Skip to content

A World Worth Protecting 56

บทที่ 56 วันนี้ เราไม่เป็นเหมือนวันวาน!

เกาะมหาปราชญ์ชั้นรองของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้น จะมีปิดภาคเรียนปีละครั้ง

ช่วงเวลาที่สำนักศึกษาปิดนั้น ศิษย์บางคนจากเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองไม่ได้ไปไหน แต่โดยส่วนใหญ่จะใช้เวลาสองเดือนของวันหยุดนี้กลับบ้านกัน บ้างก็ไปผจญภัย     เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้แกร่งขึ้น

ในบรรดาเหล่าศิษย์ทั้งหลาย มีศิษย์อาวุโสหลายคนเลือกเดินทาง หรือฝึกงานกับขุมอำนาจต่างๆ ในเครือของสหพันธรัฐซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกัน ส่วนศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเคยจากบ้านมาไกลเป็นครั้งแรก มักให้ความสำคัญในการกลับบ้านเกิดมากกว่าตัวเลือกอื่นๆ

เมื่อถึงช่วงวันหยุด หวังเป่าเล่อออกจากถ้ำเตาหลอมวิญญาณและเดินไปยัง    ยอดเขาสาขาวิชาอาวุธเวท ก่อนพบศิษย์จำนวนมากกำลังแบกกระเป๋าของตนเอง พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับบ้านเกิดของแต่ละคน ขณะขึ้นเรือบินเพื่อกลับบ้าน

และเหมือนกับตอนที่ศิษย์ใหม่เดินทางเข้ามา สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะเป็นผู้รับผิดชอบคอยรับส่งศิษย์ไกลบ้านทั้งหลายไปตามจุดที่กำหนดไว้ในนครเพื่อ     ความปลอดภัย เนื่องจากในพงไพรนั้นเต็มไปด้วยภยันตราย

“ไว้เจอกันตอนสำนักศึกษาเปิดนะขอรับ ท่านหัวหน้าศิษย์”

“ท่านหัวหน้าศิษย์ พวกเราขอตัวลาขอรับ”

ก่อนศิษย์ทั้งหลายเข้ามาทักทายหวังเป่าเล่ออย่างอบอุ่นก่อนจะจากไป            ราวกับความเคารพยำเกรงที่ทุกคนมีต่อหัวหน้าศิษย์แห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ตลอดช่วงเปิดภาคเรียนปกตินั้นดูผ่อนคลายลงเมื่อวันหยุดมาถึง

ชายหนุ่มหัวเราะร่วนและพยักหน้าตอบรับ บรรยากาศโดยรอบมีศิษย์มากมายทยอยออกเดินทาง เขาโหยหาสิ่งที่ขาดหายไปในช่วงปีแรกของการอยู่ในสำนัก    ศึกษาศักดิ์สิทธิ์ ชายหนุ่มคิดถึงท่านพ่อท่านแม่ของตนมากยิ่งกว่าเดิม

หวังเป่าเล่อเร่งฝีเท้ากลับถ้ำที่พักเพื่อจัดกระเป๋าเพราะอยากกลับบ้านโดยเร็ว   เขาโยนสัมภาระทุกสิ่งลงในกำไลคลังเวท และซื้อน้ำเย็นหล่อวิญญาณหลายขวด

น้ำเย็นหล่อวิญญาณของสำนักศึกษาแห่งนี้มีรสชาติไม่เหมือนกับที่อื่น ข้าจะนำไปให้ท่านแม่ได้ลิ้มลอง

จากนั้นจึงติดต่อกับเจิ้งเหลียง ซื้อโอสถคุณภาพดีสำหรับคนทั่วไปในจำนวนมากโดยใช้ศิลาวิญญาณ เมื่อตระเตรียมข้าวของเสร็จ จึงเดินออกจากห้อง ก่อนหันกลับมามองที่พักซึ่งตนเองอาศัยอยู่ถึงหนึ่งปีเต็ม เขาสูดหายใจเข้าลึกและปิดวงแหวนปราณลง แล้วเดินจากไปด้วยสายตาอันสดใส

บ้านจ๋า!

ชายหนุ่มวิ่งลงยอดเขาพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ลืมไปชั่วขณะว่าตนเป็นหัวหน้าศิษย์ และกลับมาเป็นตัวเองคนเก่าเมื่อหนึ่งปีก่อนอีกครั้ง หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไปยังท่าเรือบินขนาดใหญ่ ณ ทะเลสาบป่าขจี

เหตุการณ์ช่างคล้ายกับตอนเปิดภาคเรียน พื้นที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมายและเสียงหัวเราะดังลั่น พวกศิษย์ต่างโบกมือร่ำลาก่อนแยกย้ายขึ้นเรือบินต่างลำกันไป ขณะนั้นหวังเป่าเล่อเพิ่งมาถึงและกำลังเบียดเสียดกับฝูงชนอยู่ ก็ได้ยินเสียงใคร       คนหนึ่งขานชื่อ

“ท่านหัวหน้าศิษย์ ทางนี้ขอรับ ทางนี้” เมื่อมองไป จึงพบกับหลิวเต้าปินที่โบกมือรออยู่ใกล้กับเรือบินบอลลูน

มีคนคุ้นเคยมากมายรายล้อม ทั้งหมดเป็นศิษย์จากเมืองปักษาเพลิง                 ซึ่งเคยเดินทางมาพร้อมกัน ตู้หมินและกระต่ายน้อยเพิ่งมาถึงก่อนหน้าไม่นานนัก      เมื่อเจอหวังเป่าเล่อ ตู้หมินก็หายใจฟึดฟัด ส่วนกระต่ายน้อยส่งยิ้มให้

เฉินจื่อเหิงอยู่ตรงนั้นเช่นกัน ตอนแรกท่าทีของเขาดูปกติดี จนกระทั่งเห็นชาย    ที่กำลังจะเดินมาก็ตัวแข็งฉับพลัน เมื่อคิดถึงความน่ากลัวของชายผู้นี้ที่ก่อเหตุใน   สาขาการยุทธ์ อีกทั้งเรื่องการเพิ่มขั้นในช่วงปีที่ผ่านมา

หวังเป่าเล่อรีบแทรกกลุ่มคนหนาแน่น ไปยังหลิวเต้าปินและคนอื่นๆ ทันทีเมื่อได้เจอ ขณะนี้ตำแหน่งหัวหน้าศิษย์นั้นไร้ประโยชน์ไปเลยเพราะจำนวนคนที่มากมหาศาล    แม้จะยากลำบาก แต่ในที่สุดชายหนุ่มก็เบียดขึ้นมาบนเรือบินจนได้ เขาปาดเหงื่อก่อนพยายามหยิบขวดน้ำเย็นหล่อวิญญาณ แต่แล้วหลิวเต้าปินกลับยื่นสิ่งนั้นให้เขาก่อน

“ท่านหัวหน้าศิษย์ ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว” ชายหนุ่มยิ้ม “แถมซื้อมาเผื่อท่านพ่อท่านแม่ของท่านด้วย”

หวังเป่าเล่อมองไปยังสหายผู้นี้ ยิ่งรู้สึกถึงความสามารถของชายตรงหน้านัก       เขาตบไหล่พลางหัวเราะ แล้วดื่มน้ำที่หลิวเต้าปินเสนอให้

เมื่อตู้หมินเห็นเข้า จึงหันไปแค่นจมูกใส่อีกครั้ง เห็นได้ชัดว่านางไม่ถูกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ชายหนุ่มมองผู้คนทั้งหลายบนเรือบิน ขณะดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณ บนยอดเขาสาขาวิชาอาวุธเวทอันไกลโพ้นนี้เอง ที่ความปรารถนาจะกลับเมืองปักษาเพลิงของเขาเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เขายังคงหมกมุ่นกับความคิดแคลงใจ ว่าท่านพ่อ…ได้     หน้ากากนิลครึ่งเสี้ยวอันลึกลับนี้มาจากไหน และอีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่ใด

ปัญหานั้นคาใจชายหนุ่มเนิ่นนาน หน้ากากมีความพิเศษบางอย่าง ที่หากมีผู้ใดล่วงรู้เข้า ครอบครัวของเขาคงมีปัญหาโดยใช้เหตุ เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงห้ามใจไม่ส่งเสียงสื่อสารไปถามพ่อเกี่ยวกับหน้ากาก และวางแผนจะตะล่อมถามเมื่อกลับถึงบ้าน     แล้วแทน

ไม่นานนัก ตัวเรือบินก็เริ่มสั่น และทุกลำต่างทยอยปล่อยตัวขึ้นไปบนท้องนภาอย่างช้าๆ และมุ่งหน้าไปทุกทิศทาง

ขณะนั้นเอง ราวกับกระบี่สำริดบนดวงอาทิตย์กำลังมองลงมายังผืนโลก           และมองดูเหล่าศิษย์ไกลบ้านทั้งหลายที่เดินทางกันอยู่

รัศมีอันไม่สมบูรณ์ของพระอาทิตย์ที่ปลดปล่อยพลังสยบวิญญาณ หรือแม้แต่กระบี่สำริดเขียวโบราณต่างดูแปลกตาไปกว่าแต่ก่อน

ปีนี้…เป็นปีที่ 38 แห่งยุคกำเนิดวิญญาณแล้ว

หลังจากนั้น เรือบินลำนี้ได้แล่นผ่านเมฆหมอกมาเพื่อมุ่งหน้าไปยังนครปักษาเพลิง

แหงนมองด้านบนจะพบท้องนภาสีฟ้าเข้ม และพื้นที่โล่งกว้างที่ทอดยาวนั้น      ตัดกับพงไพรแห่งปฐพี มีวิหกบางตัวบินผ่านท้องฟ้าให้เห็นอยู่บ้าง

เหล่าวิหกส่งเสียงออกมาบางครั้ง เมื่อมองจากระยะไกลคล้ายว่าเป็นสิ่งสวยงาม แต่หากดูใกล้เข้าไป จะเห็นว่าพวกมันมีแววตากระหายเลือดและดุร้าย กรงเล็บรวมถึงซี่ฟันนั้นน่ากลัวราวกับอสูรกาย

นี่คือ พงไพรแห่งปฐพีที่มีอันตรายอยู่ทุกหนแห่ง ต่างจากสงครามเมื่อหลายปีก่อน เหล่าสัตว์ป่าไม่ได้มีผู้นำเพียงหนึ่ง และอยู่กระจัดกระจาย แม้กระนั้น สัตว์ป่าใน      พงไพรนี้ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์

สัตว์ป่าและพืชพันธุ์เหล่านี้ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างมากจากปรากฏขึ้นของปราณวิญญาณ

เมื่อมนุษย์เป็นผู้ชนะจากสงครามหลายปีก่อน เมืองต่างๆ แห่งสหพันธรัฐมั่นใจว่าจะควบคุมจัดการสัตว์ป่าจรจัดได้อย่างเป็นปกติ แม้ในสหพันธรัฐยุคปัจจุบัน อัตราการล่าอสูรยังสูงขึ้น เพราะวิชาฝึกตนโบราณที่ได้ถือกำเนิดขึ้น

สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลในสหพันธรัฐ      เนื่องด้วยเรือบินข้ามฟากสร้างจากสมบัติเวทอันทรงพลังมากมาย และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขึ้นไปกับเรือบินด้วย มาตรการการป้องกันและระมัดระวังเหล่านี้ ทำให้การเดินทางแทบไม่มีความเสี่ยงอันตรายอะไรเลย

บนเรือบินข้ามฟากของเมืองปักษาเพลิง ศิษย์จากสำนักศึกษาศักดิ์สิทธิ์          ต่างตื่นเต้นดีใจ เพราะเป็นการเดินทางไกลครั้งที่สองของพวกเขา ทุกคนเพิ่งจบปีแรกมาด้วยกัน และตั้งแต่เปิดเรียนมา ต่างคนก็ต่างสนิทสนมกันมากขึ้น จนทำให้พูดคุยกันจ้อกแจ้ก แม้แต่ความรู้สึกลึกซึ้งฉันท์หญิงชายเองก็ก่อตัวขึ้นจากการเดินทางครั้งนี้

จริงๆ มีศิษย์หลายคู่บนเรือบินจีบกันอย่างจู๋จี๋ จนคนโสดอิจฉาและนินทาว่าใน     ไม่ช้าคู่รักพวกนั้นจะต้องจบความสัมพันธ์ลง

ไม่เว้นแม้แต่หวังเป่าเล่อเอง เขานั่งส่ายหน้าอยู่ตรงพื้นที่เก็บสัมภาระของเรือบิน และพูดเสียงเศร้า

“ศิษย์รุ่นราวคราวเดียวกับข้าต้องรู้จักถือเนื้อถือตัว ระวังคำพูด และพฤติกรรมของตนเอง แต่ราวกับพวกนั้นจะหลงลืมคำกล่าวจากเจ้าสำนักไปหมดสิ้น ไม่ควรจะมาเกี้ยวพาราสีกันอย่างนี้เลย”

มีศิษย์จำนวนมากอยู่ตรงนั้น รวมถึงหลิวเต้าปินและคนอื่นๆ ตู้หมินส่งเสียง “ชิ!” ออกมาหลังจากได้ยินคำพูดนี้ ส่วนกระต่ายน้อยนั้นหัวเราะปิดปาก ขณะที่          เฉินจื่อเหิงมองบนก่อนเมินเฉยหวังเป่าเล่อ

“ท่านหัวหน้าศิษย์พูดถูกขอรับ” มีเพียงหลิวเต้าปินเห็นด้วย ทั้งยังทำท่าเหมือนกับได้ฟังปรัชญาชั้นดี โดยไม่สนใจสายตาจากคนรอบข้าง ชายหนุ่มทำตาม     คำสอนของท่านพ่อที่ว่า หัวหน้าถูกเสมอ!

ท่ามกลางฝูงชนเหล่านี้ มีศิษย์ฝ่ายวินัยคนอื่นจากสาขาอาวุธเวทพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน

หวังเป่าเล่อรู้สึกพอใจหลังมีผู้สนับสนุนมากมาย จากนั้นเขาจึงพูดไม่หยุด     พร้อมมองไปรอบๆ อย่างถูกใจ

ชายหนุ่มเอามือไขว้หลัง ระลึกถึงความทรงจำ ราวกับเรื่องราวได้ผ่านมาหลายปี “เราทุกคนได้เติบโตขึ้นแล้ว ข้าจำได้ลางๆ สมัยเรายังเป็นเด็กตาใส ศิษย์ใหม่ใน    สำนักศึกษา มีร่างกายผอมบาง คิ้วหนา ดวงตาสดใส พวกเจ้าทุกคนเป็นเด็กบริสุทธิ์  ไร้เดียงสา แต่เวลาไม่เคยรอใคร เพียงพริบตา…วันนี้ เราไม่ใช่ตัวเราคนเดิมอีกต่อไป พวกเจ้าเห็นด้วยไหม”

หวังเป่าเล่อทำท่าราวกับเป็นคนแก่ชราและมีประสบการณ์สูงนัก แม้จะเริ่ม      ร่ำเรียนในสำนักศึกษาได้เพียงหนึ่งปี และนั่นทำเอาทุกคนเหวอจนพูดไม่ออก แม้แต่หลิวเต้าปินยังอึ้งไป สมองเร่งคิดคำเพื่อตอบกลับ หากว่าเห็นด้วย ก็เหมือนบอกเป็นนัยว่าหวังเป่าเล่อนั้นแก่จริง แต่ถ้าเห็นต่าง ก็จะขัดคำสอนอันมีค่าของพ่อตัวเอง

หลิวเต้าปินหายใจเข้าลึก รู้สึกถึงปัญหานั้นยากเกินตอบ “ช่างเป็นคำถามเชาวน์ปัญญายิ่งนัก!”

กระต่ายน้อยไม่อาจกลั้นขำจึงหลุดหัวเราะจนปวดท้อง ส่วนเฉินจื่อเหิงแสร้ง       หูทวนลม แต่ตู้หมินอดไม่ไหว

“ท่านหวัง ขอทราบอายุของท่านหน่อยได้ไหมเจ้าคะ” ตู้หมินเยาะเย้ย

หวังเป่าเล่อมองหญิงสาวด้วยสายตาว่างเปล่าหลังได้ยินคำถากถาง แล้วส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “วันนี้ เราทุกคนต่างไม่เป็นวันวาน ท่านหมินดูสิ แม้แต่หน้าอกของท่านยังใหญ่ขึ้นเลย”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!