Skip to content

A World Worth Protecting 59

บทที่ 59 งานคืนสู่เหย้า

“เป่าเล่อ สังเกตไหมว่าเฉินปิงนั้นอวดดีนัก เขาไม่ได้เรียนต่อในสำนักศึกษาด้วยซ้ำ แต่กลับได้ทำงานเป็นเจ้าพนักงานสหพันธรัฐแห่งเมืองปักษาเพลิง ข้าได้ยินมาว่าเป็นเพราะยศศักดิ์จากครอบครัวของเขานั่นแหละ” หนุ่มท้วมผมสั้นเกรียนที่นั่งข้างกับหวังเป่าเล่อกระซิบเสียงเบา

“น่าสนใจ” ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย จานอาหารตรงหน้าดูเอร็ดอร่อย         เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาตักกินทันที

สหายร่วมชั้นเรียนมากันพร้อมหน้าในไม่ช้า โต๊ะอาหารเริ่มมีเสียงพูดคุยดังจอแจ ทุกคนต่างไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ และความเป็นไปของแต่ละคน รวมถึงย้อนวีรกรรมเก่าๆ สมัยอยู่สำนักวิชา ตลกบ้าง น่าขายหน้าบ้าง แต่บทสนทนาของพวกเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน

หวังเป่าเล่อร่วมวงสนทนาด้วย แต่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแผกไป แม้สหายร่วม    ชั้นเรียนส่วนใหญ่ดูไม่เปลี่ยนไปจากวันวานนัก แต่บางคนกลับฉวยโอกาส พูดโม้       โอ้อวดความสำเร็จของตน จนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัด

โดยเฉพาะเฉินปิงในชุดทางการนั่น ทำตัวราวกับเป็นคนใหญ่โต

ทุกคำของเขา คือการอวดอ้างว่าตนเป็นเจ้าพนักงานสหพันธรัฐ ทั้งยังกล่าวว่าการจองโรงแรมนี้ได้ คือสิ่งพิสูจน์ว่าตำแหน่งนี้มีสิทธิพิเศษ ระหว่างบทสนทนา      ชายหนุ่มชุดทางการส่งเสียงดุด่าผู้อื่นผ่านแหวนสื่อสารอยู่หลายครั้ง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขามีอำนาจเพียงใด

นอกจากนั้น ชายอีกคนนามว่าหวงกุ้ย ผู้เป็นที่ยอมรับในสำนักศึกษาเต๋า         ธารศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า เขานั่งวางมาดราวกับเป็นหัวหน้ากลุ่ม น้ำเสียงสุขุมนิ่มนวล และยกสุราขึ้นจิบเป็นบางครั้ง ทุกประโยคที่กล่าวออกมาล้วนแล้วแต่เป็นเพียงการยกยอตัวเองเท่านั้น

แต่มีสหายร่วมชั้นหลายคน พากันมานั่งรายล้อมชายคนนี้ จนทำให้เขาดูเฉิดฉายยิ่งกว่าเฉินปิงนัก

หากเพียงเท่านี้ หวังเป่าเล่อคงแค่รู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น ทว่าหวงกุ้ยจากสำนักศึกษาเต๋าธารศักดิ์สิทธิ์ดันดื่มหนักเกินไป เขาทุบโต๊ะเสียงดัง ก่อนใบหน้านั้นจะเต็มไปด้วยอารมณ์

“สหายร่วมชั้นเรียนที่รัก หนึ่งปีแล้ว ทุกคนเปลี่ยนไปมาก ตู้หมินเองก็งดงามขึ้น…” ชายผู้เมากรึ่มพูดพึมพำด้วยความรู้สึกแอบแฝง น้ำเสียงของเขายังฟังดูเหมือนเคย แต่ท่าทางนั้นแปลกไป

เมื่อเห็นสีหน้าของหวังเป่าเล่อ หวงกุ้ยจึงหัวเราะขึ้น

“ทุกคนเปลี่ยนไป เว้นแต่เจ้าเป่าเล่อ ยังคงอ้วนเหมือนเดิม” เมื่อพูดจบ         เหล่าสหายผู้ติดตามใกล้ชิดพากันหัวเราะลั่น บางคนล้อหวังเป่าเล่อต่ออย่าง         ตลกขบขัน ทำให้เจ้าตัวโกรธจัด แต่เก็บอาการ ทำได้เพียงคีบอาหารใส่จานตนเองอย่างขุ่นเคืองเท่านั้น

ตู้หมินสะใจลึกๆ เมื่อเห็นแบบนั้น เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้มองดูชายคนนี้พ่ายแพ้

อาจเพราะชุดของนางวันนี้ รวมถึงตำแหน่งผู้สังเกตการณ์ชั้นเรียนในอดีต ทำให้หญิงสาวดูสะดุดตาเป็นพิเศษ หวงกุ้ยมองดูนางต่อหลังพูดจบ

“ตู้หมิน แว่วมาว่าเจ้ากับหวังเป่าเล่อนั้นเรียนต่อที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นี่นะ เยี่ยมมากเลย! พวกเจ้าศึกษาสาขาอะไรกันหรือ” ชายผู้เมากรึ่มถาม

“สาขาหลอมโอสถเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้ม

“อ๋อ สาขาหลอมโอสถ ถ้าเช่นนั้น หากเจ้ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับสาขาวิชานี้        อย่าลังเลใจที่จะไถ่ถามข้าผ่านแหวนสื่อสารนะ เราเป็นสหายกัน ข้าพร้อม             ช่วยเหลืออยู่แล้ว” นัยน์ตาของเขาส่องประกายเมื่อได้ยินคำว่า ‘สาขาหลอมโอสถ’ หวงกุ้ยยิ้มกริ่มเมื่อพบว่ามีหัวข้อให้ชวนคุยเพิ่มขึ้น

และแล้วสหายรอบข้างเริ่มเอะอะเสียงดัง

“สหายร่วมชั้นเรียนเอ๋ย รู้ไหมว่าหวงกุ้ยนั้นไม่ใช่เพียงศิษย์ธรรมดาในสำนักศึกษาเต๋าธารศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังเป็นหัวหน้าศิษย์แห่งโถงพฤกษศาสตร์ประจำสาขาหลอมโอสถของสำนักศึกษาเต๋าธารศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย!”

ผู้ฟังต่างประหลาดใจ บางคนไม่เข้าใจคำว่า ‘หัวหน้าศิษย์’ ดีนัก แต่พอสัมผัสได้ว่ามีความยิ่งใหญ่

หวังเป่าเล่อถอนหายใจแบบอมทุกข์ รู้สึกหงุดหงิดกับสหายคนนี้เพิ่มขึ้น

หวงกุ้ยมองดูสีหน้าของทุกคนอย่างพึงพอใจ แต่แอบซ่อนความรู้สึกผยองนี้ไว้ภายใต้รอยยิ้ม

“พูดไปทำไมเล่า เราต่างเป็นสหายร่วมชั้นเรียน แม้ข้าคือหัวหน้าศิษย์ แต่ไม่ได้อยู่เหนือกว่าศิษย์คนอื่นๆ สักหน่อย โจวซิน เจ้าต้องดื่มสุราแก้วนี้เป็นการลงโทษ”      ชายจากสำนักศึกษาเต๋าธารศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้นอย่างนอบน้อม

ศิษย์ผู้ติดตามหัวเราะเสียงดัง ก่อนยกแก้วสุราขึ้นเพื่อดื่มอวยพร

“ท่านหัวหน้าศิษย์พูดถูก ข้าเพียงอยากอธิบายคำว่า ‘หัวหน้าศิษย์’ ให้ทุกคนได้รู้เท่านั้น” โจวซินตอบ

“แหม เจ้าล่ะก็…” หวงกุ้ยส่ายหัวยิ้มๆ และเงียบลง โจวซินกระแอมไอ ก่อนพูดต่อ

“สหายที่รัก หัวหน้าศิษย์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกท่านอาจจะยังไม่รู้ แต่ตำแหน่งนี้ช่างน่าเคารพนับถือ เพราะกว่าจะได้มานั้น ต้องแสดงความสามารถพิเศษขั้นสูงในโถงประจำสาขา เขาผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นถึงสาวกของเจ้าสำนัก เช่นกันกับสำนักศึกษาแห่งอื่น ตู้หมินและหวังเป่าเล่อ ที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าเป็นเหมือนกันรึเปล่า”

ท่าทีของหญิงสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น นางรีบเหลือบมองชายหนุ่ม ก่อนพยักหน้า

หวังเป่าเล่อสะกิดจมูกเบาๆ ไม่ตอบอะไร เพียงแต่มองชายหนุ่มคู่หูสองคนนั้น

คนอื่นเข้าใจความโดดเด่นของการเป็นหัวหน้าศิษย์มากขึ้นเพราะคำอธิบายของโจวซิน ทำให้ทุกคนต่างมองหวงกุ้ยคนนี้ด้วยความตกตะลึง สีหน้าของแต่ละคนแสดงถึงความเลื่อมใส ก่อนยกแก้วขึ้นสรรเสริญชายผู้นี้

ชายหนุ่มจิบสุราเบาๆ หลังตอบกลับคำเยินยอของทุกคน บรรยากาศเริ่มเร้าอารมณ์ขึ้น ชายหนุ่มหันหาสหายร่างอ้วนคนเดิม

หวังเป่าเล่อนั้นไม่ได้ดื่มอวยพรให้กับตนเลยสักครั้งตั้งแต่ตอนเริ่มงาน เขาจึงไม่พอใจนัก ก่อนถามด้วยรอยยิ้ม

“เป่าเล่อ เจ้าเรียนที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นี่นา เป็นอย่างไรบ้างหรือ”

เมื่อถามเสร็จ หวงกุ้ยโบกมือไปมา และพูดต่อโดยไม่รอคำตอบ

“ช่างเถอะ เราเป็นสหายร่วมชั้นเรียนกัน จึงไม่ควรเอาเกลือมาทาแผลให้เจ้า ใครๆ ต่างรู้ดีว่าคุณสมบัติของเจ้านั้น อยู่ในเกณฑ์ต่ำสุด ที่สำนักศึกษาแห่งนั้น   กำหนดไว้ เจ้าเรียนวิชาอยู่…สาขาอะไรหรือ”

ความเคืองโกรธของหวังเป่าเล่อปะทุยิ่งขึ้น จึงตอบกลับเสียงห้วน “สาขาอาวุธเวท!”

“อ๋อ สาขาอาวุธเวท สาขาแปลกดี และวิชาเรียนหนักนี่นา แต่ตราบใดที่เจ้า       ยังเรียนไหว อนาคตอันสดใสนั้นก็อยู่ไม่ไกล หากเป็นสาขาหลอมวิชา ข้าคงจะพอช่วยเจ้าได้ แม้ไม่อาจทำให้ติดอันดับหนึ่งในร้อยคนแรก แต่คงติดหนึ่งในพันนะ” หวงกุ้ย  ไม่ใส่ใจน้ำเสียงขุ่นเคืองของอีกฝ่าย เพราะในงานวันนี้ เขาสนใจคนเพียงผู้เดียวเท่านั้น นั่นคือ แม่นางตู้หมิน

เพราะนางได้โตเป็นสาวขึ้นและหน้าตาสะสวย แต่ตรงนั้นมีผู้คนอยู่มากมาย      ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกถึงช่องว่างอันกว้างเกินกว่าเข้าไปพูดคุยด้วย

หวังเป่าเล่อหงุดหงิดที่ชายผู้นี้ยังไม่หยุดเยาะเย้ย ถ้าเป็นเหตุการณ์ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ คงโต้กลับไปแล้ว แต่นี่คืองานคืนสู่เหย้า และคนผู้นี้ดันเป็นสหายร่วมสำนักวิชา ชายร่างอ้วนรู้สึกสิ้นหวัง และเมื่อเห็นว่าตู้หมินกำลังมองดูเขาด้วยความสะใจ จึงจ้องกลับด้วยสายตาอาฆาต

ยิ่งเห็นท่าทีแบบนั้นของชายหนุ่ม ตู้หมินยิ่งอารมณ์ดี นางหันไปสนใจชายอีกคน ก่อนยิ้มเขินอาย

“ท่านหวงกุ้ยพูดถูกทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ!”

ชายหนุ่มดีใจ เมื่อหญิงสาวเห็นด้วยกับตน จึงพูดมากขึ้น และเริ่มเล่าประสบการณ์ในสำนักศึกษาเต๋าธารศักดิ์สิทธิ์ โดยแทรกเรื่องโอ้อวดของตนเข้าไป    ทุกครั้งที่ทำได้

หวังเป่าเล่อหงุดหงิดใจ และคิดถึงหลิวเต้าปิน แต่เพราะเรียนสำนักวิชาชั้นต้น   คนละแห่งกัน จึงไม่ได้มาร่วมงานด้วย มิเช่นนั้น คงจะพอช่วยประกาศเรื่องตำแหน่งของเขาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และทุกอย่างคงเยี่ยมยอดไปเลย

เพราะหากว่าหวังเป่าเล่อเผยสถานะตำแหน่งด้วยตัวเอง คงไม่ต่างจากหวงกุ้ย เรื่องแบบนี้ควรบอกผ่านปากคนอื่น ชายอ้วนลูบท้องอย่างไม่มีความสุข และตัดสินใจว่าจะกลับ

ขณะนั้นเอง ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมใหญ่คนหนึ่ง ก็เดินผ่านห้องโถงแห่งนี้มา เพื่อต่อไปยังห้องรับรองพิเศษ แววตาของชายผู้นี้ดูดุดันมีอำนาจ มีผู้ใต้บังคับบัญชาและพนักงานโรงแรมคอยรับรองอยู่ข้างกาย

ขณะกำลังผ่านห้องโถงแห่งนี้ไป เขาสบตากับทุกคนในนั้น ก่อนหยุดฝีเท้าลงเมื่อสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อ ชายผู้นั้นเผยรอยยิ้มกว้าง และเร่งฝีเท้าเข้ามายังโต๊ะที่       ชายหนุ่มกำลังนั่งอยู่

กลุ่มผู้ติดตามที่ปรากฏตัวมาพร้อมกันต่างตกใจ และเดินตามชายวัยกลางคนผู้นี้เข้ามาด้วย หนุ่มสาวบนโต๊ะจึงต่างพากันสนใจ

ทันใดนั้น เฉินปิง ผู้เป็นเจ้าพนักงานสหพันธรัฐได้เปลี่ยนสีหน้าไป ก่อนรีบลุกขึ้นยืน ส่วนคนอื่นๆ รวมถึงหวังเป่าเล่อเอง ได้เงยหน้าขึ้นมองอย่างชะงักงัน ด้วยท่าทาง     อันสง่างามของชายร่างท้วมใหญ่คนนี้ ทำให้รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นบุคคลไม่ธรรมดา

ขณะที่ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็หัวเราะสดใส

“เจ้าคือเป่าเล่อใช่ไหม ฮ่าๆ ข้าเป็นพ่อของเต้าปิน ลูกชายข้าเล่าให้ฟังว่า ตอนอยู่สำนักศึกษา เจ้าได้ช่วยเหลือเขาไว้มาก ทั้งยังมอบโอกาสให้เป็นฝ่ายวินัยสำนัก        อีกต่างหาก ข้าขอขอบคุณเจ้ามาก” แท้จริงแล้วชายวัยกลางคนผู้นี้คือบิดาของ     หลิวเต้าปิน ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองเจ้าเมืองปักษาเพลิงนั่นเอง เขาเคยเห็นภาพของหวังเป่าเล่อจากลูกชายตัวเอง ชายตำแหน่งสูงผู้นี้ยิ้มอย่างเป็นมิตร พลางจับมือกับชายหนุ่มร่างอ้วนตรงหน้า

หวังเป่าเล่อผงะไปชั่วครู่ ก่อนทักทายกลับด้วยรอยยิ้ม “ท่านรองเจ้าเมืองหลิว”

“โธ่ ไม่ต้องเรียกยศ ‘รองเจ้าเมือง’ หรอก เรียกข้าว่าลุงก็พอ เดี๋ยวข้าเลี้ยงมื้อนี้เอง เป่าเล่อ เจ้าช่วยดูแลเต้าปินของเราให้ดีเถิด หากเขาดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง จงลงโทษได้ตามต้องการเลย!” ผู้เป็นพ่อของหลิวเต้าปินพูดอย่างสุภาพและเอ็นดู ชายผู้นี้ปฏิบัติกับชายหนุ่มตรงหน้าราวกับเป็นหลานชายคนใหม่

ผู้ติดตามซึ่งมาพร้อมกับรองเจ้าเมืองคนนี้ ต่างมองหวังเป่าเล่อด้วยความงุนงงสงสัย ว่าเป็นใครมาจากไหน

ท่านหลิวผู้นั้น ยกแก้วขึ้นมากล่าวคำอวยพรแด่ชายหนุ่มสาวทุกคนรอบโต๊ะ เฉินปิงรีบทักทายอย่างกังวล เมื่อเห็นว่าเป็นเจ้าพนักงานสหพันธรัฐ จึงพยักหน้าให้แต่ไม่สนใจ และหันมาพูดคุยกับหวังเป่าเล่อต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะจากไป

สหายรอบโต๊ะทุกคนต่างอึ้ง บทสนทนาของหวังเป่าเล่อกับชายผู้นั้น รวมถึงท่าทางของเฉินปิง ยิ่งย้ำชัดให้รู้ถึงตำแหน่งฐานะของชายวัยกลางคนผู้นั้น สหายทั้งหลายเงียบลง และมองหวังเป่าเล่อ ด้วยความไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรต่อ

ตอนนี้ ชัดเจนอย่างยิ่งว่า หวังเป่าเล่อผู้ทำตัวไม่ได้โดดเด่นในตอนแรก กลายเป็นคนน่าค้นหาที่สุด จนทุกคนต่างต้องประหลาดใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!