Skip to content

A World Worth Protecting 78

บทที่ 78 กลัวรึ เจ้าพวกสาขาปรัชญาเต๋า

วินาทีที่หวังเป่าเล่อกดปุ่มคำสั่งในแผ่นเวทนั้น ดวงตาของหุ่นเชิดที่วิ่งตามศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าอยู่บนยอดเขาสาขาอาวุธเวทส่องแสงออกมา

เมื่อตาส่องแสงดังขึ้นพวกมันก็หยุดเดินทันที เสียงครางเองก็เงียบลงด้วย       ศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าทุกคนต่างแปลกใจ พวกเขาจึงหันหน้ามามองหุ่น

ในอึดใจนั้นเอง เสียงครางที่ดังขึ้นกว่าเดิมระเบิดออกมาจากปากของหุ่นเชิดเหล่านั้น สีหน้าท่าทางของพวกหุ่นเชิดช่างแปลกประหลาด ดวงตาของพวกมันส่องแสงวูบวาบอยู่ไปมา แต่สิ่งที่ทำให้ศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าถึงกับตกตะลึงตัวแข็งก็คือ…

หุ่นเชิดที่หน้าตาเหมือนพวกเขาราวกับแกะเริ่มถอดเสื้อผ้าออก

“พวกมัน…ทำไมพวกมันแก้ผ้าล่ะ”

“ท่าไม่ดีแล้ว พวกเรา หนีเร็ว!”

ขณะที่ศิษย์สาขาปรัชญาเต๋ายังคงตะลึงตัวแข็ง มีศิษย์หัวไวบางคนที่รู้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล พวกเขาตกใจจนหน้าถอดสีและเริ่มหันหลังวิ่งหนีเต็มฝีเท้า

แต่สายเกินไปเสียแล้ว เหล่าหุ่นเชิดที่ถอดเสื้อผ้าเสร็จแล้วเริ่ม…กระโจนเข้าใส่ตัวต้นแบบ

เสียงครางที่ออกจากปากพวกมันฟังดูน่ากลัวยิ่งเมื่อได้ยินจากระยะไกล ซ้ำร้ายหุ่นเชิดเหล่านี้แข็งแรงและทนทานยิ่ง ศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าไม่สามารถจะผละหนีออกจากอ้อมกอดของพวกมันได้ เพราะอย่างนั้น…ศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าผู้ตื่นกลัวต่างก็   พากันหน้าถอดสี บ้างก็หันวิ่งหลังวิ่งเต็มฝีเท้าพลางแหกปากร้องตะโกนลั่น

“สวรรค์ หุ่นเชิดพวกนี้มันบ้าไปแล้ว!”

“หวังเป่าเล่อ ไอ้คนหน้าไม่อาย!”

ด้วยความตื่นตกใจ ศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าหลายคนสะดุดขาตัวเองล้มคะมำ ขณะที่หุ่นเชิดเปลื้องผ้ากระโจนลงใส่พวกเขา หนึ่งในนั้นก็คือเจ้าตัวการหลักอย่าง    เจ้าหนุ่มสกุลเฉิน ไม่นานนักศิษย์เหล่านั้นต่างพากันร้องไห้ระงม ทั้งกลิ้ง ทั้งคลานอย่างน่าสงสารเพื่อพยายามหลบหนี กลับกัน เจ้าพวกหุ่นเชิดไล่ตามอย่างไม่ลดละ พลางส่งเสียงร้องครางดังระงม แถมตะโกนลั่นอยู่เป็นครั้งคราวว่า “เต๋าเบิกตาให้ข้าเห็นธรรม!”

ยิ่งไปกว่านั้น เพราะทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังสาขาอาวุธเวท สาขาวิชาอื่นๆ จึงรับรู้ถึงเหตุการณ์นี้ในทันที การถ่ายทอดสดผุดขึ้นมากมายบนเครือข่ายวิญญาณส่งผลให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่

“ข้าได้ยินเสียงครางประหลาดดังมาจากสาขาอาวุธเวทนะ!”

“พวกเราดูสิ ศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าโดนหุ่นเชิดที่ส่งเสียงครางวิ่งไล่ ข้านึกไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าโดนจับจะเป็นอย่างไร…”

“หวังเป่าเล่อ…ลูกไม้อันนี้ของเจ้าช่างเป็นไพ่ตายโดยแท้!”

“ฮ่าๆ ขนาดสาขาปรัชญาเต๋ายังเต็มกลืน ดูเหมือนจะมีแค่คนชั่วเท่านั้นที่จะสามารถข่มเหงคนชั่วด้วยกันได้ ทำได้ดีมาก หัวหน้าศิษย์เป่าเล่อ!”

ขณะที่บรรยากาศในหมู่ผู้ชมของเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองกำลังเข้มข้น เสียงครางดังขรมไปทั่วสาขาอาวุธเวท ศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าทุกคนร้องไห้คร่ำครวญอย่าง       น่าเวทนา พวกเขาได้แต่คิดว่าน่าจะวิ่งได้เร็วกว่านี้ ด้วยความเกรงกลัวพวกเขาทุ่มเทพลังกายทั้งหมดให้กับการวิ่งหนี บ้างก็ปัสสาวะรดกางเกงขณะวิ่งหนีลงเขาไป

สีหน้าพวกเขาทุกคนซีดเผือด ผมเผ้ากระจายยุ่งเหยิง เสื้อผ้าก็ขาดวิ่น จิตใจพวกเขาถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีเงาแห่งความกลัวตัวมโหฬารพาดผ่าน ขณะนี้ความคิดเดียวที่พวกเขามีในหัวคือ ต้องอยู่ให้ห่างสาขาอาวุธเวทและ           หวังเป่าเล่อเข้าไว้

หุ่นเชิดโหมดลามกของหวังเป่าเล่อได้ผลดีเสียจนเรียกได้ว่าทำแผ่นดินลุกเป็นไฟเลยทีเดียว

ขณะนั้นเองหวังเป่าเล่อก็แสดงตัวออกมาก รอยยิ้มอย่างมีชัยฉาบอยู่บนสีหน้า เขาตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มเดินเอามือไขว้หลังไปทั่วสาขาอาวุธเวท พลางมองดูศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าวิ่งหนีหุ่นเชิดส่งเสียงคราง หวังเป่าเล่อเป็นสุขเอามากๆ

แม้ว่าศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าอย่างพวกเจ้าจะเป็นอันธพาลก็เถอะ พวกเจ้าเอาชนะสัตว์ร้ายครางกระเส่าของข้าไม่ได้เสียหรอก! หวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่นขณะที่เดินอาดๆ ตามศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าลงเขาไปด้วยเพื่อมองดูพวกเขาหนี

แม้ว่าศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าที่กำลังหนีจะมองเห็นหวังเป่าเล่อ แต่ทว่าท่ามกลางความสะพรึงกลัวและโทสะนั้น พวกเขาไม่ได้หยุดมอง พวกเขาจำต้องทำเป็นมอง     ไม่เห็นและรีบหนีเอาตัวรอดกันต่อ หวังเป่าเล่อยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่ ขณะที่เขาเดินกลับไปยังถ้ำที่พัก ศิษย์สาขาอาวุธเวทต่างก็มองเขาด้วยสีหน้าแปลกแปร่งผสมด้วยความยำเกรง เมื่อเขากลับถึงถ้ำที่พัก หนุ่มอ้วนดึงถุงขนมออกมาพลางทอดถอนใจ

เงียบเสียทีนะ สาขาปรัชญาเต๋า พวกเจ้ากลัวหรือเปล่า พวกเจ้าไม่กล้าสู้กับข้าด้วยซ้ำ!

หวังเป่าเล่อมีความสุขกับความสงบอยู่ระยะหนึ่ง เขาตัดสินใจจะพักสักสองสามวันก่อนจะเริ่มหลอมวัตถุเวทอีกครั้ง ขณะที่เหล่าศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าที่ล่าถอยไปก็ยังไม่ยอมแพ้ พวกเขาเริ่มวางแผนเพื่อจู่โจมครั้งใหม่

แม้ว่าพวกเขาจะรู้ดีว่าลูกเล่นการส่งหุ่นเชิดขั้นสุดยอดของหวังเป่าเล่อนั้นไร้เทียมทาน แต่ว่าพวกเขาก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะว่าศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าเคยชินกับการเป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขาต้องเจอกับความยากลำบากเช่นนี้ บรรดาศิษย์รู้สึก      เสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง ขณะพวกเขากำลังรวมหัวกันคิดหาวิธีโต้กลับนั้น เสียงประกาศอันดังก็ดึงเอาความสนใจของศิษย์ทุกสาขาวิชาไปพร้อมๆ กัน

ขณะนั้น บรรดาศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าเองก็หันมาสนใจเสียงประกาศเช่นกัน   พวกเขาไม่จ้องมองหวังเป่าเล่ออีกต่อไป หัวใจของทุกคนเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น

เพราะว่า…การสอบเลื่อนระดับปีนี้จะเริ่มต้นขึ้นเร็วเป็นพิเศษ!

การสอบเลื่อนระดับมีขึ้นสำหรับศิษย์ที่ต้องการเลื่อนขั้นจากเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองไปยังเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง โดยปกติแล้วจะไม่มีการจำกัดอายุ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ใน  ปีแรกหรือปีห้าหากมีความพร้อมก็สามารถร่วมการสอบได้หมดทุกคน

ผู้เข้าสอบส่วนมากเป็นศิษย์ปีห้า หากพวกเขาสอบผ่าน ก็สามารถเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงได้ อย่างไรก็ดี หากสอบไม่ผ่านก็แปลว่าจะต้องถูกขับออกจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไปหาทางประกอบอาชีพอย่างอื่นกันต่อไป

การทดสอบนี้ยากมากเพราะเป็นการสอบใหญ่ ในความเป็นจริง…นับเป็นโอกาสทองเลยทีเดียวในการเลื่อนขั้นจากระดับการฝึกตนโบราณสู่ระดับลมหายใจเที่ยงแท้!

จะผ่านการทดสอบได้ มีเพียงเงื่อนไขเดียวเท่านั้น คือ บรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้!

ตามปกติ ผู้เข้าร่วมการสอบเลื่อนขั้นประจำปีมีทั้งสิ้นราวสี่หมื่นคน เพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะผ่านขึ้นไปสู่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงได้

โดยปกติแล้วการสอบจะมีขึ้นก่อนวันหยุดยาว แต่ทว่าครั้งนี้…เลื่อนขึ้นมาเร็วขึ้น

เหตุผลที่เลื่อนมาเร็วขึ้นก็เพราะ…ไม่เพียงแต่จะเป็นการสอบพื้นฐานของสำนักวิชาเต๋าทั้งหลาย แต่ยังรวมถึงการทดสอบในมิติเวทสำหรับศิษย์ที่ทำคะแนนได้สูงสุดอีกด้วย!

ในการสอบครั้งที่แล้วศิษย์สี่หมื่นคนเข้าร่วมเพื่อชิงสิทธิ์เข้าร่วมเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงด้วยโชคชะตาและความสามารถของตนเอง แม้จะยากเย็นเป็นอย่างยิ่งแต่ก็ไม่ได้ยากเกินพยายาม ศิษย์จากสาขาวิชาต่างๆ ทั่วสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ต่างพากัน    เข้าร่วม

สำหรับการทดสอบในมิติเวทนั้น ไม่จำกัดเพียงศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านั้น แต่ทว่า…ศิษย์ที่มีความสามารถยอดเยี่ยมจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าสามารถเข้าร่วมได้ทั้งหมด มิติเวทเป็นสถานที่สอบอันเป็นกลางเพราะไม่มีสำนักศึกษาเต๋าใดเป็นเจ้าของ สนามสอบนั้นเป็นสถานที่ที่ทั้งสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเป็นเจ้าของร่วมกัน พวกเขาร่วมแรงกันชิงมาจากกลุ่มต่างๆ ในสหพันธรัฐหลังจบสงครามอสูร!

ด้วยเหตุผลหลายประการ สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าจะเปิดพื้นที่แห่งโอกาสนี้      เพียงครั้งเดียวในรอบหลายปี และเพราะว่าพื้นที่สามารถจุคนได้เพียงสี่พันคน         แต่ละสำนักเต๋าสามารถส่งศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเข้าร่วมได้เพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น!

เหตุผลหลักที่การสอบวัดระดับถูกเลื่อนขึ้นมานั้เพราะว่าสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าตัดสินใจเรื่องวันเปิดมิติเวทแล้ว ฉะนั้นไม่เพียงแต่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่       เลื่อนสอบให้เร็วขึ้น แต่อีกสามสำนักศึกษาเต๋าก็ต้องทำแบบเดียวกัน

นั่นเพราะแต่ละสำนักศึกษาเต๋าต้องเฟ้นหาสุดยอดศิษย์จำนวนหนึ่งพันคนไป    ร่วมแข่งขันนั่นเอง!

ในการคัดเลือกนี้ ผู้ชนะหนึ่งพันคนจากแต่ละสำนักเท่านั้นที่จะได้เข้ามิติเวทของสี่    สุดยอดสำนักศึกษาเต๋า ที่เหลือจะได้เข้าไปยังมิติเวทของสำนักศึกษาเต๋าที่ตนอยู่แทน

เมื่อเนื้อความในประกาศแพร่กระจายออกไป สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็ถูก     ปกคลุมด้วยเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ในบัดดล แน่นอนว่ามิติเวทที่เป็นกลางของสี่สุดยอดสำนักศึกษาเต๋านั้นเป็นโอกาสชิ้นงามที่เยี่ยมกว่าสนามสอบปกติเป็นไหนๆ

ระดับลมหายใจเที่ยงแท้นั้นอยู่เหนือขั้นการฝึกตนโบราณ แต่ก็ยังมีการแบ่งขั้นอยู่ในระดับลมหายใจเที่ยงแท้อีกที!

ลมหายใจเที่ยงแท้นั้นเชื่อมโยงกับรากฐานวิญญาณ! หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งกำลังนั่ง    ไขว่ห้างอยู่ในถ้ำที่พักได้รับฟังการประกาศจากเจ้าสำนักเช่นกัน เจ้าสำนักถึงกับขอให้เขาเข้าร่วมการทดสอบนี้ด้วยตนเอง!

รากฐานวิญญาณเป็นสิ่งที่ต้องข้ามผ่านให้จงได้! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกพลางมองดูข้อมูลบนแหวนสื่อสารจากเจ้าสำนัก ในนั้นมีคำอธิบายเรื่องระดับ         ลมหายใจเที่ยงแท้

คุณภาพของรากฐานวิญญาณนั้นแบ่งเป็นหนึ่งถึงแปดนิ้ว ในการทดสอบปกติ    จะไม่มีรากฐานวิญญาณที่เกินห้านิ้ว ในมิติเวทเท่านั้นจึงจะปรากฎรากฐานวิญญาณขนาดเกินห้านิ้วขึ้นไป!

เหตุที่ขั้นนี้มีชื่อว่าลมหายใจเที่ยงแท้มิใช่ชื่อรากฐานวิญญาณก็เพราะว่า…    รากฐานวิญญาณนั้นไม่มีตัวตน แต่เป็นเพียงก้อนพลังเท่านั้น!

การฝึกตนโบราณทั้งสามขั้นเป็นการเตรียมตัวเพื่อจะกักเก็บลมหายใจเที่ยงแท้ไว้ในร่างกาย เพราะร่างกายมนุษย์นั้นเปรียบเหมือนกับตะแกรง…มีรูอยู่มากมาย         ในชั่วอึดใจที่ร่างกายคนธรรมดาซึมซาบเอาลมหายใจเที่ยงแท้เข้าไปได้ มักจะไม่สามารถกักเก็บเอาไว้ได้…นั่นคือเหตุผลว่าทำไมต้องมีสามขั้นของการฝึกตนโบราณ!

หนึ่งในขั้นทั้งสามคือขั้นปราณโลหิต ขั้นนี้มุ่งพัฒนารากฐานร่างกายให้มั่นคง     ขั้นที่สองคือขั้นผนึกกายา เป็นการปิดรูขุมขนทั้งหลายในร่าง ขั้นสุดท้าย บำรุงชีพจร เป็นการปิดรูขุมขนสุดท้ายบนร่างกาย สามขั้นนี้เท่านั้นที่จะทำให้ผู้ฝึกสามารถปิดผนึกร่างกายได้โดยสมบูรณ์และสามารถจะกักเก็บเอาลมหายใจเที่ยงแท้ไว้ได้ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย! หวังเป่าเล่อจ้องมองไปที่แหวนสื่อสาร แม้ว่าครึ่งหนึ่งของ   ข้อมูลนี้เขาจะรู้อยู่แล้ว อีกครึ่งหนึ่งก็นับว่าใหม่สำหรับเขา

ระดับลมหายใจเที่ยงแท้…หวังเป่าเล่อเงียบงัน ในหัวเขานึกถึงตอนที่เดินทางกลับบ้าน แล้วชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นกำราบอสูรระดับลมหายใจเที่ยงแท้ หลังจากที่คิดใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแววมุ่งมั่น เขาตัดสินใจจะเข้าร่วมการทดสอบ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!