บทที่ 213 ข้า หวังเป่าเล่อพึ่งพาตนเองเท่านั้น
เจ้าของเสียงนั้นคือชายชราหัวหน้าพ่อบ้าน ผู้ที่มารับเจ้าเยี่ยเหมิงกลับไปเมื่อวาน เขาเดินเข้ามาในร้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ชายชรายิ้มและพยักหน้าให้หวังเป่าเล่อกับจั่วอี้ฟาน
ชายฉกรรจ์ราวสิบสองคนยืนคุ้มกันอยู่ข้างๆ ทุกคนมีสีหน้านิ่งขรึม พวกเขากระจายตัวไปทั่วร้านเพื่อตรวจตราทุกซอกทุกมุม เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เจ้าของร้านที่มีฐานะทางสังคมยิ่งใหญ่พอตัวเช่นกัน จึงเริ่มหันมาสนใจพวกเขา
หวังเป่าเล่อและจั่วอี้ฟานไม่กล้าปล่อยให้แขกหน้าใหม่รอ โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น และยังเป็นสมาชิกตระกูลของเจ้าเยี่ยเหมิง ทั้งสองเข้าไปทักทายชายชราในทันที
“ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรหรอก ผู้กล้าทั้งสอง” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น เขามองทั้งสองด้วยสายตาพินิจพิจารณา โดยปกติแล้วท่านหญิงน้อยของเขาเป็นคนสันโดษ ไม่ใคร่คบหาสมาคมกับใคร การที่นางยินยอมคบค้ากับชายสองคนนี้ แปลว่าต้องมีบางอย่างพิเศษในตัวชายหนุ่มทั้งสองเป็นแน่
ชายชรามองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ก่อนหันไปมองจั่วอี้ฟานให้ละเอียดถี่ถ้วนกว่าเดิม ยิ่งเขาพิจารณาจั่วอี้ฟานมากเท่าใด ก็ยิ่งพึงพอใจในตัวชายหนุ่มมากขึ้นเท่านั้น สายตาที่ดูราวกำลังประเมินเขาอยู่นั้น ทำให้จั่วอี้ฟานรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงถามกลับอย่างสุภาพว่า “มีเหตุใดให้ท่านตามหาตัวพวกเราหรือขอรับ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เคยมีคนเรียกหวังเป่าเล่อว่าผู้กล้า เขารู้สึกประหลาดใจมาก แต่ในขณะเดียวกันก็อดจับสังเกตแววตาของชายชราไม่ได้ จึงต้องกระแอมไอ ออกมาบ้าง
“ท่านผู้ฝึกตน ในความเป็นจริงแล้วหากท่านมองข้ามใบหน้าอันหล่อเหลา พลังปราณอันแก่กล้า ความสามารถอันยอดเยี่ยม และจิตใจอันเที่ยงธรรมของข้า ไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ในตัวข้าก็ไม่ดีมากพอให้ท่านเรียกว่าผู้กล้าหรอกขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชายชราก็หันจากจั่วอี้ฟานมาหาเขาในทันที สีหน้าบ่งบอกถึงความประหลาดใจ ใบหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนไปตามความรู้สึกข้างใน เขามองหวังเป่าเล่ออยู่นาน ส่ายศีรษะด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนยอมเอ่ยปากบอกว่าเหตุใดจึงตามหาตัวเขาทั้งสอง
“ท่านหญิงน้อยเป็นคนรักสันโดษเสียยิ่งกว่าสิ่งใด ก่อนท่านจะเดินทางไปศึกษาต่อ ท่านให้สัญญากับเจ้านายข้าเอาไว้ว่าจะพึ่งพาเพียงตนเองเท่านั้น เจ้านายข้าต้องการส่งองครักษ์ไปคุ้มครองอย่างลับๆ แต่ท่านหญิงน้อยมีกายาวิญญาณ จึงรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ขององครักษ์ทุกคน เว้นเสียแต่องครักษ์ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นใน…
“เจ้านายข้าทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่แอ่งแผ่นดินเค่อหลุนแล้ว ท่านโกรธ เป็นฟืนเป็นไฟ แต่ก็ขอบใจพวกเจ้าทั้งสองมากเช่นกัน นี่ถือเป็นของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ ที่ท่านต้องการมอบให้เป็นการตอบแทน เจ้านายข้าซาบซึ้งในน้ำใจของพวกท่านมากเหลือเกิน โปรดรับเอาไว้ด้วยเถิด” ชายชราอธิบาย ก่อนยื่นบัตรที่หลอมขึ้นจาก ศิลาวิญญาณให้หวังเป่าเล่อและจั่วอี้ฟาน บนบัตรนั้นมีตราสัญลักษณ์ที่สลักไว้ป้องกันการปลอมแปลง
ทันทีที่ชายชราหยิบบัตรนั้นออกมา แววตาของใครหลายคนในร้านก็หรี่ลงทันที หลายคนที่ควบคุมสีหน้าไม่เก่ง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ก่อนเริ่มหารือกันอย่างตื่นตะลึง
“นั่นมัน…บัตรรูดวิญญาณเงินมิใช่หรือ!”
“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเจ้าบัตรนี้มาบ้าง ทั้งสหพันธรัฐมีบัตรรูดวิญญาณทองอยู่เพียงสิบใบเท่านั้น เจ้าของบัตรทองเหล่านี้จะมีสิทธิ์ออกบัตรรูดวิญญาณเงินให้กับ แขกของตน บัตรเงินนี้มีได้ไม่จำกัดจำนวน เป็นเครื่องแสดงสถานะของผู้ถือครองว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติ!” แม้แต่เจ้าของร้านเองก็รู้สึกตะลึง เมื่อเห็นบัตรสีเงินนี้
“ไม่ว่าท่านทั้งสองจะจับจ่ายใช้สอยสิ่งใดในนครหลวง ก็สามารถใช้บัตรนี้ซื้อได้ทั้งสิ้น!” ชายชราได้ยินเสียงพูดคุยด้วยความตกใจของผู้คนในร้านจึงยิ้มเล็กน้อย เขาพยักหน้าให้หวังเป่าเล่อและจั่วอี้ฟาน ประสานมือคำนับทั้งคู่ ก่อนจากไปด้วยท่าทีสุภาพอ่อนน้อม
บรรดาชายฉกรรจ์ผู้คุ้มกันก็จากไปพร้อมกับชายชราเช่นกัน ไม่นานนักร้านทั้งร้านก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ต่างก็เพียงเจ้าของร้าน ที่บัดนี้เดินเข้ามาต้อนรับขับสู้ หวังเป่าเล่อและจั่วอี้ฟานอย่างดี ถึงขั้นพาทั้งสองเยี่ยมชมร้านด้วยตนเอง
หวังเป่าเล่อฟังเสียงพูดคุยของผู้คนโดยรอบ เขาสังเกตเห็นสายตาตกใจระคนอิจฉาที่มองมา จึงอดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ ชายหนุ่มหันไปมองจั่วอี้ฟาน และเห็นว่าสหายของตนตกอยู่ในภวังค์อีกแล้ว หวังเป่าเล่อถอนใจ
“อี้ฟาน เจ้าอาจไม่รู้สึกเป็นกังวลมากนัก แต่สำหรับข้านั้นรับไม่ได้จริงๆ บอกข้าที…นี่มิได้แปลว่าข้ากลายเป็นชายที่ต้องให้หญิงสาวเลี้ยงดูเกื้อกูลเช่นนั้นหรือ ให้ตายเถิด ข้าไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรดี ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาเกาะหญิงสาวกินเช่นนี้” หวังเป่าเล่อถอนหายใจยาว ส่ายศีรษะด้วยความทุกข์ใจ
จั่วอี้ฟานมองร่างกลมของหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าประหลาด ก่อนไอออกมาแห้งๆ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร
“ข้า หวังเป่าเล่อ เป็นชายที่พึ่งพาตนเองเท่านั้น ทุกสิ่งที่ข้าได้มา มาจากน้ำพักน้ำแรงของข้าเอง ข้าไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือจากใคร นี่คือคติประจำใจของข้า” หวังเป่าเล่อมีสีหน้าจริงจังขณะพูด ชายหนุ่มหันหน้าไปมองเจ้าของร้าน และยื่นบัตรรูดวิญญาณเงินให้กับเขา
“วัตถุดิบที่ข้าเลือกไปเมื่อก่อนหน้านี้ หากมีสินค้ามากพอ ข้าต้องการเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่า
“รบกวนช่วยชำระเงินด้วยบัตรใบนี้ด้วย!”
จั่วอี้ฟาน “…”
ลูกค้าท่านอื่น “…”
เจ้าของร้าน “…”
สิบห้านาทีต่อมา กำไลคลังเวทและกระเป๋าคลังเก็บของของหวังเป่าเล่อก็เต็มจนแทบล้น เขาเดินตัวปลิวออกจากร้านอย่างอารมณ์ดี จั่วอี้ฟานที่เดินตามหลังมา ทำสีหน้าแปลกๆ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็หักห้ามใจตนไม่ให้ใช้จ่ายไม่ได้เช่นกัน ชายหนุ่มใช้บัตรเงินนั้นซื้อโอสถที่ตนเองต้องการไปเล็กน้อย
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ของสำนักเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็จัดแจงสกัดชิ้นส่วนมืดออกมาจากต้นหมากต้นนั้น ชายหนุ่มนั่งพินิจพิเคราะห์มันอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะใคร่ครวญอีกครู่หนึ่ง ไม่ได้พยายามหลอมรวมชิ้นส่วนนี้เข้ากับหน้ากากนิล แต่อย่างใด หวังเป่าเล่อคิดอยู่ว่าเจ้าชิ้นส่วนมืดนี้ จะสามารถนำมาหลอกล่อ แม่นางน้อยในหน้ากากได้หรือไม่…
เนื่องจากหวังเป่าเล่ออยู่ที่นครหลวง เขาจึงระแวดระวังและไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะลองดูหลังจากกลับไปที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว
ในวันต่อๆ มา หวังเป่าเล่อไม่ได้เฝ้ารอเวลาอยู่เรื่อยเปื่อย ขณะที่บรรดา ผู้มีพรสวรรค์จากแต่ละขุมอำนาจทั่วสหพันธรัฐกำลังหลั่งไหลเข้ามาในนครหลวงเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกแผนพันธุ์กล้าหนึ่งร้อยต้น ชายหนุ่มก็เริ่มหลอมและปรับปรุงสมบัติเวทของตนอีกครั้ง
ผลก็คือหวังเป่าเล่อต้องการวัตถุดิบอีกเป็นจำนวนมาก เขาจึงต้องไปแวะเวียนที่ร้านค้าอยู่บ่อยครั้ง บ่อยจนกระทั่งชื่อเสียงของชายหนุ่มเริ่มเป็นที่ร่ำลือไปตาม ร้านรวงต่างๆ
ข้า หวังเป่าเล่อ ตั้งปณิธานว่าจะพึ่งพาตนเองเท่านั้น บนเส้นทางแห่งการฝึกตนอันแสนยากลำบากนี้! ทุกครั้งที่หวังเป่าเล่อมองไปยังสมบัติเวทที่ตนหลอมขึ้น ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในผลงาน ชายหนุ่มค่อยๆ ปรับปรุงสมบัติเวทด้วยความพอใจและความมั่นใจ
ลูกประคำระเบิดในคลังของเขาเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วราวหนึ่งพันลูก จากการหลอมเพียงครั้งเดียว นอกจากนี้ยังมีหุ่นเชิดหลายแบบอีกราวร้อยตัว หุ่นเชิดรุ่นเดียวกับจูกังเฉียงที่เขาหลอมขึ้นมาเมื่อก่อนหน้า ก็ได้รับการดัดแปลงจากวัตถุเวทธรรมดาไปเป็นสมบัติเวทระดับสามชั้นเยี่ยมเช่นกัน
หวังเป่าเล่อไม่ได้ละทิ้งวัตถุเวทประหลาดที่เขาปรับปรุงไปเมื่อก่อนหน้าด้วย ทรายอาวุธ เนื่องจากทั้งหมดนั้นช่วยเขาได้มากในการต่อสู้กับต้นไม้ยักษ์ ชายหนุ่มจึงตระหนักว่าวัตถุเวทเหล่านั้นมีประโยชน์มากโข เขาจึงดัดแปลงทั้งไม้ตบแมลงวัน ร่มผนึกอันใหญ่ กระบี่เหาะเหินที่ไม่เลือกมิตรหรือศัตรู แม้กระทั่งบ่วงเชือกพิสดาร ให้กลายเป็นสมบัติเวทระดับสามชั้นเยี่ยมเทียบเท่ากับวัตถุเวทชิ้นอื่นๆ
ในที่สุด หวังเป่าเล่อก็มาจบที่ฝักกระบี่ วัตถุดิบที่เขาตุนไว้มากมายทำให้ชายหนุ่มปรับปรุงฝักกระบี่นั้นจนทัดเทียมวัตถุเวทชิ้นอื่นได้สำเร็จเช่นกัน จำนวนยุงในฝักดาบนั้นยังมีเก้าตัวเช่นเดิม แต่กองทัพยุงก็ตัวใหญ่ขึ้นแถมยังดูดุร้ายมากกว่าแต่ก่อน
หวังเป่าเล่อใคร่ครวญถึงวิธีการเพิ่มความแข็งแกร่งให้ฝักกระบี่ ก่อนตัดสินใจ ฝังลูกประคำที่เก็บได้ในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณเข้าไปในฝักดาบ
ทันทีที่เขาฝังลูกประคำเข้าไปเรียบร้อย ยุงตัวที่สิบก็ปรากฏกายขึ้น ยุงตัวนั้น มีสีเทาและหน้าตาแตกต่างจากยุงตัวอื่น มันมีพลังอำนาจแก่กล้าที่หวังเป่าเล่อ ยังไม่เข้าใจ น่าเสียดายที่ชายหนุ่มไม่สามารถทดสอบพลังทั้งหมดของเจ้ายุงตัวนี้ที่นี่ได้ แต่เขาก็จดจำเอาไว้ขึ้นใจว่าจะต้องหาโอกาสทดสอบมันต่อไปในภายภาคหน้า
นอกจากนี้ หวังเป่าเล่อยังปรับปรุงถุงมือที่ติดตัวเขามาเป็นเวลานานแสนนาน จนสำเร็จ ถุงมือนั้นกลายเป็นสมบัติเวทระดับสามชั้นเยี่ยมเช่นกัน แม้แต่กระเป๋า คลังเก็บของหวังเป่าเล่อยังดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
บัดนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาครอบครองกลายเป็นสมบัติเวทระดับสามชั้นเยี่ยมเป็นที่เรียบร้อย แต่หวังเป่าเล่อยังมีวัตถุดิบเหลืออีกมากมาย ความพึงพอใจในผลงาน รวมถึงผีมือการหลอมวัตถุเวทที่แก่กล้าขึ้นจากการฝึกฝน ทำให้หวังเป่าเล่อไม่อยากหยุดแต่เพียงเท่านี้
ข้าชอบความรู้สึกที่ได้พึ่งพาตนเอง ฝึกฝนอย่างหนักไปทีละขั้นตอน จนสำเร็จผลเช่นนี้ยิ่งนัก!
ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะหยิบขนมมากินด้วยความพึงพอใจ นครหลวงนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างให้เลือกสรร ไม่เว้นแม้แต่ขนมแสนอร่อย หวังเป่าเล่อกินจนพุงกางแต่ก็ยังชิมได้ไม่หมดทุกชนิด…
ความสุขเอ่อล้นขึ้นในจิตใจของเขา มหานครนี้ยอดเยี่ยมเกินจินตนาการสำหรับหวังเป่าเล่อ ในที่สุดบรรดาผู้มีพรสวรรค์จากทุกสารทิศ ก็มารวมตัวกันครบที่ นครหลวง
ด้วยเหตุนี้ การคัดเลือกยอดฝีมือสำหรับแผนพันธุ์กล้าหนึ่งร้อยต้นของสหพันธรัฐ ก็ได้เปิดฉากขึ้นในวันนั้น หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจการคัดเลือกมากนัก ต่างจากผู้เข้าร่วมคนอื่นที่ได้แต่พะว้าพะวงกับการคัดเลือก ชายหนุ่มไม่ได้แยแสแม้กระทั่งรายละเอียดของการคัดเลือกเลยด้วยซ้ำ
นั่นก็เพราะเขาได้ติดต่อท่านแม่ทัพโจวเต๋อสี่เพื่อสอบถามเป็นที่เรียบร้อย ท่านแม่ทัพยืนยันว่าได้สำรองตำแหน่งในจำนวนหนึ่งร้อยพันธุ์กล้าไว้ให้ชายหนุ่มเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้น หวังเป่าเล่อก็ผ่อนคลายมากขึ้น เขาเดินทางไปลงทะเบียนในวันแรก และกลับมายังคฤหาสน์เพื่อทานขนมและหลอมสมบัติเวทต่อ…
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า โครงการคัดเลือกพันธุ์กล้าก็เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว มีข่าวมากมายกระจายออกมาในทุกวัน เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการนี้ไปทั่วสหพันธรัฐ ผู้เข้าร่วมกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงไปในทันที ข่าวคราวของพวกเขาเดินทางไปถึงหูคน ทั่วทั้งอาณาจักร
บางคราวหลังจากที่หวังเป่าเล่อได้ยินข่าวของคนนั้นคนนี้ ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับตนเองต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างบ้าง แต่เมื่อระลึกได้ว่าแม่ทัพโจวได้สำรองที่ให้ตนเองแล้ว หวังเป่าเล่อก็รู้สึกลำพองใจแทน
ต่อให้คนอื่นจะยอดเยี่ยมเพียงใด ก็สู้ข้าไม่ได้หรอก เพราะว่าข้ามีที่สำรองไว้แล้วตั้งแต่ก่อนการคัดเลือกเสียอีก! การคัดเลือกดำเนินต่อไปอีกราวชั่วโมงครึ่ง หวังเป่าเล่อยังคงมีความสุขล้น แหวนสื่อสารของเขาสั่นเตือนว่าได้รับข้อความจากสำนัก
ต้นไม้ยักษ์…ถูกกำจัดสิ้นซากแล้ว!
สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ยังรายงานเรื่องนี้ไปที่สหพันธรัฐด้วย เพื่อให้เหล่าผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายคอยสอดส่องตรวจตราดูว่ามีพันธุ์พืชใดอีกหรือไม่ ที่กลายพันธุ์ในลักษณะเดียวกันนี้ในบริเวณที่ตนรับผิดชอบ
ช่วงชีวิตของพืชนั้นยาวนานกว่าสัตว์มากนัก หากกลายพันธุ์ ผลกระทบที่ตามมาคงหนักหนาสาหัสเอาการ!