาบเหล่านั้นและควบคุมอิทธิฤทธิ์ของมันจนได้ ศาสตร์การฝึกปราณจึงแตกออกเป็นหลายสายหลายแขนง ดั่งทุ่งดอกไม้ที่เบ่งบานไปทั่วอาณาจักร เพราะเหตุการณ์นี้สหพันธรัฐจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แม้อำนาจกลางจะยังคงรวมศูนย์อยู่ที่สหพันธรัฐ ภายในอาณาจักรเองก็แตกออกเป็นสี่ก๊กใหญ่ ก๊กเล็กๆ มากมายต่างก็พึ่งพาอำนาจของก๊กใหญ่เหล่านี้ หากไม่ใช่เพราะสงครามอสูรที่อุบัติขึ้นในยุคกำเนิดวิญญาณ สหพันธรัฐคงล่มสลายไปอย่างแน่นอน

และก็เป็นเพราะสงครามอสูรเช่นกันที่แม้สหพันธรัฐจะดูสงบสุขดี ในฉากหน้า เหล่าก๊กต่างๆ ทั้งน้อยใหญ่ก็ยังมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในขอบเขตของความปกติ มิใช่ความเป็นปรปักษ์ที่รุ่นแรงแปรเปลี่ยนไปเป็น       การสู้รบ

สงครามอสูรเมื่อไม่นานมานี้ถือเป็นโศกนาฏกรรมของมวลมนุษยชาติในสหพันธรัฐเลยก็ว่าได้ พลังปราณที่กำเนิดขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายทำให้อาณาจักรแทบสูญสิ้น

พลังปราณไม่เพียงแต่ทำให้มนุษย์เริ่มฝึกฝนกำลังภายในได้เท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อสัตว์ป่าและพืชพันธุ์ด้วย พลังอันแก่กล้าทำให้สัตว์ป่า พืช และสัตว์ปีกทั้งหลายพร้อมใจกันกลายพันธุ์ บางพวกก็พัฒนาจนเก่งกล้าเกินมนุษย์ไปมาก

ด้วยความแข็งแกร่งนี้จึงทำให้สงครามอสูรอุบัติขึ้น

แม้ท้ายที่สุดแล้วสงครามจะทำให้สหพันธรัฐรวบรวมนครต่างๆ ให้กลับมาเป็นปึกแผ่นได้อีกครั้ง ธรรมชาติรกร้างและมหาสมุทรก็หลุดออกนอกการควบคุมของอาณาจักร และไปตกอยู่ภายใต้อำนาจของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ทั้งบนบกและในเวหา

เมืองต่างๆ จึงต้องมีระบบการคุ้มกันที่แน่นหนา ภัยอันตรายปกคลุมอยู่ทุกที่   นอกกำแพงเมืองผู้คนส่วนใหญ่จึงมิเคยย่างกรายออกนอกกำแพงสูงเลยตลอดชีวิต การเดินทางออกนอกกำแพงต้องไปกันเป็นหมู่คณะหรือพร้อมด้วยเหล่าจอมยุทธ์       ผู้แก่กล้าที่ว่าจ้างมาเป็นพิเศษ

เฉกเช่นเดียวกันคราที่หวังเป่าเล่อเดินทางมายังสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

หวังเป่าเล่อเฝ้ามองความยิ่งใหญ่ตระการตาอยู่นอกกำแพงนครศักดิ์สิทธิ์        เด็กหนุ่มสูดหายใจลึกเข้าเต็มปอด เชิดหน้าขึ้น ยืดอกผาย ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!