Skip to content

A World Worth Protecting 72

บทที่ 72 ขับออกจากสำนัก!

“กับแค่ลมปากของเจ้ามันจะไปมีค่าอันใด” สายตาของหวังเป่าเล่อที่จ้องมอง  เฉาคุนทั้งห่างเหินและเย็นชา บทเรียนจากอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูง       สอนให้หวังเป่าเล่อรู้ว่าควรปฏิบัติตนอย่างไรกับศัตรู เขาจะใจอ่อนไม่ได้และจะต้อง  ตั้งมั่นทำลายศัตรู จนกระทั่งพวกมันไม่สามารถจะแว้งกัดเขาได้อีกต่อไป

ความตั้งใจนี้ยิ่งแรงกล้าขึ้นเมื่อชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในป่าฝนบ่อเมฆ ชั่วขณะที่คิดถึงเรื่องนั้น แววตาของหวังเป่าเล่อเฉียบคมขึ้น เขากระโดดลอยตัวขึ้นและถลาแหวกอากาศไปยังเฉาคุนด้วยความเร็วสูง

ขณะเดียวกันนั้น หลิวต้าวปินและเหล่าศิษย์ฝ่ายวินัยเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์ พวกเขาต่างพากันหายใจถี่เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อพุ่งเข้าไปต่อสู้ตัวต่อตัวกับอดีต    หัวหน้าศิษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ถูกเฉาคุนจับกุมตัวไว้ก่อนหน้า พวกเขาต่างพากันเข้าไปปิดล้อมทางหนีของเฉาคุนเอาไว้ทันที

“หลีกไปเดี๋ยวนี้นะ!” เฉาคุนร้องตะโกน เขาติดกับแล้ว เขาดิ้นรนเหมือนคนบ้าและพยายามจะแทรกตัวหนีพลางส่งเสียงร้องคำราม นัยน์ตาของเขามีสีแดงก่ำ อย่างไรก็ดี ชายผู้เคราะห์ร้ายคงจะลืมไปว่าตัวเขาอยู่ในเขตแดนของสำนักศึกษา     เต๋าศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าเขาจะหนีจากตรงนี้ไปได้ก็คงไปไหนไม่ได้ไกลนัก

โอกาสหนีนั้นหลุดลอยไปเสียแล้วเพราะหลิวต้าวปินและพวกปิดล้อมเขาเอาไว้เรียบร้อย หวังเป่าเล่อมายืนอยู่ตรงหน้าเขาในอีกเสี้ยววินาทีต่อมา

เฉาคุนสั่นเทิ้มไปทั้งร่างอย่างควบคุมไม่ได้ ความกลัวและความสลดใจทำให้เขาเริ่มร้องไห้อย่างสิ้นหวัง เมื่อเขาคิดได้ว่าไม่มีทางหนีแล้ว เขาจึงหันหน้ามาหา         หวังเป่าเล่อแล้วเริ่มตะโกน “หวังเป่าเล่อ ข้าต้องการพบท่านเจ้าสำนัก ข้า…”

ก่อนที่เขาจะได้พูดจบ หวังเป่าเล่อตอบโต้ด้วยลูกเตะทรงพลังเข้าไปที่บริเวณ    จุดตันเถียนของเขา ร่างของเฉาคุนกระตุกอย่างแรงก่อนทีเขาจะสำรากเอาเลือดสีแดงสดออกมาจากกองใหญ่ เขาล้มลงไปกองกับพื้น ใบหน้าซีดเซียวอย่างน่ากลัว

ลูกเตะนั้นช่างโหดเหี้ยม ชะตากรรมของเฉาคุนเป็นเช่นเดียวกับเจียงหลิน        ลูกเตะนี้ได้ทำลายจุดศูนย์รวมพลังปราณทำให้วิชาฝึกตนโบราณในร่างของเฉาคุน    สูญสลายไปเช่นกัน

“จับพวกมันผูกไว้ด้วยกันเสีย!” หลังจากที่ซัดทั้งคู่จนบาดเจ็บสาหัส หวังเป่าเล่อจึงออกคำสั่งอย่างใจเย็น หลิวต้าวปินและพวกต่างก้าวออกมาและผูกเอาเฉาคุนที่หมดอาลัยตายอยากเข้ากับเจียงหลินผู้ซึ่งหมดสติอยู่

เหล่าศิษย์ปีสูงที่เฝ้ามองอยู่ต่างก็ขนลุกไปตามๆ กันเมื่อพวกเขามองไปที่หวังเป่าเล่อ ในขณะที่บรรดาศิษย์ใหม่ผู้ไม่คุ้นเคยกับตำแหน่งหัวหน้าศิษย์เท่ากับศิษย์ปีสูงต่างก็รู้สึกอิจฉาและยำเกรงหวังเป่าเล่อ

“หัวหน้าศิษย์นี่ช่างแข็งแกร่งจริงๆ!”

“ท่านนี้คือ หวังเป่าเล่องั้นหรือ เขามาจากสาขาวิชาใดกัน ข้าอยากจะเข้าสาขาวิชาเดียวกับเขาด้วย!”

“ข้าจะสมัครเป็นศิษย์ฝ่ายวินัยได้ที่ไหน ช่างเท่เหลือเกิน!”

เหล่าศิษย์ใหม่ต่างพากันตื่นตะลึง ศิษย์หญิงหน้าใหม่บางคนมองดูหวังเป่าเล่อด้วยแววตาชื่นชม เหตุนี้เป็นเพราะว่าพวกนางยังไร้เดียงสานัก ประกอบกับท่าทีวางอำนาจของหวังเป่าเล่อที่ดูราวกับว่าเขาสามารถจะชี้เป็นชี้ตายใครก็ได้ทำให้เขาดูน่าทึ่งขึ้นไปอีก

ขณะที่ฝูงชนกำลังซุบซิบนินทาอยู่นั้น หวังเป่าเล่อยังคงยืนหลับตาพุงยื่นอยู่ที่เดิม เขาเฝ้ารอการมาถึงของหลินเทียนหาวอีกคน เฉาคุนและเจียงหลินเป็นเพียง             ผู้สมรู้ร่วมคิด หลินเทียนหาวต่างหากที่เป็นต้นตออย่างแท้จริง เขาคือเป้าหมายหลักในการแก้แค้นของหวังเป่าเล่อ

อย่างไรก็ตาม หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าหลินเทียนหาวจะปรากฏตัวขึ้นมาเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น

จากพื้นเพตระกูลและสถานะทางสังคมของเฉาคุนและเจียงหลิน หวังเป่าเล่อพอจะคาดคะเนได้ว่าพวกเขาไม่ได้ข่าวเรื่องการจับกุมนี้มาก่อน ต่างกับหลินเทียนหาวผู้ซึ่งเป็นถึงบุตรชายของเสนาบดี เมื่อเรือบินลำที่เขาควรจะโดยสารอยู่ลงจอด       หลินเทียนหาวกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หวังเป่าเล่อก็รู้ในวินาทีนั้นเองว่า     หลินเทียนหาวที่จมูกไวได้ข่าวเรื่องนี้จึงไม่กลับมาที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

“เจ้าไม่กลับมาอย่างนั้นรึ” หวังเป่าเล่อหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วหันไปพูดกับหลิวต้าวปินผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างกายเขา

“ประกาศไปให้ทั่วว่าหลินเทียนหาวแห่งสาขาวิชาอาวุธเวทถูกขับออกจากสำนักในข้อหาพยายามฆ่าหัวหน้าศิษย์!”

เมื่อหวังเป่าเล่อพูดจบคำ เขาหันไปคารวะฝูงชนก่อนจะหันหลังเดินจากไป

หลิวต้าวปินรับคำสั่งทันทีและเดินตามหวังเป่าเล่อออกไปพร้อมกับศิษย์ฝ่ายวินัยคนอื่นๆ เมื่อเจียงหลินและเฉาคุนถูกจับได้ หวังเป่าเล่อออกคำสั่งไปยังสาขาวิชา   อาวุธเวทและทั่วทั้งเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองให้ไล่หลินเทียนหาวออก

เมื่อกองกำลังของหวังเป่าเล่อเดินจากไปก็เกิดความโกลาหลขึ้น ณ ท่าอากาศยาน แม้จะกระทั่งบนเครือข่ายวิญญาณก็เช่นกัน ผู้คนต่างพากันพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องนี้มีผลกระทบใหญ่หลวงนัก เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กระจายออกไปทั่วทั้งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

แต่ทางสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้นนอกจากจะไม่พยายามควบคุมสถานการณ์แล้ว ยังออกประกาศว่าทั้งสามคนนั้นได้ถูกลงโทษในข้อหาพยายามฆ่าหัวหน้าศิษย์

นอกเหนือไปจากความโกลาหลแล้ว การจับกุมครั้งนี้สร้างความโด่งดังให้หวังเป่าเล่อยิ่งกว่าเดิม มากเสียจนกระทั่งเขากลายเป็นคนดังท่ามกลางบรรดาศิษย์ใหม่           ผู้คนพูดคุยเรื่องของเขากันไม่หยุดปาก

“หัวหน้าศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของสาขาวิชาอาวุธเวท…”

“สำเร็จการฝึกตนโบราณขั้นบำรุงชีพจรภายในหนึ่งปี…”

ด้วยความโด่งดังนี้ ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะไปปรากฏตัวที่ใดในสำนักศึกเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนต่างก็พากันห้อมล้อมเพื่อจะทักทายหรือพูดคุยกับเขา ข้อมูลของเขาเริ่มกระจายออกไปจนถึงอีกสามยอดสำนักศึกษาเต๋าแห่งสหพันธรัฐ

ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกสงบ เขาเข้าใจว่าเจ้าสำนักปิดบังข้อมูลจากเจียงหลินและเฉาคุนเพราะเขาต้องการจะใช้ทั้งคู่เป็นที่ระบายอารมณ์ให้หวังเป่าเล่อ แม้ว่าหลินเทียนหาวจะไม่ปรากฏตัว แต่ประกาศของสำนักมหาปราชญ์ชั้นรองให้    ขับเขาออกจากสำนักนั้นเป็นของจริงแท้แน่นอน หวังเป่าเล่อรู้ดีว่านี่คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะคาดหวังได้

“การล้างแค้นยังไม่จบหรอกนะ” หวังเป่าเล่อพูดอย่างแผ่วเบา เขานึกไปถึงฉากที่เขาถูกไล่ล่า เขานึกขอบคุณความรู้ความเข้าใจในด้านวัตถุเวทที่ทำให้เขารอดมาได้

“ต่อไป ข้าจะต้องหลอมอาวุธเวทให้มากขึ้นอีก!”

ในบรรดาวัตถุเวททั้งหมด กระบี่เหาะเหินสีม่วงมีบทบาทสำคัญที่สุด คิดได้ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงสูดหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะจัดแจงชุดแต่งกาย เพื่อเข้าพบ         อาจารย์หัวหน้าสาขาวิชาอาวุธเวท

เขาต้องการจะแสดงความขอบคุณต่อท่านหัวหน้าสาขาที่อุตส่าห์มอบกระบี่    เล่มนั้นให้กับเขา!

ในที่พักของหัวหน้าสาขา อาจารย์เคราแพะจ้องมองหวังเป่าเล่อผู้ซึ่งเดินทางมาเพื่อแสดงความเคารพ อาจารย์วัยกลางคนรู้สึกอ่อนไหวอย่างยิ่งเพราะเขาในฐานะหัวหน้าสาขารู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับหวังเป่าเล่อบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเหตุการณ์สะเทือนขวัญนั้นเกิดขึ้นในสาขาวิชาอาวุธเวทที่เขาเป็นผู้ดูแล มิหนำซ้ำเหตุการณ์นั้นยังเลวร้ายเสียจนเขารู้สึกเดือดดาลอยู่ในใจ

“เป่าเล่อ! เจ้ารับมือสถานการณ์นี้ได้ถูกต้องแล้ว!”

“คนบางคนคิดว่าเพียงเพราะมีเส้นสายก็สามารถที่จะเมินเฉยต่อกฎระเบียบและท้าทายอำนาจของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าได้ ไม่มีวันเสียหรอก!”

“ขอบพระคุณขอรับท่านอาจารย์ หากมิใช่เพราะกระบี่เหาะเหินที่ท่านอุตส่าห์มอบให้กับข้า ข้าคง…ไม่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้” หวังเป่าเล่อพูดพลาง      ประสานมือคารวะเพื่อแสดงความเคารพ เขารู้สึกสะเทือนใจเมื่อได้เห็นถึงความกังวลที่อาจารย์เคราแพะมีต่อสวัสดิภาพของเขา จากนั้นเขาจึงดึงกระบี่ที่แตกกระจายออกมาจากกำไลคลังเวท

อาจารย์เคราแพะมองไปที่ชิ้นส่วนของกระบี่ในมือหวังเป่าเล่ออย่างเปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์ แม้เขาจะได้ยินเรื่องมาก่อนแล้ว แต่เมื่อได้มาเห็นสภาพของกระบี่นี้     เขาไม่อาจคิดได้เลยว่าหวังเป่าเล่อต้องพยายามหนักแค่ไหนเพื่อจะเอาชีวิตรอดมาจากสถานการณ์เลวร้ายนั้น เขาช้อนสายตาขึ้นมองศิษย์คัดเลือกพิเศษผู้ซึ่งเขาได้เลือกมาด้วยตนเอง สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความเมตตาและภาคภูมิใจ

“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะหลอมให้ใหม่อีกเล่มหนึ่ง!”

หวังเป่าเล่อตกใจระคนยินดี เขากล่าวขอบคุณอาจารย์อีกครั้ง พูดคุยกันเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวคำอำลา หวังเป่าเล่อกลับมาถึงถ้ำที่พัก เขานิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเริ่มหลอมอักขราจารึกลงไปบนศิลาวิญญาณ

หลังจบการต่อสู้ครั้งนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้ว่าเขาขาดวัตถุเวทสำหรับป้องกัน เขาเริ่มที่จะหลอมอักขราจารึกพลางคิดว่า เหล่าวัตถุเวทที่ข้าหลอมขึ้นมาก่อนหน้านี้นั้น    แม้ขาดความปราณีตแต่ก็สำคัญมาก คราวนี้ข้าไม่เพียงต้องหลอมมากขึ้นเท่านั้น      ข้าต้องหลอมวัตถุเวทที่มีความสามารถในการป้องกันด้วย!”

เวลาผ่านไป ขณะนี้ภาคเรียนใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง และบรรดาศิษย์ใหม่เดินทางมาถึงโดยพร้อมหน้าแล้ว ทุกสาขาวิชาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ดูคึกคักเป็นพิเศษ หวังเป่าเล่อออกจากที่พักเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งเขาจะได้รับสายตาชื่นชมจาก    ศิษย์สาขาวิชาอาวุธเวทอยู่เสมอ

หวังเป่าเล่อชอบที่มีคนสนใจเขา แต่เขารู้ว่าเรื่องสำคัญที่ต้องทำคือหลอมวัตถุเวท เพราะฉะนั้นเขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในถ้ำเตาหลอมวิญญาณ

ครึ่งเดือนต่อมา มีหีบสองใบส่งมาหาเขาจากเจ้าสำนัก หีบใบแรกบรรจุคันฉ่องที่ปลดปล่อยแรงกดดันอันรุนแรง เครื่องหมายยุทธภัณฑ์สามอันปรากฏอยู่บนยอดของคันฉ่องนั้นด้วย หวังเป่าเล่อจ้องมองคันฉ่องในมือด้วยความปลื้มปิติ

สิ่งนี้คือ…สมบัติเวทขั้นที่สาม!

เขาเปิดหีบอีกใบต่อทันที และพบจี้หยกที่มีมังกรน้ำสลักอยู่ ของชิ้นนี้มีเครื่องหมายยุทธภัณฑ์สามอันเช่นกัน และมังกรน้ำก็ดูราวกับมีชีวิต หวังเป่าเล่อเหมือนจะเห็นมันขยับเล็กน้อย

นี่ก็สมบัติเวทขั้นที่สามอีกเหมือนกัน!

หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้ดีว่าของสองชิ้นนี้มีค่าและราคาสูงมากเพียงใด เขาวางของกลับลงในหีบ ชายหนุ่มเปิดแหวนสื่อสารและติดต่อไปยังเจ้าสำนักทันที

เสียงของเจ้าสำนักดังขึ้นในทันใด

“ข้าหลอมจี้หยกอันนั้นด้วยตัวเองให้เป็นของขวัญสำหรับเจ้า เผื่อว่าสักวันหนึ่งมันจะปกป้องเจ้าได้!”

“ส่วนคันฉ่องนั้นส่งมาจากเจ้าเมืองนครศักดิ์สิทธิ์ พวกเราได้ทำการตรวจสอบมันอย่างถี่ถ้วนแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่หากเจ้าไม่อยากได้…”

ขณะที่หวังเป่าเล่อฟังไปนั้นความคิดของเขาก็พรั่งพรูออกมา เขาสังหรณ์ใจว่าบิดาของหลินเทียนหาวได้ทำข้อตกลงบางประการกับสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไว้    เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็ตอบออกไปทันที

“อยากได้สิขอรับ! ทำไมข้าจะไม่อยากได้เล่า”

เมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อพูดดังนั้น เจ้าสำนักก็หัวเราะอย่างสบายใจ ชายชราต้องการจะหว่านล้อมให้หวังเป่าเล่อรับของไปอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อเข้าใจถึงความสำคัญในการรับของกำนัล ชายชราก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่ดังกว่ากระซิบไม่มากนัก

“เป่าเล่อ สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าและคณะสิบเจ็ดเสนาบดีล้วนมีบทบาทเกี่ยว    พันกันในสหพันธรัฐ เพราะฉะนั้นมีปัญหาหลายอย่างที่ไม่อาจถูกตรวจสอบได้     ปล่อยเรื่องนี้ไปเสีย ข้าขอรับรองว่าจะไม่เกิดอะไรแบบนี้ขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง!”

“การขับหลินเทียนหาวออกจากสำนักก็ถูกยกเลิกด้วยหรือขอรับ” หวังเป่าเล่อถามเสียงเบา นัยน์ตาของเขาเยือกเย็น

“กฎของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะไม่เปลี่ยนแปลง สถานภาพศิษย์แห่งเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองของเขาจะไม่คืนกลับมาแน่นอน!” เจ้าสำนักปลอบใจหวังเป่าเล่อเล็กน้อยก่อนจะตัดสายไป

หวังเป่าเล่อนั่งอยู่ในถ้ำเตาหลอมวิญญาณเขาจ้องมองไปที่หีบทั้งสองและแหวนสื่อสาร

สถานภาพศิษย์ของเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง…แปลว่าการสอบเข้า                 เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงและเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองแยกจากกันกระนั้นหรือ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!