บทที่ 47 เจ้าคงจะเป็นหัวหน้าศิษย์โถงอักขราจารึก
ไม่มีใครรู้ตัวเลยว่าเวลาผ่านล่วงเลยมาจนรุ่งสางแล้ว บทสนทนาของหวังเป่าเล่อและเฒ่าผู้ฝึกตนทำให้จิตใจของทุกคนสั่นไหว
ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็ลุกยืน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเคารพอย่างสุดยิ่ง ชายหนุ่มโค้งหัวคำนับท่านผู้เฒ่า
“ขอขอบคุณท่านผู้ฝึกตนเป็นอย่างสูง ข้าไม่มีข้อสงสัยใดๆ แล้ว!”
ท่านผู้เฒ่าผู้เหาะมาจากตำหนักอาวุธเวทในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงมองหวังเป่าเล่อ เขาพอใจในตัวหวังเป่าเล่อมากทีเดียว จากคำถามทั้งหลายของชายหนุ่มนั้นได้แสดงให้เห็นถึงความรู้อันลึกซึ้งเกี่ยวกับหลักอักขราจารึก
ความรู้ความเข้าใจระดับนี้มิได้มาจากการจดจำตัวอักขระเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องมีพรสวรรค์ที่มากพอ ท่านผู้เฒ่าที่อยากจะดึงพรสวรรค์ของหวังเป่าเล่อเปิดปากพูด
“สหายหนุ่ม เจ้าถามคำถามข้ามาเกือบร้อยแล้ว ชายชราผู้นี้อยากจะถามเจ้ากลับสักคำถามบ้าง หากเจ้าสามารถหาคำตอบที่ข้าพึงพอใจได้ ข้าจะมอบวัตถุเวทให้เจ้าเป็นการตอบแทน เจ้าอยากจะลองประลองปัญญาดูหรือไม่”
ท่านผู้เฒ่ายกมือขวาขึ้นขณะที่พูด กำไลหยกมรกตปรากฏขึ้นเหนือมือ กำไลนั้น มีสีเขียวมรกตทั่วทั้งเส้น ดูสวยงามราวกับอัญมณี มีปราณเย็นไหลออกจากกำไล ทำให้ทั่วทั้งโถงศึกษาอากาศเย็นขึ้นเฉียบพลัน
เหล่าหัวหน้าศิษย์เบิกตากว้างจ้องมองกำไล ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้มูลค่าของมันแน่ชัด แต่พวกก็รู้ดีว่าถ้าเป็นของท่านผู้ฝึกตนก็คงไม่ใช่สร้อยข้อมือธรรมดาแน่
“หวังเป่าเล่อ ในมือของท่านผู้ฝึกตนคือกำไลคลังเวท วัตถุเวทระดับสองขั้นสูงเลยทีเดียว! กำไลชิ้นนี้ยังมีอิทธิฤทธิ์ช่วยป้องกันภัยได้อีกด้วย ตอบคำถามให้ดีล่ะ เจ้าหนุ่ม” เจ้าสำนักมองพลางยิ้มอธิบาย
หลังจากเจ้าสำนักพูดจบ บรรดาหัวหน้าศิษย์ก็ร้องอุทานออกมา ในใจสับสนอลหม่าน พวกเขาต่างตื่นตะลึงจนพูดไม่ออก
“วัตถุเวทเก็บของ! โอ้ สวรรค์!”
“นั่นมัน…วัตถุเวทเก็บของ!”
“วัตถุเวทเก็บของทุกชนิดมีมูลค่าสูง แม้ว่ามีเงินสูงเพียงใดก็ไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป มีเพียงผู้ที่ฝึกตนจนถึงระดับลมหายใจเที่ยงแท้เท่านั้นจึงจะสามารถหามาครอบครองได้!”
เฉาคุนอิจฉาตาร้อนจนดวงตาแทบจะระเบิด เขาหายใจลึกเพื่อคลายสติที่กำลังปั่นป่วน หวังเป่าเล่อดีใจจนเนื้อเต้น เขารู้ถึงมูลค่าและความหายากของวัตถุเวท เก็บของดี ยิ่งไปกว่านั้นกำไลยังมีอิทธิฤทธิ์ปกป้องอีกด้วย
กล่าวได้ว่ากำไลชิ้นนั้นมีมูลค่าสูงยิ่งกว่าวัตถุเวทเก็บของทั่วไปอีก
หวังเป่าเล่อตื่นเต้นกับสิ่งที่เขากำลังจะได้ครอบครอง เขาสูดหายใจลึกก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง
“ท่านผู้ฝึกตน โปรดถามคำถามข้ามาเถิด!”
ผู้ฝึกตนเฒ่าหัวเราะพลางลูบเครา เขาค่อยๆ เอ่ยปากถามคำถาม
“เจ้าหนุ่ม จงฟังคำถามให้ดี การจะสร้างอักขระวารี จะต้องใช้อักขระ หลายรูปแบบมาผสมสร้าง หากแต่บนฟ้าก็มีไอน้ำอยู่ เจ้าสามารถนำสถานะทั้งสามของน้ำมาใช้ในการรังสรรค์สร้างตัวอักขระวัตถุเวทที่มีคุณภาพและสามารถแสดงให้เห็นถึงสถานะทั้งสามได้หรือไม่ หากเจ้าสามารถทำได้ ตัวอักขระใดเล่าที่เจ้าจะนำมาประกอบสร้าง”
เมื่อท่านผู้เฒ่าถามจบ เฉาคุนก็เหงื่อแตกพลั่ก แม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าศิษย์ โถงอักขราจารึก แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าใจโจทย์ปัญหานี้แม้แต่น้อย…แม้จะครุ่นคิดตรึกตรองอย่างถ้วนถี่ เขาก็ยังไม่เข้าใจความหมายของคำถามทั้งหมด พลันหันมองไปทางหวังเป่าเล่อในทันที
แม้แต่อาจารย์เคราแพะและบรรดาอาจารย์สาขาอาวุธเวทเองก็เริ่มตกอยู่ในภวังค์ความคิด เจ้าสำนักหรี่ตาลงเมื่อได้ยินโจทย์คำถาม ถ้าคำถามที่หวังเป่าเล่อถามนั้น ใช้ความรู้เรื่องอักขราจารึกระดับสูงแล้ว โจทย์คำถามที่ศิษย์พี่ของเขาตั้งขึ้นจะต้องใช้ความรู้ระดับสูงเป็นแน่แท้
หวังเป่าเล่อเบิกตาโต เริ่มใช้หลักคำนวณที่หน้ากากสอนมาใช้หาคำตอบของ ผู้ฝึกตนเฒ่าทันที น่าเสียดายที่โจทย์ข้อนี้ยากเกินไป เขาจึงไม่สามารถคิดคำตอบได้ผ่านการคำนวณเพียงรอบเดียว ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ย่อท้อ คิดคำนวณอย่างหนักข้อ ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเขาก็คำนวณไปมากกว่าสิบรอบแล้ว
ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังคำนวณ เขาก็เหลือบมองกำไลในมือของผู้ฝึกตนแห่งตำหนักอาวุธเวทไปด้วย ชายหนุ่มสังเกตเห็นคำใบ้บางอย่างในตัวกำไล แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าใดนัก เนื่องจากเขาคิดหาคำตอบด้วยหลักคำนวณซึ่งถือว่ามีข้อแตกต่างจาก หลักอักขราจารึกระดับสูงตามปกติ หวังเป่าเล่อหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบ ศิลาวิญญาณขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มสลักตัวอักขระลงไป ทุกคนต่างให้ความสนใจกับการกระทำของเขา
ผู้ฝึกตนเฒ่าแห่งตำหนักอาวุธเวทนั้นก็มองเขาอย่างสนอกสนใจเช่นกัน รอยยิ้มพลันผุดขึ้นที่มุมปาก
หวังเป่าเล่อสลักศิลาวิญญาณอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาจ้องมองอย่างสนใจจากคนรอบข้าง เขาหยุดพักเป็นครั้งคราว ในหัวคิดคำนวณไม่หยุด มือก็ขยับอย่างต่อเนื่อง หลังจากคิดคำนวณกว่าร้อยครั้ง เขาก็สลักอักขระบรรทัดสุดท้ายได้เสร็จสิ้น
ศิลาวิญญาณกะพริบแสงจ้า จากนั้นก็มีเสียงแตกร้าวดังขึ้น ศิลาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สลายกลายเป็นฝุ่นผงไป ทั่วทั้งห้องกะพริบตามอง เฉาคุนโล่งใจกับภาพที่เห็น พลันยิ้มเยาะขึ้นที่มุมปาก
ในขณะที่เขากำลังจะยกยิ้มขึ้นนั้น หวังเป่าเล่อก็ถอยออกไปสองสามก้าว ไม่ได้แยแสเศษฝุ่นบินว่อนจากศิลาที่แตกพัง เขาประสานมือคำนับแสดงความเคารพต่อผู้ฝึกตนแห่งตำหนักอาวุธเวท
“เยี่ยมยอดๆ!” เฒ่าผู้ฝึกตนหัวเราะลั่น เขายืนขึ้น โบกมือขวาส่งกำไลลอยไปหาหวังเป่าเล่อ
หลังจากได้กำไลมาครอบครอง ชายหนุ่มรู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างมากจึงกล่าวขอบคุณผู้ฝึกตนเฒ่าเสียงดัง
“ขอบพระคุณท่านผู้ฝึกตนเป็นอย่างสูง!”
นัยน์ตาของเจ้าสำนักที่มองไปยังหวังเป่าเล่อนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความภาคภูมิใจ อาจารย์เคราแพะและอาจารย์คนอื่นๆ ก็ภาคภูมิใจในตัวลูกศิษย์ไม่ต่างกัน
เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นยากจะทำใจเชื่อได้ลง บรรดาหัวหน้าศิษย์ทั้งหลายยังคงไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดีนัก เฉาคุนตาเบิกโต แม้ว่าเขาจะดูมีท่าทีนิ่งสงบ แต่เขาเอง ก็จับต้นชนปลายเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ถูกเช่นเดียวกัน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าสำนักกับ คนอื่นๆ ถึงได้ดูพออกพอใจกันนัก
มีเพียงหลินเทียนหาวเท่านั้นที่มีท่าทีเปลี่ยนไปในทันที เขาหายใจติดขัด ใจสั่นไหวหวั่น พายุก่อตัวขึ้นภายในจิตใจของเขา
ระหว่างที่หัวหน้าศิษย์ทั่วห้องกำลังงุนงงกันอยู่ ฝุ่นผงจากศิลาวิญญาณเบื้องหน้าของชายหนุ่มก็ก่อตัวเป็นเมฆก้อนเล็ก ฝนค่อยตกลงมา จากนั้นลมเย็นจากกำไลที่เคยเป็นของผู้ฝึกตนตำหนักอาวุธเวทก็พัดผ่านม่านฝน เกิดเป็นน้ำแข็งก้อนร่วงหล่นลงพื้น
เจ้าสำนักที่เห็นทั้งห้องฉงนใจกันสิ่งที่เกิดขึ้นก็เริ่มอธิบายไขข้อสงสัย “ความยากของโจทย์ปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่การคัดสรรตัวอักขระหรือการสลักแต่อย่างใด ความยาก ที่แท้จริงอยู่ที่การลดทอนเรียบง่าย ที่ยากไปกว่านั้นคือ…เคล็ดวิชายืมวิญญาณ ซึ่งจะต้องทำการหยิบยืมพลังปราณเยือกแข็งจากกำไลเพื่อแสดงให้เห็นถึงสถานะ ทั้งสามของน้ำ!”
ได้ยินดังนั้นทุกคนก็อ้าปากหวอ ตกตะลึงงันกันไปทั่ว ฝูงชนมองไปที่หวังเป่าเล่อราวกับว่าเขาเป็นเทพ ส่วนเฉาคุนนั้นตกอยู่ในความฉงนใจจนพูดไม่ออก
ผู้ฝึกตนประจำตำหนักอาวุธเวทยิ้มกว้างก่อนจะลุกเดินออกจากห้องไป เมื่อเขาเดินผ่านหวังเป่าเล่อ ท่านผู้เฒ่าก็ตบไหล่คนตรงหน้าก่อนจะยิ้มให้เจ้าสำนักที่เดินตามมาข้างๆ
“เจ้าหนุ่มนี่คงเป็นหัวหน้าศิษย์โถงอักขราจารึกประจำสาขาวิชาอาวุธเวทของเจ้าสินะ เยี่ยมยอด มีพรสวรรค์ดีมาก!”
เฉาคุนตัวสั่นเทิ้มเมื่อได้ยินดังนั้น อาการแย่ยิ่งไปกว่าเดิม เจ้าสำนักยิ้มไม่พูดอะไร อาจารย์เคราแพะและบรรดาอาจารย์ต่างมีท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หวังเป่าเล่อที่จมอยู่กับการคิดคำนวณก็พลันนึกถึงตอนที่เฉาคุนพูดจายโสโอหัง เขาปรับสีหน้าให้ดูอ่อนน้อมก่อนจะกล่าวกระซิบกับผู้ฝึกตนเฒ่า “ท่านผู้ฝึกตน คือ…ข้าไม่ใช่หัวหน้าศิษย์โถงอักขราจารึกหรอกขอรับ ชายผู้นั้นต่างหาก”
พูดจบ หวังเป่าเล่อก็ชี้มือไปทางเฉาคุนที่กำลังโอดครวญอยู่ในใจ
ในใจเฉาคุนนั้นโดนแผดเผาไปด้วยไฟแค้น หากแต่เขานั้นกำลังตกเป็นเป้าสายตาอยู่ ทำให้ต้องสะกดกลั้นไม่แสดงท่าทีออกไป เขาฝืนยิ้มก่อนจะประสานมือคำนับทำ ความเคารพ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้มหัว ผู้ฝึกตนประจำตำหนักอาวุธเวทก็หันกลับมามองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาสงสัย
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าคงจะเป็นหัวหน้าศิษย์โถงแก่นวิญญาณ!”
ท่าทีของหลินเทียนหาวเปลี่ยนไปในทันที หวังเป่าเล่อยิ้มอย่างขวยเขิน ไม่สนใจอาการของเขาแม้แต่น้อย ชายหนุ่มยกนิ้วชี้ตรงมาทางเขา
“ท่านผู้ฝึกตน เขาคนนั้นต่างหากขอรับ คือหัวหน้าศิษย์โถงแก่นวิญญาณ ข้าเป็นหัวหน้าศิษย์โถงศิลาวิญญาณ”
ผู้ฝึกตนเฒ่าทำหน้างงเมื่อได้ยินเช่นนั้น เรื่องที่ได้ยินนั้นทำใจเชื่อได้ค่อนข้างยาก เขาส่ายหัว หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบแผ่นหยกยื่นให้หวังเป่าเล่อ
“แผ่นหยกนี้บันทึกบางส่วนของวิชาวัสดุศึกษา วิชาต่อไปถัดจากวิชา แก่นวิญญาณ เจ้าลองเอาไปศึกษาทำความคุ้นเคยด้วยตนเองดู” หลังจากยกแผ่นหยกให้หวังเป่าเล่อ ท่านผู้เฒ่าก็เดินออกไปพร้อมกับท่านเจ้าสำนัก
ไม่นาน เจ้าสำนักก็กลับเข้ามา เขากล่าวชมเชยทุกคนเล็กน้อย เอ่ยถาม หวังเป่าเล่อเกี่ยวกับการฝึกตน ก่อนจะกล่าวปิดการชุมนุม
อาจารย์เคราแพะและบรรดาอาจารย์ก็เริ่มเตรียมตัวกลับเช่นกัน ทุกคนจ้องเขม็งไปทางหวังเป่าเล่อก่อนจะออกจากห้องไป อาจารย์เคราแพะมองชายหนุ่มพร้อมกับยิ้มกว้าง เขาคิดไม่ผิดจริงๆ ที่คัดหวังเป่าเล่อมาเป็นศิษย์คัดเลือกพิเศษ
เมื่อกล่าวชมเชยหวังเป่าเล่อแล้ว เขาก็เดินกลับออกไปพร้อมๆ กับเหล่าอาจารย์จากสาขาอาวุธเวท
หลังจากอาจารย์กลับไปกันหมด หัวหน้าศิษย์ทุกคนต่างก็เข้ามาแสดงความดีใจกับชายหนุ่ม พวกเขาพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานระหว่างทางลงยอดเขา เจ้าสำนัก จากนั้นจึงแยกย้ายกันเมื่อลงมาถึงตีนเขา
มีเพียงเฉาคุนและหลินเทียนหาวเท่านั้นที่มองตามหลังหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าอาฆาตแค้น ถ้าหากสายตาฆ่าคนให้ตายได้ เฉาคุนคงจะฆ่าชายหนุ่มไปหลายล้าน รอบแล้ว
“เฉาคุน กลับไปแล้วเจ้าควรจะหมั่นพัฒนาฝีมือขึ้น ข้าเป็นกังวลว่าเจ้านั่นจะ มุ่งชิงตำแหน่งหัวหน้าศิษย์โถงอักขราจารึกจากเจ้าในภายภาคหน้าเหลือเกิน!” หลินเทียนหาวว้าวุ่นใจ เขารู้ว่าที่พูดไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา แต่ตอนนี้เขาทำได้แค่ถอนหายใจพร้อมกับย้ำเตือนเฉาคุนไปอย่างนั้น
เฉาคุนยืนนิ่ง ก่อนหน้านี้ เขาสัมผัสได้ถึงภัยร้ายบางอย่าง แต่ตอนนี้ภัยร้ายก็ เข้ามาใกล้ตัวจนเขาเริ่มอยู่ไม่สุข ใบหน้าของเขาซีดเผือด เขารีบแจ้นกลับถ้ำที่พักและเริ่มฝึกวิชาอย่างหนักหน่วงด้วยดวงตาแดงก่ำ