Skip to content

A World Worth Protecting 102

บทที่ 102 เจ้าอยากตายหรืออย่างไร

“หวังเป่าเล่อ นี่เป็นเรื่องภายในตระกูลนภาห้าสมัย เจ้าอย่ามายุ่งและจงหลีกไปเสีย แล้วข้าจะไม่เอาเรื่อง แถมจะตบรางวัลให้ชุดใหญ่อีกด้วย!” สภาพของจั่วอี้เซียน        ดูไม่ดีนัก หัวใจของเขายังคงเต้นระรัวด้วยอาการตกใจและหวาดกลัว จากการโจมตีก่อนหน้านี้

“ลองคิดดูให้ดีแล้วกัน มันเป็นเรื่องส่วนตัว ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแข่งขันระหว่างสำนักศึกษาเต๋าเลยสักนิด ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ข้าลงมือกับเจ้านั่น    เพียงคนเดียว สหายร่วมสำนักศึกษาของข้าไม่ได้เข้ามาร่วมวงด้วย เจ้าพวกนั้นช่วยข้าล้อมตัวรากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้วไว้เท่านั้น!”

หากเป็นคนอื่น จั่วอี้เซียนคงจู่โจมให้ขวัญกระเจิง และไม่เสียเวลาอธิบายเช่นนี้ แต่อีกฝ่ายดันเป็นหวังเป่าเล่อ จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากชี้แจงอย่างใจเย็น

“เรื่องส่วนตัวหรือ” ชายอ้วนหรี่ตามอง แม้ว่าจะไม่ค่อยลงรอยกันดีนักกับจั่วอี้ฟาน แต่อย่างน้อยก็เป็นสหายร่วมสำนักศึกษากัน อีกทั้งเรื่องบาดหมางระหว่างพวกเขา    ยังพอปรับความเข้าใจกันได้อยู่บ้าง หากชายหนุ่มไม่ทันเห็นเหตุการณ์ คงปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปได้ แต่ดันต้องมารับรู้เรื่องราวเข้าให้ ในฐานะของการเป็นหัวหน้าศิษย์      สหายร่วมสำนักศึกษา และเป็นผู้มีอำนาจระดับหนึ่งแล้วนั้น เขาจึงไม่อาจปิดหูปิดตา โดยไม่สนใจต่อหลักมนุษยธรรมได้

“ข้าไม่สนว่ามันคือเรื่องส่วนตัวหรือไม่ หวังเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่คนนี้จะเข้ามาจัดการเอง!” ชายหนุ่มพูดพลางกระโจนเข้าใส่

โดยเป้าหมายในการโจมตีนั้นไม่ใช่จั่วอี้เซียน แต่เป็นศิษย์อีกหกคนจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวผู้ยืนล้อมรอบรากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้วต่างหาก พวกเขาตกใจ      เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยศักดิ์ศรีค้ำคอ จึงเลือกเข้าปะทะเพื่อต้านทานกำลังของอีกฝ่าย แทนที่จะถอยหนี

เมื่อหกคนนั้นประจัญหน้าเข้ามา ชายอ้วนจึงยกมือซ้ายขึ้นอย่างว่องไว จนปรากฏให้เห็นกระบี่เหาะเหินนับสิบด้าม ซึ่งบังคับผ่านกระบวนท่าจิตวิญญาณกระบี่ แลดู  โดดเด่นน่าทึ่ง ก่อนจะพุ่งไปทางศิษย์ทั้งหก

“กระบวนท่าจิตวิญญาณกระบี่!” พวกเขาผงะถอย ก่อนรีบคว้าวัตถุเวทออกมา เพื่อหวังจะใช้ตอบโต้

การเคลื่อนตัวของหวังเป่าเล่อรวดเร็วมาก เหล่าศิษย์นั้นยังพยายามต้านทานพละกำลังเอาไว้ จั่วอี้ฟานเริ่มแสดงท่าทีว่าอยากเข้ามาช่วย จังหวะนั้นเอง ชายอ้วนกลับเปลี่ยนทิศทางการโจมตีอีกครั้ง ซึ่งเป้าหมายในครั้งนี้ ไม่ใช่จั่วอี้เซียน หรือศิษย์  ทั้งหกคนอีกต่อไป แต่เป็นรากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้วของจั่วอี้ฟานแทน

ชายหนุ่มได้ประเมินวิเคราะห์ไว้อย่างเฉียบแหลมตั้งแต่มาถึง ว่าเจ้ารากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้วนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จึงเร่งความเร็วเข้าหารากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้ว  ซึ่งบาดเจ็บอยู่ จนมันถอยหนี เขารีบคว้าตัวไว้ และจับมันทุ่มอย่างแรง

รากฐานวิญญาณไม่อาจฝืนทนแรงกระแทกเสียงดังสนั่น จนสลายกลายเป็นหมอกเขียว ก่อนแล่นเข้าไปหาจั่วอี้ฟานเพื่อรวมประสานเข้ากับร่างกายของชายผู้นี้

บรรดาศิษย์ทั้งหกคนจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวต่างล่าถอย เพราะโดนล้อมด้วยกระบี่เหาะเหิน แม้จะอยากขัดขวางไม่ให้จั่วอี้ฟานดูดกลืนหมอกเขียวได้สำเร็จ แต่ยังไม่ทันทำอะไรต่อ หวังเป่าเล่อก็ตะคอกเสียงดังน่ากลัว

“พวกเจ้าทุกคนคิดให้รอบคอบแล้วกัน! เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ถือเป็นการช่วงชิงโอกาสจากอื่น และเป็นเพียงการช่วยเหลือสหายร่วมสำนัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดร้ายแรง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้จั่วอี้ฟานได้เริ่มต้นกระบวนการดูดกลืนแล้ว ถ้าพวกเจ้า            ยังคับข้องใจ และเข้ามายุ่ง มันจะถือว่าเป็นการขัดขวางอนาคตของศิษย์แห่งสำนัก  เต๋าศักดิ์สิทธิ์!

“ข้าจะไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเด็ดขาด อีกอย่าง พวกเจ้าเข้าสู่ระดับ         มหาปราชญ์ชั้นสูงแห่งสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คงไม่อยากมีส่วนเกี่ยวพันกับปัญหาไร้สาระเช่นนี้ จนตำแหน่งของพวกเจ้าต้องสั่นคลอนหรอก         จริงหรือไม่”

สีหน้าเหล่าศิษย์ทั้งหกแตกต่างไป ท่าทีสงบลงฉับพลัน เมื่อฟังคำพูดอันสมเหตุสมผลของหวังเป่าเล่อจบ เป็นความจริงที่ว่า หากการดูดกลืนยังไม่เริ่มต้น เหตุการณ์เหล่านี้จะถือว่าเป็นเพียงการช่วงชิงโอกาส ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะใครๆ ต่างมุ่งมั่นเอาชนะกันอยู่แล้ว แต่ถ้าเข้ามาขัดขวาง หลังจากเริ่มการดูดกลืนแล้วล่ะก็ จะถูกพิจารณาว่าละเมิดข้อห้ามและทำผิดกฎระเบียบของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าทันที!

หนำซ้ำ เหล่าศิษย์อีกหกคนนั้น ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับจั่วอี้ฟานเหมือนกับจั่วอี้เซียน ที่จะช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ได้ง่ายขึ้น ว่าอาจเกิดจากความขัดแย้งในครอบครัวแต่ครั้งก่อน ดังนั้น หากหวังเป่าเล่อเก็บหลักฐานการกระทำผิดของพวกเขาไปยื่นฟ้อง จะทำให้มีแต่เสียเปรียบ

“หวังเป่าเล่อ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำลายความสำเร็จของข้า!” หลังจากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น จั่วอี้เซียนจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวตะโกนอย่างโมโห ด้วยดวงตาพยาบาท ก่อนหยิบโอสถขึ้นมากิน เผยให้เห็นรังสีแผ่ขึ้นรอบตัวทันที และพุ่งเข้าใส่ชายอ้วนตรงหน้าอย่างดุดัน

ในจังหวะพุ่งจู่โจมนั้นเอง มีร่างเงาตนหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังจั่วอี้เซียนด้วย มันมิได้ปรากฏขึ้นจากความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ ทว่าเกิดจากการสั่งสมปราณโลหิตขึ้นมา เงาตะคุ่มเรืองแสงสีแดงปรากฏขึ้น จนชายอ้วนเริ่มตื่นตระหนก

“หวังเป่าเล่อ จั่วอี้เซียนใช้โอสถอดีตชาติ ซึ่งเป็นโอสถพิเศษเฉพาะตระกูลนภาห้าสมัย ผู้กินจะรู้ถึงวิทยายุทธ์ลึกลับประจำตระกูลได้ ส่วนด้านหลังคือร่างอดีตชาติที่เจ้านั่นเคยรวบรวมเอาไว้! มันจะเพิ่มความกล้าหาญในการต่อสู้ให้กับเขา!”

ระหว่างทำการดูดกลืนรากฐานวิญญาณอยู่นั้น จั่วอี้ฟานรีบเตือนสหายร่วมสำนักศึกษาผู้นี้ให้รู้ทันเหตุการณ์ตรงหน้า

ขณะนั้นเอง จั่วอี้เซียนเข้ามากระชั้นตัวหวังเป่าเล่อ แล้วยกขาขวาขึ้นเตะอย่างแรง ร่างอดีตชาติด้านหลังเองนั้นก็ทำเหมือนกันจนเกิดเสียงดัง ท่าทางการเตะของทั้งคู่ เหมือนจะเชื่อมผูกกัน ทำให้ลูกเตะของจั่วอี้ฟานมีแสงสีแดงเรืองสว่าง!

ความเร็วและพละกำลังนั้นต่างเพิ่มขึ้นจนสังเกตได้ ทั้งสองร่างประสานพลัง       พุ่งตรงเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ ทลายเกราะกำบังอันแข็งแกร่ง จนเสียงดังสนั่นลั่น      โสตประสาท

ดวงตาของชายร่างอ้วนเบิกกว้างและคอยจับจ้องอย่างระมัดระวัง ก่อนจะใช้กระบวนท่าเดียวกันนั้นเตะจั่วอี้เซียนกลับอย่างแรง!

เสียงปะทะดังก้องขึ้นฟ้า ปราณโลหิตปะทุขึ้นราวกับคลื่นยักษ์ จนอีกฝ่ายหัวใจเต้นระรัว พลางส่งเสียงฮึดฮัด

“เหตุใดเจ้าอ้วนนั่น ถึงแข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนได้ขนาดนี้” ร่างอดีตชาตินั้นเข้ามารับแรงปะทะแทนจั่วอี้เซียน จนทำให้ขาขวาของมันขาดกระเด็นทันที

ชายหนุ่มจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวไม่ได้รับอันตรายใดๆ แต่ยังคงตกตะลึงไม่หาย ก่อนจะยกแขนขวาขึ้นเผยให้เห็นกระบี่สั้นสีดำ เขาพุ่งเข้าไปหวังจะแทงหวังเป่าเล่อโดยไม่ลังเล

“น่าสนใจนี่!” ดวงตาของชายอ้วนฉายประกาย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาเล่นๆ จังหวะนั้นเองเมล็ดแห่งการดูดกลืนในร่างกายเริ่มทำงานหวังเป่าเล่อปล่อยพลังสูบออกมาจากมือขวา ดูดกระบี่สั้นและร่างกายของฝ่ายตรงข้าม

พลังสูบนั้นทำให้จั่วอี้เซียนรีบถอยร่น แต่สายเกินไปเสียแล้ว หัวหน้าศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ยิ้มอย่างสะใจ ก่อนจะเตะเข้ายอดอกของอีกฝ่ายอย่างจัง

ทันใดนั้น แหวนของจั่วอี้เซียนส่องประกายวาบ เผยให้เห็นเกราะป้องกันตัวซึ่งช่วยปกป้องชายหนุ่มจากลูกเตะเมื่อครู่ได้พอดี ก่อนจะพังทลายไปทันที ร่างของผู้เป็นเจ้าของถอยหลังไปเล็กน้อยด้วยความตื่นตกใจ

หวังเป่าเล่อเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ทะยานเข้ามาด้วยฝีเท้าอันหนักหน่วง       ก่อนชูมือขวาขึ้นไปทางกระบี่เหาะเหินที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้มันลอยมาในอากาศได้ด้วยแรงควบคุมแม่เหล็ก

อย่างไรก็ดี จั่วอี้เซียนผู้มีประสบการณ์ในการยุทธ์มามากมาย เผยแววตาแห่งความชั่วร้าย ก่อนใช้จังหวะล่าถอยนั้น ทุบอกตัวเองอย่างแรง จนเลือดสีดำ       กระอักจากปาก

“เงาสังหารอดีตชาติ!”

ทันใดนั้น ปราณโลหิตอดีตชาติซึ่งสูญเสียขาไปจากแรงปะทะก่อนหน้านี้          พุ่งออกมาจากร่างของจั่วอี้เซียน ตรงไปยังหวังเป่าเล่อ มันระเบิดตัวทันทีที่เข้าใกล้ชายผู้เป็นเป้าหมาย!

เกิดเสียงดังกึกก้อง และฝุ่นฟุ้งกระจายไปในอากาศจากแรงระเบิดนั้น ได้ปกคลุมร่างหวังเป่าเล่อในฉับพลัน ส่วนจั่วอี้เซียนเสียเลือดอย่างมาก การระเบิดตัวของ      ร่างอดีตชาติ ดูเหมือนจะส่งผลต่อตัวเขาด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มไม่มีเวลาเช็ดเลือด ในขณะกำลังถอยหลัง แหวนของเขาประกายแสง ปรากฏเกราะกำบังขึ้นเพื่อสกัดกระบี่เหาะเหินที่พุ่งเข้ามา

เสียงกระทบดังก้อง ขณะจั่วอี้เซียนหัวเราะร่วน

“หวังเป่าเล่อ เจ้าแข็งแกร่งก็จริง! แต่อย่างไรก็ไม่มีทางรอดพ้นจากสมบัติเวทป้องกันตัวเองจากตระกูลของข้าได้!”

ศิษย์อีกหกคนจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวยืนตะลึงงัน พลางมองดูเกราะป้องกันของหัวหน้าศิษย์ผู้นี้แตกสลายก่อนจะกลับสภาพเดิมได้ ทำให้รู้ว่าแหวนนั้นมิใช่สิ่งของธรรมดาทั่วไป

เมื่อชายชุดขาวพูดจบประโยค ก็มีเสียงหัวเราะเล็ดลอดมาจากฝุ่นควันระเบิดของร่างอดีตชาติตรงนั้น

“เจ้ามีดีแค่นี้เองหรือ”

เมื่อได้ยินเสียงนั่น จั่วอี้เซียนถึงกับผงะ ท่ามกลางเศษฝุ่นคลุ้งกระจาย ได้ปรากฏแสงสีทองเรืองอร่าม ก่อนจะพุ่งทะยานไปบนท้องฟ้า!

แสงเรืองรองสีทองนั้น ส่องประกายอย่างน่าหลงใหล มันแผ่กระจายไปทั่วทิศทาง คล้ายเป็นมหาสมุทรแห่งปราณโลหิต หวังเป่าเล่อก้าวออกมาจากในนั้น ด้วยความเร็วกว่าทุกครั้ง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยแสงทองประกาย ชายหนุ่มปรากฏตัวต่อหน้าจั่วอี้เซียน แล้วใช้มือขวาของตน จับคอก่อนยกตัวของอีกฝ่ายขึ้นบนอากาศ

“เจ้าอยากตายหรืออย่างไร” หวังเป่าเล่อเอ่ยถาม ขณะที่ร่างกายนั้น ปกคลุมด้วยแสงสีทองจนดูเหมือนเป็นเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!