บทที่ 212 นครหลวงแห่งสหพันธรัฐ
นครหลวงตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของสหพันธรัฐ ขนาดของนครนี้ กว้างใหญ่ไพศาล ทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา และเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้าง สูงใหญ่มากมายนับไม่ถ้วน ไม่ว่าใครที่เดินทางมาเยือนก็ต่างตกอยู่ในห้วงแห่งความตะลึงใจเมื่อได้มอง
ภายใต้ฐานของเมืองมีโลหะรูปร่างคล้ายภูเขาขนาดใหญ่กลับหัวอยู่ร้อยลูก แต่ละลูกถูกตรึงลงไปที่พื้นดิน และเชื่อมต่อกันเป็นแผงจนครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณ
ขนาดของภูเขาโลหะแต่ละลูกนี้ ใหญ่โตเท่านครศักดิ์สิทธิ์ทั้งเมือง และสูงใหญ่หลายพันเมตร ดูน่าตื่นตะลึงใจมากมายเหลือคณา
ทะเลภูเขาโลหะหัวกลับนี้แผ่ไปทั่วบริเวณ เมืองที่สร้างอยู่บนฐานนี้ก็คือ… มหานครสูงสุดแห่งสหพันธรัฐ
พื้นที่ใต้ภูเขาโลหะปกคลุมไปด้วยหมอกหนา ราวกับผ้าห่มสีขาวเทาที่ห่อหุ้มผืนดิน ม่านหมอกศักดิ์สิทธิ์นี้ลึกลับเกินกว่าจะไขปริศนาของมันให้กระจ่างได้ทั้งหมด
ก่อนยุคกำเนิดวิญญาณ สถานที่แห่งนี้สวยงามด้วยธรรมชาติของยอดเขาสูงและสายธารใส กระบี่สำริดโบราณพร้อมกับชิ้นส่วนแตกหักมากมายที่ตกลงบนผืนโลก ทำให้ทั้งบริเวณแปรสภาพไปด้วยพลังปราณเข้มข้น ผืนดินนี้คืนชีพกลับมาอีกครั้ง เมื่ออาวุธเทพถูกนำมาเก็บรักษาไว้ที่นคร ในหมอกหนาทึบนั้นมีสัตว์อสูรมีปีกนิสัยอ่อนโยนอาศัยอยู่มากมาย นอกจากนี้ยังมีพืชพันธุ์อันอุดมสมบูรณ์ ป่าที่กำลังเจริญงอกงาม และสายธารน้ำบริสุทธิ์รสชาติหวานราวกับอัดแน่นไปด้วยพลังปราณ
เมื่อมองเข้าไปในม่านหมอกจะเห็นแผ่นดินอยู่รางๆ มีถนนแปดสายทอดยาวจากป่าไปทุกทิศทุกทาง สถานีรถโดยสารขนาดเล็กมากมายกระจายตัวออกเป็นวงกว้างทั่ว ทั้งนคร
ความกว้างใหญ่ไพศาลของนครหลวงที่มีมหานครสูงสุดเป็นจุดศูนย์กลางนี้ ประดับประดาไปด้วยสถานีเล็กๆ มากมายโดยรอบ ดูราวกับดวงจันทร์ที่แต่งแต้มด้วยดวงดาวที่รายล้อม หากจะพูดว่ามหานครนี้ยิ่งใหญ่ราวอาณาจักรโบราณก็คงไม่เกินจริงแต่อย่างใด!
หมอกหนาที่ปกคลุมผืนป่านี้ ซับซ้อนเกินกว่าจะสำรวจได้ทั้งหมด ไม่ว่าใครได้ เข้าไปในบริเวณนั้นก็ต้องตกตะลึงในพริบตา ผืนหมอกแผ่รังสีที่รุนแรงออกมาสู่บรรยากาศ ราวแอบซ่อนพลังอำนาจที่สามารถกวาดล้างผู้ฝึกตนฝีมือแก่กล้าทุกคนในสหพันธรัฐให้ราบคาบได้!
อีกสิ่งหนึ่งในนครหลวงที่ดึงดูดความสนใจผู้คนได้ชะงัด…คือรูปปั้นหนึ่งร้อยสองรูป ที่ตั้งอยู่บนภูเขาโลหะหัวกลับภายในคูกำแพงเมือง แต่ละรูปสูงราวหนึ่งหมื่นเมตร!
รูปปั้นแต่ละรูปหน้าตาแตกต่างกันออกไป มีตั้งแต่รูปปั้นพระแม่ธรณีหนี่วาตามตำนานปรัมปราตะวันออก ไปจนถึงเทพเจ้าซุสตามปกรณัมตะวันตก และอื่นๆ อีกมากมาย…รูปปั้นทุกรูปที่อยู่ตรงนั้นเป็นเทพเจ้าทุกองค์ ที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์และจินตนาการของมนุษยชาติ!
แม้จะไม่ทราบแน่ชัดว่าเหตุใดนครหลวงแห่งสหพันธรัฐจึงสร้างรูปปั้นเหล่านี้ขึ้นมา แต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่เพื่อการทำนุบำรุงศาสนาแต่อย่างใด เนื่องจากรูปปั้นอีกสองรูปที่เหลือที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองนั้น รูปหนึ่งเป็นของท่านผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักศึกษา เต๋าศักดิ์สิทธิ์!
อีกท่านหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนที่ปล่อยพลังรุนแรงออกมา ชายผู้นั้น…คือผู้นำสหพันธรัฐคนปัจจุบันนั่นเอง!
ผืนป่ากว้างไกลที่ปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ มหานครอันแสนยิ่งใหญ่ และรูปปั้นยักษ์ราวร้อยรูป ก็มากพอที่จะทำให้ผู้มาเยือนหยุดหายใจด้วยความตระการตา ทั้งหมดนี้ผสานรวมกันเป็น…นครหลวงแห่งสหพันธรัฐ!
มหานครสูงสุดแห่งสหพันธรัฐนั้นมีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้ฝึกตนหรือทหารจากกองทัพ ไปจนถึงคนธรรมดาทั่วไป จำนวนประชากรทั้งหมดในมหานครนั้นเยอะมาก จนมีแต่กรมสถิติของสหพันธรัฐเท่านั้นที่รู้ตัวเลข ที่แท้จริง คนนอกทำได้เพียงแค่ประมาณการเท่านั้น
มหานครอันแสนยิ่งใหญ่และหมอกหนาปกคลุมผืนป่าภายใต้นครนั้น ปรากฏขึ้นต่อหน้าหวังเป่าเล่อและสหาย ทุกคนที่ยืนมองทัศนียภาพอยู่บนดาดฟ้าเรือบิน ตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตาตื่นใจ เว้นก็แต่เจ้าเยี่ยเหมิง
จั่วอี้ฟานกำเนิดมาในตระกูลนภาห้าสมัย และเคยเห็นภาพของนครหลวงมาหลายต่อหลายครั้งในข่าว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเยือนสถานที่จริง เมื่อชายหนุ่มมองเห็นมหานครอันแสนตระการตาทอดยาวอยู่เบื้องหน้า ยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่จนราวกับเป็นอาณาจักรในตัวมันเอง ประกายแห่งความตื่นเต้นก็ปั่นป่วนขึ้นในใจเขา
หวังเป่าเล่อตกตะลึงจนพูดไม่ออก เขามองออกไปที่นครหลวงแห่งสหพันธรัฐเบื้องหน้า ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นจนผิดจังหวะ
“นี่…นี่มันช่างกว้างใหญ่เสียเหลือเกิน! พวกบ้านตรงนั้นน่ะ ต้องใช้ศิลาวิญญาณ กี่ก้อนถึงจะซื้อได้กัน…” หวังเป่าเล่อขยี้ตา ขณะมองออกไปยังมหานครอัน แสนยิ่งใหญ่ที่ทอดยาวไกลสุดสายตา แม้จะยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือบินที่ลอยอยู่ กลางอากาศ แต่เขาเองกลับยังมองไม่เห็นขอบเขตสิ้นสุดของนครหลวง นี่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
“บ้านที่นี่หลังเดียวราคาสูงกว่าบ้านหนึ่งร้อยหลังในนครศักดิ์สิทธิ์เสียอีก!” จั่วอี้ฟานพอมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง เขาตอบเมื่อได้ยินคำอุทานของหวังเป่าเล่อ
“อะไรกัน…บ้านในนครหลวงนี่ราคาเท่ากับเรือบินหยดน้ำหนึ่งร้อยลำเชียวหรือ” หวังเป่าเล่อตัวสั่นด้วยความตกใจ จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าทุกคนที่อาศัยอยู่ในมหานครแห่งนี้…ต้องร่ำรวยมั่งคั่งมากแน่ๆ !
เจ้าเยี่ยเหมิงยังคงเงียบกริบ ขณะฟังชายหนุ่มทั้งสองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ผู้ฝึกตนระดับรากฐานตั้งมั่นที่คอยคุ้มกันพวกเขา ยืนอยู่ด้านหนึ่งของดาดฟ้าเรือบิน ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มในทันทีเมื่อได้ฟัง ทั้งสองก็รู้สึกชื่นใจกับภาพที่เห็นเช่นกัน ไม่ว่าจะมาเยือนนครแห่งนี้กี่ครั้งแล้วก็ตาม ทุกครั้งที่ทั้งสองทอดสายตาลงไปยัง มหานครอันแสนยิ่งใหญ่นี้ อารมณ์มากมายก็ก่อขึ้นในจิตใจ
นครหลวงนั้นถือเป็นหัวใจของสหพันธรัฐ สำหรับประชาชนคนธรรมดาทั่วไป นครนี้เป็นศูนย์รวมการปกครองและเศรษฐกิจ แต่สำหรับผู้ฝึกตน สถานที่แห่งนี้เป็นมากกว่านั้น…นครแห่งนี้ เป็นสถานที่เก็บรักษาอาวุธเทพชิ้นเดียวในโลก!
อาวุธเทพนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจที่กว้างไกลและยิ่งใหญ่ของผู้นำสหพันธรัฐ ทำให้ทุกคนทั่วทั้งแผ่นดินเคารพนับถืออย่างมากล้น อาวุธเทพนี้เป็นเหตุที่ทำให้สหพันธรัฐยังมั่นคงอยู่ได้ แม้การเมืองภายในจะมีความไม่สงบอยู่บ้าง จากความต้องการแยกตัวของขุมอำนาจน้อยใหญ่
เรือบินของพวกเขาเดินทางเข้าใกล้นครหลวงขึ้นทุกที สายตาตื่นตะลึงของ หวังเป่าเล่อและจั่วอี้ฟานยังคงไม่หายไปไหน ไม่นานนักเรือบินนั้นก็ค่อยๆ ลดความเร็วลง หลังจากที่ผ่านการตรวจสอบยืนยันตัวตนเป็นที่เรียบร้อย เรือบินของพวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองได้ ก่อนจอดเทียบท่าที่ลานจอดสำหรับสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
บรรดาศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่มาถึงก่อนหน้านั้น รออยู่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่หวังเป่าเล่อและพรรคพวกที่เหลือเดินทางมาถึง ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นทันที ไม่นานนักพวกเขาก็ไปถึงคฤหาสน์ที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เป็นเจ้าของ
คฤหาสน์นั้นสวยงามประณีตและโบราณอย่างประหลาด ทั่วทั้งบริเวณอบอวลไปด้วยเสียงนกร้องและกลิ่นดอกไม้หอมหวน กระแสปราณแก่กล้าล่องลอยอยู่ทั่วบริเวณ โดยปกติแล้วสถานที่แห่งนี้ไม่เปิดรับคนภายนอก
แต่ใช้เป็นที่พักอาศัยสำหรับศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ศิษย์หลายคน ที่ถูกส่งตัวมาเข้าร่วมแผนพันธุ์กล้าหนึ่งร้อยต้นของสหพันธรัฐ เข้าที่พักกันไปเรียบร้อย ในตอนที่คณะของหวังเป่าเล่อและคนที่เหลืออยู่เดินทางมาถึง
เมื่อจัดการทุกสิ่งเสร็จสรรพ ก็ปรากฏว่าเจ้าเยี่ยเหมิงไม่ประสงค์เข้าพักที่คฤหาสน์ของสำนัก แม่นางหันมาบอกลาหวังเป่าเล่อและจั่วอี้ฟาน ท่าทีเหมือนกำลังจะจากไป
“เจ้าจะไปไหนหรือ” หวังเป่าเล่อสงสัย จั่วอี้ฟานก็หันกลับมามองเช่นกัน
“ตระกูลของข้าอาศัยอยู่ในนครหลวง” หากเป็นผู้อื่นถาม เจ้าเยี่ยเหมิงคง ไม่ประสงค์ที่จะตอบ แต่หวังเป่าเล่อและจั่วอี้ฟานเป็นสหายที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน สำหรับแม่นางแล้ว ทั้งสองไม่ใช่คนอื่นคนไกล
เมื่อได้ยินคำตอบ ดวงตาของจั่วอี้ฟานก็เบิกกว้างขึ้น หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนมีอะไรระเบิดอยู่ภายในสมอง สีหน้าของชายหนุ่มเหมือนโดนสะกดจิต
“ตระกูลของเจ้า…ต้องร่ำรวยมากแน่ๆ “ หลังจากนิ่งไปสักพัก หวังเป่าเล่อก็เอ่ยออกมาความอิจฉา เจ้าเยี่ยเหมิงจับความรู้สึกในน้ำเสียงของหวังเป่าเล่อได้ นางจึง ยิ้มให้ ก่อนบอกลาจั่วอี้ฟาน และเดินจากไปอย่างเนิบช้า
หากเจ้าเยี่ยเหมิงจากไปแบบธรรมดาคงไม่น่าตกใจมากนัก แต่ทันทีที่แม่นางก้าวเท้าออกจากคฤหาสน์ของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หวังเป่าเล่อและจั่วอี้ฟานก็เห็น เรือบินสีทองราวเจ็ดถึงแปดลำปรากฏขึ้นในทันที คณะเรือบินนี้ปรากฏขึ้น อย่างรวดเร็ว และหยุดนิ่งลงต่อหน้าแม่นาง ชายฉกรรจ์ราวร้อยคนเดินเรียงแถวออกมาจากเรือบินสีทองเหล่านั้น
หวังเป่าเล่อที่มีสายตาแหลมคมในฐานะองครักษ์อาวุธเวท บอกได้ในทันทีว่า เรือบินสีทองเหล่านี้ไม่ธรรมดา แค่เรือบินเหล่านี้ก็ทำให้เขาอึ้งแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ต้องอึ้งขึ้นไปอีกเมื่อเห็นกองทัพผู้คุ้มกันนับร้อย ที่แห่กันออกมาจากเรือ แทบทุกคนมีพลังปราณขั้นลมหายใจเที่ยงแท้
ในบรรดาผู้คุ้มกันเหล่านั้น มีชายชราผู้หนึ่งที่มีมวลพลังเทียบเท่ากับต้นไม้ยักษ์ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นหัวหน้าพ่อบ้าน ชายชราโค้งให้เจ้าเยี่ยเหมิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความเป็นห่วง
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านขอรับ ท่านหญิงน้อย”
เจ้าเยี่ยเหมิงพยักหน้ารับและเดินขึ้นเรือบินไป แม่นางหันมาโบกมือลาหวังเป่าเล่อและจั่วอี้ฟาน…ก่อนจะจากไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ
หวังเป่าเล่อมีสีหน้าแน่นิ่งเหม่อลอย ส่วนจั่วอี้ฟานได้แต่เงียบเป็นเป่าสาก หลังจากที่ขบวนเรือบินของเจ้าเยี่ยเหมิงลับขอบฟ้าไปได้สักพัก ทั้งสองก็หันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าประหลาด
“พื้นเพของนางเป็นอย่างไรกันนะ”
“นางร่ำรวยเสียเหลือเกิน!”
ทั้งสองพูดออกมาแทบจะพร้อมกัน สุดท้ายแล้วก็หันหน้าเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์ที่พัก เพื่อจัดการสัมภาระของตนบ้าง ความรู้สึกที่มีต่อเหตุการณ์เมื่อครู่แตกต่างกันไป แต่ทั้งสองก็มีข้อสันนิษฐานและความสงสัยของตนเองเกี่ยวกับภูมิหลังของเจ้าเยี่ยเหมิง
ทั้งสองพักผ่อนอย่างเต็มที่ในคืนนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นหวังเป่าเล่อก็เลิกสงสัยภูมิหลังของเจ้าเยี่ยเหมิง และออกตามหาตัวจั่วอี้ฟานในทันที ชายหนุ่มลากจั่วอี้ฟานออกจากคฤหาสน์เพื่อเดินชมเมือง
ทั้งคู่เดินเล่นไปมาชมร้านรวงมากมายในนครหลวง ความหรูหราและขนาดใหญ่โตนั้นเกินนครศักดิ์สิทธิ์ไปมาก โดยเฉพาะความพรั่งพร้อมของวัตถุต่างๆ ที่ใช้ในการฝึกตน ราวกับว่าทุกสิ่งในสหพันธรัฐที่เสาะหามาซื้อขายได้ มีให้เลือกสรรอยู่ในนครแห่งนี้
หวังเป่าเล่อและจั่วอี้ฟานรู้สึกพ่ายแพ้ราบคาบต่อของล่อตาล่อใจ เนื่องจาก เสียทรัพยากรไปมากจากการพยายามเอาตัวรอดที่แอ่งแผ่นดินเค่อหลุน จั่วอี้ฟานหมายตาโอสถหลายชนิดและแผ่นหยกบันทึกกระบวนเวท
แต่หลังจากที่ชายหนุ่มถามราคาจากเจ้าของร้านแล้ว เขาก็ถึงกับพูดไม่ออก แม้ตระกูลของเขาจะร่ำรวยมั่งคั่ง แต่ราคาที่แจ้งมานั้นแพงเกินรับไหวไปมาก
หวังเป่าเล่อเองก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน เขาเดินสำรวจวัตถุต่างๆ ที่แสดงอยู่ในร้านค้าด้วยความตื่นเต้น และอุทานออกมาเป็นครั้งคราว
“ดินเหนียวทองคำละลาย!”
“แสงในสภาพของเหลว!”
“สวรรค์ช่วย มีแม้กระทั่งผนึกทรายสวรรค์หรือนี่!”
นี่มันวัตถุดิบที่ช่วยเพิ่มพลังให้สมบัติเวททั้งนั้นเลย หากข้านำไปหลอมหรือดัดแปลงเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับวัตถุเวทของข้าได้ก็คงดี หวังเป่าเล่อสำรวจดู ทั่วทั้งร้านอย่างรวดเร็วและกระตือรือร้น แต่กลับต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาสบเข้ากับอะไรบางอย่าง ที่ก่อให้เกิดอารมณ์ระเบิดขึ้นภายในจนปั่นป่วน
นี่…นี่มัน…
เบื้องหน้าของเขาคือต้นไม้ในกระถางที่มีขนาดลำต้นประมาณท่อนแขน ลักษณะคล้ายต้นหมากแต่มีสีแดง สิ่งที่ทำให้จิตใจของเขาสั่นระรัวคือชิ้นส่วนที่ฝังอยู่ในลำต้นของมัน ชิ้นส่วนมืด…ขนาดประมาณนิ้วคน!
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าภายในกายเขากำลังเรียกร้องให้นำชิ้นส่วนมืดนี้มาครอบครองให้ได้ เขารู้สึกได้ว่า…ชิ้นส่วนมืดนี้สร้างขึ้นมาจากวัสดุชนิดเดียวกันกับหน้ากากนิล!
ชายหนุ่มต่อสู้กับตนเองเพื่อสะกดความต้องการนั้นไว้ เดินรอบร้านอีกครั้งหนึ่ง และชี้ไปที่สิ่งนั้นสิ่งนี้อย่างสบายใจ จนกระทั่งซื้อของใกล้เสร็จ เขาจึงตัดสินใจจะเข้าไปถามราคาชิ้นส่วนนั้นกับเจ้าของร้าน เผื่อจะรวมต้นหมากสีแดงเข้าไปในรายการสินค้าที่จะซื้อด้วย
ในตอนนั้นเอง…
เสียงหัวเราะหนึ่งก็ดังกังวานขึ้นที่นอกร้าน
“พวกท่านทั้งสองอยู่ที่นี่จริงๆ เสียด้วย”