Skip to content

A World Worth Protecting 199

บทที่ 199 แอ่งแผ่นดินเค่อหลุน

“เป่าเล่อ ทั้งสองคือศิษย์น้องที่ข้าสนิทด้วยในตำหนักการยุทธ์ พวกเขาได้รับภารกิจจากทางสำนัก ไหนๆ ก็จะไปทางเดียวกัน พวกนี้เลยอยากจะเดินทางไปด้วย เจ้าว่าอย่างไร…” จั่วอี้ฟานกระแอมไอขึ้นขัดหวังเป่าเล่อที่กำลังพึงพอใจในความงดงามของตน

ศิษย์สองคนด้านหลังจั่วอี้ฟานหน้าตาธรรมดาดาษดื่น พวกเขาอยู่ในระดับ       ลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่สอง ทั้งสองรีบก้าวขึ้นมาประสานมือคำนับทักทายหวังเป่าเล่อ

“คารวะ ศิษย์พี่หวัง!” ดูเหมือนว่าจั่วอี้ฟานจะบอกทั้งสองเรื่องหวังเป่าเล่อ     ก่อนมาถึง อีกทั้งชื่อของหวังเป่าเล่อได้แพร่กระจายไปทั่วเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง       ทำให้ทั้งสองมีมิตรจิตมิตรใจกับหวังเป่าเล่อแต่แรกพบ

“ไม่มีปัญหา พวกเราเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน สหายของอี้ฟานก็เหมือนสหายของข้า มาเดินทางไปด้วยกันเถอะ!” หวังเป่าเล่อหัวเราะเสียงดังและอนุญาตให้ทั้งสองไปด้วย จากนั้นก็นำเรือบินสุดหรูรูปทรงคล้ายหยดน้ำออกมา ก่อนจะขึ้นเรือบินไป

“ขึ้นมาเลย เราจะออกเดินทางกันแล้ว!”

จั่วอี้ฟานยิ้มและส่ายหน้า เขาผายมือให้เจ้าเยี่ยเหมิงเป็นสัญญาณบอกให้นางขึ้นเรือบินก่อน

เจ้าเยี่ยเหมิงยิ้ม พยักหน้าให้ ก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งบนเรือบินด้วยท่วงทีสง่างาม จากนั้นจั่วอี้ฟานและศิษย์น้องจากตำหนักการยุทธ์ก็ตามขึ้นเรือบินไป

เรือบินลำเก่าของหวังเป่าเล่อคงไม่สามารถจุคนได้มากเช่นนี้ แต่เรือบิน            ลำปัจจุบันเป็นของที่ให้เพียงรองเจ้าตำหนักหรือคนที่ตำแหน่งเทียบเคียงกันใช้        แม้บนเรือบินจะมีคนอยู่ถึงห้าคน ก็ยังมีพื้นที่เหลืออีกมากมาย

จากความเร็วเรือบินของหวังเป่าเล่อ คาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณยี่สิบชั่วโมงจึงจะถึงนครหลวงของสหพันธรัฐ พวกเขารีบออกเดินทางแต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้มีเวลาทำความคุ้นเคยกับสถานที่ หวังเป่าเล่อและจั่วอี้ฟานนั้นไม่เคยไปนครหลวงมาก่อน

ขณะเรือบินแล่นไปบนฟากฟ้า หวังเป่าเล่อก็เลิกยืนทื่อเหมือนคนบ้า เขานั่งลงและมองไปยังจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิง ในใจรู้สึกปนเป ชายหนุ่มคิดว่าตนพัฒนาระดับการฝึกตนไปได้อย่างรวดเร็วมาก เจ้าเยี่ยเหมิงก็ไม่น่าจะมัวชักช้าแต่อย่างใด      ดูท่านางจะบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่สี่แล้ว

จั่วอี้ฟานนั้นตามหลังอยู่นิดหน่อย แต่ตอนนี้เขาก็อยู่ในระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่สาม ดูท่าทางจะบรรลุไปขั้นที่สี่ในเร็ววัน

ทุกคนต่างมีความลับ ทั้งจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงจะต้องมีพรสวรรค์บางอย่างที่ไม่มีใครรู้ คิดดังนั้น หวังเป่าเล่อก็เปิดบทสนทนากับทั้งสองคนตรงหน้า

“พวกเจ้าได้ขึ้นเป็นองครักษ์ประจำตำหนักตนเองหรือยัง

“พวกเจ้าได้ข่าวรึเปล่าว่าการแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐนั้น  ดูท่าจะดุเดือดทีเดียว มีโอกาสแค่หนึ่งในล้าน นอกจากจะมีความสามารถแล้ว         ยังต้องพึ่งโชคชะตาด้วย เกณฑ์เรื่องรูปร่างหน้าตาก็โหดไม่แพ้กัน มีเพียงไม่กี่คนที่จะผ่านเกณฑ์นี้ได้ แต่ข้าไม่น่ามีปัญหาอะไร พวกเจ้ามั่นใจรึเปล่าว่าจะได้รับคัดเลือก” หวังเป่าเล่อว่าอย่างสุขี แต่ไม่นานก็เริ่มหงอยลง

เจ้าเยี่ยเหมิงนั้นสงวนท่าที นิ่งเงียบอยู่เสมอ นางชอบเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด     ส่วนจั่วอี้ฟานนั้นผ่านการฝึกตนสุดหนักหน่วงจากทางสำนักมาแล้ว จึงวางท่าทีสงบนิ่งมากขึ้นกว่าแต่ก่อน หลังจากพูดคุยกันอยู่นาน หวังเป่าเล่อก็ได้แต่มองทั้งสองจ้องมา คนหนึ่งมองด้วยตากลมโต อีกคนมองมาหน้านิ่ง ชายหนุ่มเริ่มต่อบทสนทนาไป         ไม่ได้อีก

หวังเป่าเล่อตบหน้าผากตนเองและหันไปหาสองศิษย์จากตำหนักการยุทธ์ที่กำลังทำหน้าแปลกๆ เขาถามขึ้นด้วยความสงสัย “พวกเจ้าจะไปทำธุระที่ใดกันหรือ”

ดูท่าจะเป็นครั้งแรกของทั้งสองที่ได้ขึ้นมาบนเรือบินที่แล่นด้วยความเร็วสูง        ช่างรวดเร็วกว่าเรือบินของตนเองยิ่งนัก ทั้งสองต่างเคารพยำเกรงหวังเป่าเล่อผู้เป็นเจ้าของเรือบินลำนี้ พอได้ยินคำถาม พวกเขาก็เอ่ยตอบในทันที

“พวกข้าจะไปแอ่งแผ่นดินเค่อหลุนขอรับ”

หลังจากคนหนึ่งพูดจบ ศิษย์น้องอีกคนข้างๆ ก็พูดเสริม “ศิษย์สาขาหลอมโอสถจากเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองยื่นคำร้องขอกลับไปเยี่ยมบ้านเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว          หกชั่วโมงก่อน เขาขอความช่วยเหลือไปทางเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง แจ้งว่าตนพบอสูรหลายตนระหว่างเดินทางผ่านแอ่งแผ่นดินเค่อหลุน ศิษย์คนนั้นติดอยู่ที่           แอ่งแผ่นดิน แต่ก็ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต”

“เกาะมหาปราชญ์ชั้นรองติดต่อขอความช่วยเหลือไปยังสำนักเต๋าขนาดเล็ก  หลายแห่งที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงแอ่งแผ่นดินเค่อหลุนเมื่อคืน ขณะเดียวกัน             ก็ส่งภารกิจมายังตำหนักการยุทธ์ พวกเรามีหน้าที่ให้การช่วยเหลือและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้น”

ไม่มีเหตุผลใดที่จะปิดภารกิจนี้เป็นความลับเนื่องจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้นได้รับภารกิจเช่นนี้มามากมาย ผู้คุ้มกันบนเรือบินเมื่อตอนหวังเป่าเล่อกลับไป       เยี่ยมบ้านครั้งแรกก็เป็นศิษย์จากเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงที่ได้รับมอบหมายภารกิจมา

โดยทั่วไปแล้ว หากศิษย์จากเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองพบปัญหาใด ทางเกาะ     มหาปราชญ์ชั้นรองจะประเมินความร้ายแรงก่อน จากนั้นก็จะส่งเรื่องขอความช่วยเหลือไปยังเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง โดยทางเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงก็จะมอบหมายให้ศิษย์ไปช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้น ศิษย์ตำหนักการยุทธ์นั้นเป็นกลุ่มหลักในการจัดการกับภารกิจต่างๆ

ทั้งสองไม่ได้ปิดบังอะไรไว้แม้แต่น้อย ต่างอธิบายข้อมูลต่างๆ ด้วยความสัตย์จริง หวังเป่าเล่อนึกถึงตอนที่เขาติดอยู่ในป่าฝนบ่อเมฆ หวังเป่าเล่อถามคำถามต่ออีกเล็กน้อยด้วยความเป็นห่วง จึงได้รู้ว่าอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในแอ่งแผ่นดินเค่อหลุนนั้นอยู่ในระดับลมหายใจเที่ยงแท้เพียงเท่านั้น ศิษย์ที่ติดอยู่ที่นั่นกำลังซ่อนตัวอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย แต่ตำแหน่งที่เขาอยู่นั้นรายล้อมไปด้วยอสูรมากมาย พวกเขาต้องจัดการกับอสูรทีละตน ตอนนี้ก็อยู่ในการดำเนินการช่วยเหลือ ได้ยินเช่นนั้น           หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เขารู้ว่าเวลาเป็นเรื่องสำคัญ จึงปล่อยปราณวิญญาณออกมาเร่งความเร็วของ    เรือบินขึ้นไปอีก เรือบินมุ่งหน้าเข้าไปใกล้แอ่งแผ่นดินเค่อหลุนตามที่แสดงในแผนที่ สถานที่แห่งนี้อยู่ระหว่างทางไปยังนครหลวงพอดี

การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้นานหรือสั้นจนเกินไป หกชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนดังเช่นหวังเป่าเล่อที่พูดไม่หยุด นานๆ ที จั่วอี้ฟานก็จะตอบบ้างคำสองคำ    สองศิษย์จากสาขาการยุทธ์ก็ร่วมวงสนทนาบ้าง ขณะหยิบแหวนสื่อสารมาติดต่อกับศิษย์จากเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองที่รอรับการช่วยเหลือเป็นพักๆ เพื่อให้มั่นใจถึงตำแหน่งที่ชัดเจนและแน่ใจว่าเขายังปลอดภัยดี

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป การเดินทางที่ควรจะใช้เวลานานกว่านี้ก็สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วจากเรือบินสุดพิเศษของหวังเป่าเล่อและการเร่งความเร็วเพิ่มของเขา

ภายใต้เรือบินคือพื้นที่กว้างสีเขียว เป็นแอ่งแผ่นดินขนาดใหญ่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์มากมาย ทำให้ที่แห่งนี้ดูราวกับหนองบึง

พื้นที่แห่งนี้กินอาณาเขตสหพันธรัฐไปมากมาย

ทันใดนั้นสองศิษย์ก็ได้รับข้อความเสียง ใบหน้าดูยินดีปรีดา ทั้งสองเงยหน้าขึ้นพูด “ศิษย์คนนั้นได้รับการช่วยเหลือแล้ว เขาปลอดภัยดี ยังตื่นตกใจอยู่นิดหน่อย”

“พวกข้าไม่รบกวนศิษย์พี่ทั้งสามไปมากกว่านี้ ต่อจากนี้พวกข้าจะใช้เรือบินส่วนตัวมุ่งหน้าไปยังจุดหมายเอง” ทั้งสองยืนขึ้นประสานมือคำนับหวังเป่าเล่อ         จั่วอี้ฟาน และเจ้าเยี่ยเหมิง

เรือบินหยุดอยู่บนฟากฟ้า ทั้งสองกล่าวลาและจากไป

หวังเป่าเล่อมองไล่หลังทั้งสองไป รู้สึกตื้นตันใจเล็กน้อย เขาบังคับเรือบินออกจากแอ่งแผ่นดินและหันไปมองจั่วอี้ฟาน

“ตำหนักการยุทธ์คงจะได้รับภารกิจแบบนี้มากมายเลยใช่หรือไม่”

“ตำหนักการยุทธ์ได้รับภารกิจมาหลายร้อยอย่างต่อวัน บางวันก็ถึงพันอย่างด้วยซ้ำ ภารกิจเหล่านี้ศิษย์จะต้องทำให้สำเร็จ บางทีก็มีภารกิจมากกว่าปกติ ทำให้ศิษย์ตำหนักการยุทธ์ไม่ค่อยได้ประจำการอยู่บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงสักเท่าไร”

“แล้วเจ้าเล่า ปฏิบัติภารกิจสำเร็จไปเท่าใดแล้ว” หวังเป่าเล่อสงสัย

“ตั้งแต่ขึ้นมาบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงถึงวันนี้ ข้าปฏิบัติภารกิจสำเร็จไปแล้ว  เจ็ดสิบสามภารกิจ” หากเป็นผู้อื่น จั่วอี้ฟานคงไม่ตอบอย่างละเอียดเช่นนี้              แต่เนื่องจากผู้ถามเป็นหวังเป่าเล่อ เขาจึงตอบไปอย่างสัตย์จริงโดยไม่คิดอะไร

“แล้วจำนวนผู้บาดเจ็บเล่า ข้าได้ยินมาว่านอกจากภารกิจพิเศษที่สามารถทำได้คนเดียวแล้ว ทางสำนักจะใช้เกณฑ์แฝดสองกับภารกิจนอกสำนัก ข้าเคยได้ยินมา     อีกด้วยว่าผู้ที่จะส่งไปช่วยนั้นจะต้องมีระดับการฝึกตนสูงกว่าระดับการฝึกตนที่ระบุถึงสามระดับทีเดียว” เจ้าเยี่ยเหมิงที่นั่งเงียบอยู่มุมหนึ่ง จู่ๆ ก็ถามขึ้นหลังจากได้ยิน       จั่วอี้ฟานอธิบายให้หวังเป่าเล่อฟัง

หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจเรื่องภารกิจนอกสำนักเท่าใด แต่เขาก็เริ่มสงสัยขึ้นมา    เมื่อได้ยินเช่นนั้น

“เกณฑ์แฝดสองและสามระดับเหนือระดับการฝึกตนคืออะไรกัน”

“เหนือสามระดับ พูดง่ายๆ ก็ยกตัวอย่างเช่น ถ้าศิษย์ขั้นผนึกกายาประสบปัญหา ก็จะต้องส่งผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่สองไปช่วยเหลือ หากผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่สามประสบปัญหา ก็จะส่งผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นไปช่วยเหลือ! ส่วนเกณฑ์แฝดสองนั้นจะขึ้นอยู่กับระดับความยากของภารกิจ แทนที่จะส่งผู้ฝึกตนเพียงคนเดียวไป เราจะส่งผู้ฝึกตนสองคนที่มีระดับเท่ากันไปช่วย!

“การทำเช่นนี้จะช่วยลดเหตุร้ายและจำนวนผู้บาดเจ็บได้มากทีเดียว แม้ว่าจะมีเกณฑ์เช่นนี้ แต่ทุกๆ ปีก็ยังมีศิษย์เกือบสิบคนได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต”       จั่วอี้ฟานอธิบาย

เจ้าเยี่ยเหมิงขมวดคิ้ว ตกอยู่ในภวังค์ความคิด หวังเป่าเล่อกำลังจะเอ่ยถามเพิ่มเติมหลังจากได้ฟังที่จั่วอี้ฟานอธิบาย

แต่เจ้าเยี่ยเหมิงก็ลุกพรวดขึ้น ขมวดคิ้วหนักไปกว่าเดิม นางยืนอยู่บนเรือบิน      ก้มหัวลงมองไกลออกไปทางแอ่งแผ่นดินเค่อหลุน “พวกเจ้ารู้สึกรึเปล่าว่า…           แอ่งแผ่นดินดูจะเงียบเกินไปสักหน่อย ตั้งแต่พวกเราเข้าและผ่านออกมา ข้าไม่เห็นอสูรเลยสักตน นกสักตัวก็ไม่มี!”

นัยน์ตาหวังเป่าเล่อทอประกายวาบ เขาบังคับเรือบินให้หยุดกลางอากาศในทันที จั่วอี้ฟานนิ่งไปสักพักก่อนจะมีสีหน้าขึงขัง ทั้งสองมองตามไปยังแอ่งแผ่นดินที่อยู่     ไกลออกไป แต่พวกเขาก็อยู่ไกลเกินไปจึงไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัด

“อี้ฟาน ส่งข้อความเสียงไปถามศิษย์น้องทั้งสองของเจ้าว่ายังปลอดภัยดีรึเปล่า!” หวังเป่าเล่อกล่าวขึ้นปุบปับ

จั่วอี้ฟานยกแหวนสื่อสารขึ้นทันทีที่หวังเป่าเล่อบอก เขารีบติดต่อไปยังสองศิษย์น้องสำนักการยุทธ์ ถึงกับเปิดใช้วิดีทัศน์สื่อสารเลยทีเดียว จั่วอี้ฟานเห็นภาพศิษย์น้อง      ทั้งสองและศิษย์ที่ได้รับความช่วยเหลือ ทั้งสามดูปลอดภัยดี

แต่สัญญาณภาพกลับตัดลงเพียงเท่านั้น ไม่นานต่อจากนั้น สีหน้าปกติสุขของ    จั่วอี้ฟานก็กลายเป็นสีหน้าตื่นตะลึง จั่วอี้ฟานหันมองเจ้าเยี่ยเหมิงและหวังเป่าเล่อ

“ดูไม่มีอะไรผิดปกติ ตอนนี้พวกเขาอยู่กับศิษย์จากเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง      ทั้งสามจะย้ายไปพำนักที่ตำแหน่งปลอดภัยก่อนแล้วจะเดินทางกลับพรุ่งนี้ น้ำเสียงก็ดูปกติดี แต่สองคนนั้นไม่ได้ใช้รหัสลับที่พวกเราตำหนักการยุทธ์ใช้ตอนปฏิบัติภารกิจ…ความสะเพร่าเช่นนี้ถือว่าเป็นข้อผิดพลาดร้ายแรงสำหรับตำหนักการยุทธ์!”

พอได้ยินที่จั่วอี้ฟานพูด สีหน้าของหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงก็เปลี่ยนไป

“มีอะไรแปลกๆ!” จั่วอี้ฟานสูดหายใจลึก มองไปทางแอ่งแผ่นดินเค่อหลุนด้วยสายตาสุขุมเยือกเย็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!