Skip to content

A World Worth Protecting 209

บทที่ 209 ร่ายเคล็ดวิชา

ร่างของชายวัยกลางคนในชุดดำพร่าเลือน เขาไม่ได้สนใจจั่วอี้ฟานอีกแล้ว         แต่เขาพุ่งเข้าใส่เจ้าเยี่ยเหมิงแทน เขาเคลื่อนที่ว่องไวราวกับสายฟ้าฟาด                 เมื่อเขาประชิดตัวนาง หวังเป่าเล่อก็ตะโกนขึ้น เขาตั้งใจจะเรียกใช้เคล็ดวิชาอีกครั้ง    ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ เขาต้องพยายามหยุดชายชุดดำไม่ให้เข้ามาใกล้มากกว่านี้

ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะได้ส่งเสียง ชายชุดดำก็เข้าประชิดตัวหญิงสาวได้เสียแล้ว ดวงตาของเจ้าเยี่ยเหมิงที่ปิดสนิทพลันเบิกโพลงขึ้นในทันที แสงสีฟ้าที่ส่องจ้าออกมาจากดวงตาของนางระเบิดออกเป็นมหาสมุทรสีฟ้าที่ทะลักไปทางชายชุดดำราวกับจะกลืนกินเขาเข้าไป!

ความรุนแรงของแสงสีฟ้านั้นเกินจะรับมือ เมื่อมันแพร่ออกไปก็มีเสียงครืนครันราวกับฟ้าผ่า ผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึมทุกคนต่างก็สั่นระรัว เหี่ยวแห้งลงราวกับถูกดูดกลืนพลังชีวิตไปหมด ก่อนจะสลายเป็นฝุ่นไปในพริบตา!

แม้แต่หวังเป่าเล่อที่ยืนนิ่งอยู่หลังเจ้าเยี่ยเหมิงก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วย          เขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ไม่อาจจะเอื้อนเอ่ยเคล็ดวิชาออกมาได้ เขาจับตัวจั่วอี้ฟานที่    หมดสติไปจากการใช้พลังเมื่อครู่เอาไว้ ก่อนจะล่าถอยไปอย่างเร่งรีบ พวกเขาหลบ   การโจมตีครั้งใหญ่ได้อย่างหวุดหวิด

การโจมตีขั้นสุดยอดของพวกเขาทั้งสองควบคุมไม่ได้! หวังเป่าเล่อถึงกับกระตุกด้วยความสะพรึงกลัว เขาแอบรู้สึกโล่งใจที่ไม่เคยโดนทั้งสองใช้กระบวนท่าโจมตีเหล่านี้ใส่ก่อนหน้านี้ มิเช่นนั้นเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้…

เจ้าเยี่ยเหมิงในขณะนี้ไม่มีสติ และหวังเป่าเล่อก็รู้ดี

มวลพลังแสงสีฟ้านั้นทำให้กำแพงของโพรงต้นไม้ยักษ์เริ่มเหี่ยวแห้งและตายลง ราวกับว่าพวกมันกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดของต้นไม้ยักษ์ส่งผลกระทบมาถึงชายวัยกลางคนทำให้เขาตัวสั่น ใบหน้าที่บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด    ดูน่าขยะแขยง เขาส่งเสียงคำรามและยกมือขึ้นจับแสงสีฟ้าไว้ มือที่หงิกงอดูราวกับเป็นกรงเล็บเล็งไปที่ใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิง

“ตายเสียเถอะ!”

หวังเป่าเล่อมองเหตุการณ์ทั้งหมดดำเนินไปและเริ่มรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาในใจ เขากัดฟันและเริ่มใช้เคล็ดวิชา…

“ถ้าเป็นเช่นนี้…”

เมื่อเขาพูดไปได้ไม่กี่คำ เจ้าเยี่ยเหมิง ผู้ซึ่งยังปล่อยแสงสีฟ้าทะลักล้นออกมาจากดวงตาก็อ้าปากขึ้น เสียงหวีดร้องแหลมสูงกรีดแทงสั่นสะเทือนไปทั้งพื้นพิภพและสรวงสวรรค์ เสียงกรีดร้องนั้นดังก้องไปทั่วทุกทิศทาง!

เสียงแหลมสูงจนสุดประมาณนั้นสะท้อนก้องออกไป หวังเป่าเล่อได้ยินเข้า        ยังถึงกับอื้ออึงในศีรษะ โลหิตสดไหลออกมาจากตา จมูก ปาก และหูของเขา           หากไม่ใช่เพราะเมล็ดดูดกลืนที่ยังคงหมุนอย่างรุนแรงภายในกาย เขาคงจะหมดสติ   ไปอีกคนแล้ว

แม้ว่าจั่วอี้ฟานจะยังคงไม่ได้สติ ร่างของเขาเองก็สั่นสะเทือนและมีโลหิตไหลออกมาจากมุมปากเช่นกัน ทั้งที่พวกเขาอยู่ด้านหลังเจ้าเยี่ยเหมิง ยังได้รับผลกระทบมากถึงเพียงนี้

ชายวัยกลางคนในชุดดำนั้นถึงกับตัวสั่นสะท้าน โลหิตเป็นฟองไหลซึมออกมาจากริมฝีปากของเขา สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ลมหายใจเขาก็ถี่ขึ้น ก่อนที่มือข้างที่เขาเล็งไปที่เจ้าเยี่ยเหมิงจะระเบิดออกขึ้น เขาถอยกรูดไปอย่างรวดเร็วเพื่อจะออกให้พ้นระยะการโจมตีของเจ้าเยี่ยเหมิงในสภาวะนี้

“บัดซบ! บัดซบ!” ชายผู้นั้นสบถขณะที่ถอยกลับ มือขวาที่ย่อยยับไปเมื่อครู่ฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่ความเจ็บปวดและอับอายจากการสูญเสียมือทำให้เขาโกรธจนแทบคลั่ง

เขาไม่นึกเลยว่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นระดับสุดยอดเช่นเขา จะต้องมาเสียท่าให้กับผู้ฝึกตนขั้นลมหายใจเที่ยงแท้

พวกมนุษย์กลายพันธุ์มันบ้าคลั่ง พลังทำลายล้างในกายช่างสูงจริงๆ หากพลังนั้นตื่นขึ้นมาอย่างเต็มที่ แม้จะเป็นตัวข้าเองก็คงไม่อาจรอดชีวิต! หลังจากที่ชายชุดดำ     ล่าถอยไป เสียงกรีดร้องของเจ้าเยี่ยเหมิงยังคงสะท้อนอยู่ในอากาศ กำแพงของโพรงต้นไม้ ที่เหี่ยวแห้งลงไปแล้วหลังจากการโจมตีของคลื่นแสงสีฟ้า ก็ไม่อาจจะทานทนไหวอีกต่อไป กำแพงนั้นร้าวและแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!

รอยแตกร้าวนั้นขยายตัวออกไปทั่วโพรงไม้ ก่อนที่มันจะระเบิดออก ทุกสิ่งสลายกลายเป็นผุยผง ผืนแผ่นดินโดยรอบก็ไม่อาจจะทานพลังโจมตีนั้นได้ ปะทุคละคลุ้งลอยขึ้นไปในอากาศ

เสียงระเบิดดังสนั่นจากใจกลางแอ่งแผ่นดินเค่อหลุนได้ยินไปไกล ในไม่ช้า แผ่นดินเริ่มสั่นสะเทือนและระเบิดขึ้นอีกครั้ง ส่งเอาดินและทรายล่องลอยฟุ้งกระจายไปทั่ว เสียงกรีดร้องนั้นยังคงดังก้องอยู่ในอากาศ ขณะที่แสงสีฟ้าทะลักออกมาจากรอยแยกบนแผ่นดิน

ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน ดวงตะวันส่องแสงแรงกล้า เมื่อแผ่นดินแยกออกและโพรงต้นไม้ยักษ์ถล่มลงไป แสงอาทิตย์ก็ส่องลงมาถึงใต้แผ่นดิน หวังเป่าเล่อได้เห็น  แสงตะวันอีกครั้ง!

เจ้าเยี่ยเหมิงเพิ่งใช้พลังจนหมดไปกับการโจมตีอันน่าพรั่นพรึง ร่างกายของนางอ่อนเปลี้ยและนางก็หมดสติไปในทันที แสงสีฟ้าและคลื่นเสียงอันรุนแรงก็อันตรธานไปพร้อมกัน

ชายวัยกลางคนในชุดดำกำลังถอยหนี และเจ้าเยี่ยเหมิงหมดสติไปแล้ว            หวังเป่าเล่อจึงฉวยโอกาสนั้นพุ่งตัวอย่างรวดเร็วด้วยปฏิกิริยาตอบสนองอันดีเยี่ยม    จับตัวจั่วอี้ฟานไว้ในมือข้างหนึ่งและเจ้าเยี่ยเหมิงในอีกข้างแล้วกระโดดขึ้นสูง         ผ่านชั้นดินและหินตามร่องรอยของการระเบิดขึ้นไป เขาพุ่งออกมาจากใต้พื้นพิภพและหลุดออกมาจากต้นไม้ยักษ์ได้ในที่สุด!

หวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดหายใจแม้แต่น้อย เขายังคงหอบหายใจอย่างหนัก ขณะที่  พุ่งตรงไปข้างหน้า รีบดึงเอาแหวนสื่อสารออกมาและส่งข้อความไปยังสำนักศึกษา   เต๋าศักดิ์สิทธิ์ในทันที คราวนี้เขาได้รับคำตอบในที่สุด

“ขอเวลาสามสิบนาที พวกเรากำลังไป!”

มีความหนักแน่นอยู่ในเสียงวิตกกังวลจากอีกด้านหนึ่งของแหวนสื่อสาร หวังเป่าเล่อถอนหายใจอย่างโล่งอกและหนีต่ออย่างรวดเร็ว

ภายในโพรงใต้พื้นโลกด้านหลังเขา ใบหน้าน่าเกลียดของชายชุดดำปรากฏขึ้น    เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาเงียบๆ ครั้งหนึ่ง เขารู้ได้แน่ว่าหญิงสาวเป็นผู้ที่แปลกประหลาดที่สุดแล้วในหมู่เด็กทั้งสาม

เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเจ้าอ้วนที่กำลังจ้ำอ้าวหนีไปสักเท่าใดนัก เขาคิดว่า         จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงต่างหากที่เป็นตัวการทำให้ทั้งสามหลุดรอดจากกระบวนการแทรกซึมของตนเองไปได้

แท้จริงแล้ว ความสามารถในการกดสติสัมปชัญญะของทะเลสีม่วงในดวงตาของหวังเป่าเล่อนั่นเอง ที่ทำให้ต้นไม้ยักษ์ไม่อาจบอกได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวการในเรื่องนี้

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่ข้าจับตัวมาสามคนดันเป็นตัวประหลาดผิดธรรมชาติไปเสียหมด! เขาพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกด้วยความเกลียดชัง

เขาขึ้นมาถึงพื้นผิวด้วยกระโดดครั้งเดียว แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเร็วเพียงใด ก็ยังไม่อาจเทียบกับความเร็วของผู้ฝึกตนขั้นรากฐานมั่นคงอย่างเขาได้ มิหนำซ้ำยังหลบหนีได้ช้าลงเพราะต้องคอยแบกร่างจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงตามไปด้วย

ชายชุดดำตามเขาทันในไม่กี่อึดใจ ขณะที่พุ่งทะยานเข้ามาใกล้ ระดับความเร็วของต้นไม้ยักษ์ในร่างมนุษย์ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น เพราะมันเร็วกว่าความเร็วเสียงด้วยซ้ำ ระยะทางระหว่างตัวเขาและหวังเป่าเล่อกระชั้นลงทุกทีๆ

หวังเป่าเล่อได้แต่มองดูเมื่อระยะห่างระหว่างทั้งสองลดลงเหลือน้อยกว่าห้าสิบเมตร ด้วยความตื่นตระหนก หวังเป่าเล่อตะโกนสวนทันที “ไอ้ต้นไม้ปีศาจบัดซบ หยุดไล่ตามมาได้แล้ว กำลังเสริมจากสำนักศึกษาของพวกเรากำลังจะมาถึง เจ้าควรจะรีบหนีไปได้แล้ว ข้าเตือนด้วยความหวังดีนะ!”

ไม่มีการตอบสนองจากชายชุดดำ เขาไม่เอ่ยปากตอบโต้แถมยังเร่งความเร็วขึ้นอีก ดูราวกับว่าเขาจะจับตัวเด็กทั้งสามไว้เมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ ลมหายใจของหวังเป่าเล่อเริ่มคงที่ ตอนนี้ชายหนุ่มเหมือนกับสัตว์ป่าที่ถูกต้อนจนมุม นัยน์ตาของเขาฉายแวว    ดุร้ายและบ้าเลือด เขาหันหลังกลับมาทันควันและจ้องเขม็งไปที่ชายชุดดำพลางร้องตะโกน

“ตื่นเถิด ผู้ถูกจองจำในเต๋าสวรรค์…” เมื่อเขาเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นออกมา ก็มีเสียง  ครืนครันดังลั่นมาจากท้องฟ้าที่สดใสเบื้องบน กลุ่มเมฆพายุเริ่มก่อตัวขึ้นในบัดดล

แรงกดดันความหนักหน่วงรุนแรงแพร่กระจายออกมาจากเสียงครืนครันนั้น ท้องฟ้าดูราวกับจะมืดลงไปทีละน้อย

ความเปลี่ยนแปลงอันฉับพลันนี้ทำให้สีหน้าของชายชุดดำเปลี่ยนแปลงไปในบัดดล เขาถึงกับสูดลมหายใจโดยไม่รู้ตัว รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าความตายกำลังรายล้อมตัวเขาอยู่ เป็นความรู้สึกอันยากจะบรรยาย ที่ยิ่งอธิบายไม่ได้ไปมากกว่านั้นก็คือความรู้สึกเจ็บแปลบบนหนังศีรษะ คลื่นของความกลัวอันล้ำลึกไหลบ่าเข้ามาในใจเขา

“เจ้าท่องอะไรกัน!” ต้นไม้ในร่างคนร้องตะโกนด้วยความตกใจ

หวังเป่าเล่อก็ตกตะลึงเช่นกัน ขณะนั้น เขากำลังหอบหายใจอย่างหนัก มีประกายวาวโรจน์ฉายอยู่ในดวงตาเขา ความตกตะลึงที่เขารู้สึกนั้นตามมาด้วยความยินดี      อันล้นพ้น เขาพูดกับตัวเองในใจ แม่นางน้อยพูดถูก นางไม่ได้หลอกข้า ใครจะไปนึกว่าเคล็ดวิชาที่นางสอนจะทรงพลังและดุดันจนเหลือประมาณเช่นนี้!

ขณะที่ยังหอบหายใจอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็หยุดวิ่ง เขาหันกลับมาจ้องชายชุดดำด้วยความอหังการ์แทน ขณะนี้ต้นไม้ยักษ์มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด หวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดหายใจขณะที่เขาเอ่ยวรรคที่สองของเคล็ดวิชาออกมา!

“สรรพชีวิตย่อมต้องเผชิญภัยพิบัตินับไม่ถ้วนเป็นสรณะ…”

เมื่อเขาร่ายวรรคนั้นออกมาก สายฟ้าขนาดยักษ์ก็ผ่าแหวกสวรรค์ออกเป็น      เสียง เสียงคำรามอันกึกก้องดังสะท้อนไปทั่วท้องนภา ก้อนเมฆเคลื่อนไหวไปมาราวจะขยับหลีกทาง ก่อนที่ท้องฟ้าจะแปรสภาพไปในชั่วพริบตา พลังอันสุดยอดที่พาเอาสรรพชีวิตสั่นไหวด้วยความกลัวรวมตัวกันบนท้องฟ้า ดูราวกับว่าเป็นการตื่นขึ้นของสิ่งมีชีวิตอันทรงพลังที่หลับไหลอยู่ในจักรวาลอันไกลโพ้น…

วินาทีนั้นเอง แผ่นดินสั่นสะเทือน แอ่งแผ่นดินเค่อหลุนสั่นไหวราวกับจะถล่ม       สีหน้าของชายชุดดำไม่แสดงความตกใจอีกต่อไป ใบหน้าของเขาตอนนี้ซีดเผือด ความรู้สึกถึงอันตรายท่วมท้นขึ้นในใจเขาจนมิดราวกับคลื่นยักษ์ที่ซัดสาด

สัญชาตญาบอกเขาซ้ำไปซ้ำมาว่าหากไม่รีบหนีตอนนี้ และยังดื้อด้านไล่ตาม       อีกฝ่ายต่อไป…อันตรายที่จะตามมานั้นจะยิ่งใหญ่ถึงชีวิตเลยก็เป็นได้!

เขาไม่เคยตื่นตระหนกขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ความกลัวนี้ก้าวพ้นระดับที่เขาจะทนรับได้และล่วงพ้นจินตนาการของเขาไปไกลลิบ เขายังรู้สึกอีกว่า แม้ว่าระดับการฝึกตนของเขาจะก้าวไปถึงขั้นกำเนิดแก่นใน เขาก็ยังไม่อาจจะต้านทานได้ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน!

เป็นไปไม่ได้แน่นอน เจ้านี่อยู่แค่ขั้นลมหายใจเที่ยงแท้เท่านั้น บัดซบ ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ เจ้าสามคนนี่ คนหนึ่งว่าเก่งแล้ว อีกคนยังเก่งกว่า! ริมฝีปากของชายชุดดำเริ่มสั่นระรัว ในหน้าของเขาซีดขาวราวกับศพ นัยน์ตาเขาแสดงความกลัวและ         ตื่นตระหนกออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความเไม่ยอมแพ้และความปั่นป่วน    จวนคลั่งแสดงออกมาบนสีหน้าของต้นไม้ปีศาจในร่างมนุษย์

เขาตกใจกับตัวตนลับของจั่วอี้ฟานในฐานะนักรบสงคราม แล้วยังต้องตกใจมากขึ้นอีกกับพลังของเจ้าเยี่ยเหมิง แต่ไม่มีอะไรเทียบได้กับความหวาดกลัวที่เขากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้

เขารู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าพลังที่หลับใหลอยู่ในกายของหวังเป่าเล่อนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า เพราะเขาไม่อาจจะต้านทานหรือหยุดยั้งมันได้เลย เขาทำได้เพียงวิ่งหนีจากมันให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ความคิดของเขากลับแย้งขึ้นมา ว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นลมหายใจเที่ยงแท้เท่านั้น เป็นไปได้หรือที่มวลพลังของชายหนุ่มจะดุเดือดถึงปานนี้…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!