บทที่ 217 ใครกล้าท้าทายข้า!
สายฟ้าฟาดจากท้องฟ้าลงมาบนผิวโลกจนสะเทือนเลื่อนลั่น แรงสั่นสะเทือนนั้นซัดคลื่นรุนแรงสะท้อนผ่านทางอากาศ พันธุ์กล้าหนึ่งร้อยคน รวมถึงหวังเป่าเล่อ ต่างตัวสั่นระริกถึงที่สุด
หลักๆ แล้วเพราะตำแหน่งของชายชรา คำว่า ‘นักบวช’ ทำให้พวกเขาเห็นภาพไปต่างๆ นานา และอีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะพลังจากเคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดาราอันน่าตื่นตาที่เขาเพิ่งสาธิตให้ดู
“นั่นคือเคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดาราหรือ”
“แค่พลังกายอย่างเดียว ก็ใช้สร้างความเสียหายได้ขนาดนั้นเลยหรือนี่ ครูฝึกเพิ่งบอกว่าเคล็ดเวทนี้มีพลังทำลายล้างขั้นสูงสุด…แปลว่าต่อให้ระดับของการฝึกตน ต่างชั้นกันเท่าใดก็ไร้ความหมายอย่างนั้นหรือ”
“จะว่าอย่างไรดี เคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดารานี้อาจช่วยให้ผู้ฝึกตนระดับ ลมหายใจเที่ยงแท้…ชนะขั้นรากฐานตั้งมั่นได้อย่างนั้นหรือ”
แววตาพวกเขาทอประกายดุดันทันใด ทุกคนต่างตะลึงกับพลังของเคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดารา พวกเขามองชายชราด้วยสายตาหวาดกลัวและระมัดระวัง แต่ก็มีความปรารถนาแรงกล้าเปี่ยมล้นอยู่ด้วยเช่นกัน
หวังเป่าเล่อหายใจเข้าช้าๆ แล้วสงบสติลง เขาบอกได้ว่าระเบิดกำเนิดดวงดารา มีบางอย่างคล้ายกับกระบวนท่าซัดคลื่นพลังของรากฐานวิญญาณเก้านิ้วที่เขาเคยเลียนแบบอยู่
อันที่จริง เคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดาราดูเหมือนจะเป็นกระบวนท่าซัดคลื่นพลังที่รุนแรงกว่า!
เมื่อครู่นี้ร่างของครูฝึกสั่นสะท้าน…เหมือนเขากลายร่างเป็นมหาสมุทรแล้วควบคุมทั้งกระดูกกับกล้ามเนื้อทั้งตัว ใช้พลังจากร่างกายเป็นตัวสร้างคลื่นพลัง…คล้ายกันทีเดียว แต่ตอนเขาโจมตีมีความซับซ้อนกว่าเจ้ารากฐานวิญญาณเก้านิ้ว
หวังเป่าเล่อหัวใจเต้นระรัวเมื่อพินิจคิด เขามีประสบการณ์กับกระบวนท่าซัดคลื่นพลังมากกว่าคนอื่น แค่เห็นการสาธิตให้ดูสั้นๆ เขาก็รีบยกมือขวาขึ้นกำหมัดด้วยอยากจะลองทำดูบ้าง
แต่เห็นได้ชัดว่าวิธีการใช้งานและกลไกของเคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดาราไม่ใช่สิ่งที่จะทำความเข้าใจได้ทันทีหลังดูการสาธิตแค่เพียงครั้งเดียว แม้ว่าเขาจะเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร ทว่ากำปั้นที่หวังเป่าเล่อลองปล่อยออกมาก็ไม่ได้ก่อให้เกิด ผลลัพธ์ใดเป็นพิเศษ
ครูฝึกชราภาพไม่สนใจว่าชายหนุ่มจะทดลองอะไร แต่พันธุ์กล้าอีกนับสิบคนเห็นดังนั้น ก็พากันกำหมัดลองทำตามหวังเป่าเล่อ แต่ไม่มีใครเข้าใจวิธีใช้ระเบิดกำเนิดดวงดาราพอจะทำได้สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกสักคน
“ข้าจะให้แผ่นหยกเคล็ดเวทนี้ทีหลัง ตลอดเจ็ดวันนับจากนี้ ข้าจะสาธิตทักษะนี้ให้พวกเจ้าดูทุกวัน และจะมีการสอบไล่เมื่อสิ้นสุดสัปดาห์
“ข้าขอบอกพวกเจ้าตามตรง หากพวกเจ้าฝึกฝนกระบวนท่านี้ได้สำเร็จ พวกเจ้าจะพัฒนาเข้าใกล้ขั้นรากฐานตั้งมั่นมากยิ่งขึ้น ด้วยระดับการฝึกตนของพวกเจ้าตอนนี้ หากพวกเจ้าฝึกวิชาได้ครบถ้วนตามเงื่อนไข ก็สามารถล้มผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นได้ ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยแม้แต่น้อย!” ชายชรากล่าวอย่างใจเย็น เขากวาดตามอง กลุ่มศิษย์ตรงหน้า แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาพลางพลิกมือขวา เผยให้เห็นโอสถ เม็ดหนึ่งบนฝ่ามือ!
โอสถเม็ดนั้นเป็นสีขาว มีศิลาวิญญาณห่อหุ้มส่งกลิ่นฉุนฟุ้งกระจายไปทั่วจัตุรัส ทุกคนที่ได้กลิ่นต่างรู้สึกว่าโลหิตในกายไหลเวียนเร็วขึ้นอย่างมิอาจควบคุมตัวเองได้ ราวกับว่าโอสถนั้นมีพลังชีวิตอัศจรรย์บรรจุอยู่ พอได้รับประทานเข้าไปจะเพิ่มพลังให้ร่างกายมหาศาล
“โอสถนี้…คือโอสถปลดปล่อยกำลังกายา! นักหลอมโอสถของสหพันธรัฐหาได้คิดค้นมันขึ้นมา หากแต่เป็นของที่จะหาเจอได้ตามเศษชิ้นส่วนที่เหลืออยู่บนดวงจันทร์เท่านั้น โอสถชนิดนี้พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก นักหลอมโอสถในสหพันธรัฐยัง หลอมเลียนแบบไม่สำเร็จ เพราะว่ามีส่วนผสมสำคัญที่หาไม่ได้บนโลกของเรา!
“คุณสมบัติของโอสถตัวนี้วิเศษนัก ถ้าคนที่อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นดื่มเข้าไป ระดับการฝึกตนจะบรรลุสู่ขั้นต่อไปได้ในพริบตา! ขณะเดียวกันก็ยังเสริมพลังกายให้ ผู้ฝึกตนอีกด้วย จึงนับเป็นตัวช่วยอย่างดีสำหรับผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดเวทระเบิดกำเนิด ดวงดารา!” ทันทีที่ชายชรากล่าวจบ พันธุ์กล้าทั้งหนึ่งร้อยคน รวมถึงหวังเป่าเล่อ ต่างก็พุ่งความสนใจไปที่เขาทันที
ดวงตาของหวังเป่าเล่อจ้องชายชราเป็นประกายไม่วางตา ตอนที่อีกฝ่าย หยิบโอสถออกมา ชายหนุ่มได้กลิ่นมันทันที สัญชาตญาณหิวกระหายเข้าแทนที่ภายในตัวเขา โอสถเม็ดนั้นดึงดูดใจเขาเป็นอย่างยิ่ง ประหนึ่งร่างกายเขารู้ว่าเมื่อกลืน เข้าไปแล้ว โอสถนั่นช่วยให้เขาบรรลุสู่ขั้นต่อไปได้เร็วยิ่งขึ้น
“แต่เพราะโอสถนี้มีน้อยเกินไป ข้าจึงแจกจ่ายให้พวกเจ้าทุกคนไม่ได้ ข้ามีแค่เม็ดเดียวอยู่กับตัว ดังนั้น…ใครที่ยืนหยัดอยู่เป็นคนสุดท้ายตอนพระอาทิตย์ตกดิน จะได้รับโอสถปลดปล่อยกำลังกายานี้ไปครอง!”
ได้ยินดังนั้น พันธุ์กล้าทั้งหนึ่งร้อยคนต่างส่งเสียงฮือฮา ดวงตาเป็นประกาย เอาจริงเอาจัง หลายคนเป็นถึงยอดหัวกะทิจากบ้านเกิดและสำนักของตัวเอง จึงมีนิสัยทะนงตนและมั่นใจในตัวเองระดับหนึ่ง
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ลังเลหากจะต้องประชันกัน ทั้งยังเริ่มเตรียมตัวพร้อม แน่นอนว่าอุปนิสัยแต่ละคนต่างกันออกไป สภาพจิตใจย่อมมีหลากหลาย
บ้างก็หันไปกระซิบกระซาบปรึกษากัน เห็นได้ชัดว่ากำลังสร้างพันธมิตรชั่วคราวมาร่วมมือในการตะลุมบอนที่กำลังจะเกิดขึ้น บ้างก็เป็นหมาป่าเดียวดายแววตามุ่งมั่น บ้างก็วางแผนและกลยุทธ์มากมายไว้ถึงขั้นจะติดต่อขุมอำนาจของตนดู เผื่อว่า พวกเขาจะหาซื้อโอสถตัวนี้จากข้างนอกได้
ไม่รอช้าพวกอารมณ์ร้อนก็เปิดฉากโจมตีก่อนใคร พริบตาต่อมาทั่วทั้งบริเวณก็ ตกอยู่ในความโกลาหล บางคนตะบันสู้ บางคนล่าถอย และบางคนเริ่มจับกลุ่มกันสู้
เพียงพริบตาเดียวก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังไปทั่ว คนข้างๆ หวังเป่าเล่อซึ่งบังเอิญเป็นพวกอารมณ์ร้อนเช่นกันเหวี่ยงหมัดใส่หวังเป่าเล่อโดยไม่พูดไม่จา
“ลอบกัดข้ารึ ข้าเกลียดหมาลอบกัดเป็นที่สุด!” หวังเป่าเล่อจ้องเขม็ง เขาไม่ได้หลบแต่เลือกจะยกขาขึ้นถีบแทน เท้าของเขาปะทะเข้ากับกำปั้นของอีกฝ่าย อวัยวะทั้งสองปะทะกันทำให้ชายหนุ่มอารมณ์ร้อนต้องรีบล่าถอย สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด เขามองหวังเป่าเล่ออย่างตกใจและระแวดระวัง ไม่กล้าสู้ต่อ แล้วรีบหันหนีไปหาคนอื่นแทน
หวังเป่าเล่อพ่นลมเย้ยเยาะเมื่อเห็นอีกฝ่ายรีบเจียมตัวถอยไป ดวงตาเขา ทอประกายวาบ เขาต้องการโอสถตัวนั้น และเขารู้ว่าถ้าไม่รีบทำอะไรสักอย่าง โอกาสจะได้โอสถมาจะน้อยลงไป ทางออกเดียวคือ กำจัดผู้ท้าชิงคนอื่นเดี๋ยวนี้!
ชายชราบอกว่า ใครที่ยืนหยัดอยู่เป็นคนสุดท้าย…ดังนั้นตราบที่คนอื่นยืนไม่ไหว ก็ถือว่าเป็นไปตามกติกาสินะ ดวงตาของหวังเป่าเล่อวูบไหว เริ่มโคจรปราณในร่างกาย ฝักกระบี่ภายในตัวเขากระตุก ยุงเก้าตัวบินออกมาทันที พวกมันปรากฏตัวขึ้นรอบกายหวังเป่าเล่อ เขาออกคำสั่งในหัว พวกมันก็รีบพุ่งเข้าใส่คนรอบตัวเขาทันควัน
หวังเป่าเล่อไม่ได้ปล่อยยุงสีเทาออกมา เพราะเขายังไม่เคยทดสอบพลังของมัน ถ้ามันเผลอไปฆ่าพันธุ์กล้าคนอื่นของสหพันธรัฐเข้าคงจะวุ่นวายน่าดู
“ไปกัดฝ่าเท้าพวกเขาเสีย ข้าอยากให้พวกเขายืนไม่ไหว!”
ยุงเก้าตัวทำเสียงหึ่งๆ ในอากาศ พวกมันกระจายตัวกันปรี่เข้าไปหาพันธุ์กล้า อีกเก้าสิบกว่าคน พวกมันตัวเล็กและว่องไว ทั้งยังรวดเร็วนัก เพียงพริบตา ยุงทั้งเก้าตัวก็บินเข้าไปใต้เท้าผู้ฝึกตนจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวที่กำลังล่าถอยจนไม่ทัน ระวังตัว ปากเหมือนเข็มของพวกมันไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เจาะทะลุผ่านรองเท้าของ ผู้ฝึกตนเข้าไปในผิวหนังทันที!
ในตอนแรก ผู้ฝึกตนจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่เมื่อเท้าเขาเหยียบลงบนพื้น และกำลังจะล่าถอยไปอีก ดวงตาก็พลันเบิกโพลงขึ้น ความรู้สึก คันเกินทนแผ่ซ่านอยู่กลางฝ่าเท้าแล้วกระจายไปทั่วร่าง ตัวเขากระตุกอย่างรุนแรง ดวงตาฉายแววไม่อยากเชื่อ พอเขาตั้งใจจะสะกดอาการคันไว้ เท้าอีกข้างก็เกิดอาการคันเกินทนขึ้นด้วยเหมือนกัน
อาการคันในช่วงแรกนับว่าสุดทนแล้ว แต่ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเหมือนมี คลื่นซัดมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยิ่งแรงขึ้นไปเรื่อยๆ ภายในระยะเวลาอันสั้น ผู้ฝึกตนจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวส่งเสียงร้องตกใจ เขาทิ้งตัวลงบนพื้นแล้วถอดรองเท้าออก เกาเท้าสุดชีวิต
“คันเหลือเกิน นี่มันอะไรกัน!”
ชายชรามีสีหน้าสงบนิ่งรักษาท่าทีขณะสังเกตการณ์ความวุ่นวาย ท่าทีไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เขาหันหน้าตั้งท่าจะเดินไปยังทางออกพร้อมกับเจ้าพนักงานจากกองทัพอีกสองคน แต่ยังไม่ทันไปได้ไกลนัก ก็มีเสียงร้องเกรี้ยวกราดด้วยความตกใจดังระงมมาจากข้างหลังเสียก่อน!
“ข้าโดนยุงกัด บ้าที่สุด มียุงอยู่ที่นี่จริงๆ รึ”
“ข้าก็โดนยุงกัด นี่มันชักจะคันเกินไปแล้ว ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”
“พวกเจ้าก็โดนกัดรึ นี่มันฝีมือใครสักคนแน่ๆ!”
ท่ามกลางเสียงร้องโวยวายผสมเสียงหายใจเฮือก พันธุ์กล้ากว่าสิบคนกำลังนั่งลงและถอดรองเท้าออกมาเกากันดุเดือด ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากทน แต่…นี่มันคัน เกินทนไปแล้ว!
แม้แต่สีหน้าของหมาป่าเดียวดายอย่างกงเต๋าก็ยังเปลี่ยนไปอย่างผิดคาด เขากำลังระดมเกาอย่างบ้าคลั่ง…
ตอนแรกชายชราตั้งใจจะเดินจากไปแล้ว แต่ครั้นหันกลับมามอง ก็ได้แต่จ้องภาพประหลาดตรงหน้าอย่างตกตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ เจ้าพนักงานกองทัพสองคนที่ยืนข้างหลังเขาเองก็ทำตาโต ทำหน้าเหมือนพูดอะไรไม่ออก
พันธุ์กล้าหนึ่งร้อยคนของสหพันธรัฐ ที่ยืนอกผายไหล่ผึ่งเป็นอัจฉริยบุคคลอยู่ ไม่นานก่อนหน้านี้ บัดนี้กลับนั่งลงถอดรองเท้าบนพื้น แล้วเกาเท้ากันเป็นบ้าเป็นหลัง สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ค่อนข้างกะทันหันและเกินคาดนัก…
ถ้าแค่ผู้ฝึกตนชายคงไม่เป็นอะไร แต่ทั้งชายและหญิงต่างตกเป็นเป้าหมายของ ยุงเหล่านั้น ตอนนี้จะเห็นได้ว่าสีหน้าของผู้ฝึกตนหญิงหลายคนเปลี่ยนไป พวกนางเริ่มจากการเกาผ่านรองเท้าของตัวเองกันอย่างกระดากอาย แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครควบคุมตัวเองได้ไหว ไม่นานพวกนางก็นั่งลงกับพื้นพร้อมถอดรองเท้า เผยฝ่าเท้าเนียนนุ่ม ใบหน้าแดงจัด หูร้อนผ่าว และลงมือเกาเท้ากันอย่างแตกตื่นรุนแรง
“โอ๊ย!” หลี่อี้เป็นหนึ่งในนั้น ยิ่งนางเกายิ่งรู้สึกคันใกล้จะเป็นบ้าอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะกวาดตาไปทางใด ก็เห็นฝ่าเท้าเปล่าๆ เรียงรายนับไม่ถ้วน…
ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ชายชรามองไปก็เห็นผู้ฝึกตนอีกนับสิบชีวิตกำลังกรีดร้องอย่างหวาดกลัวตามมา ก่อนจะร่วมวงกับพันธุ์กล้ากลุ่มแรกที่นั่งเกาเท้ากันอยู่
“ข้าฆ่าได้ตัวหนึ่ง! นี่มันไม่ใช่ยุงจริงๆ ใครกันที่ลอบทำร้ายพวกเรา!”
“บ้าเอ๊ย อย่าให้ข้าจับได้เชียวนะ!”
“ถ้าเก่งจริงก็มาสู้กับเราซึ่งๆ หน้าสิ! บังอาจใช้ยุงดุร้ายน่ารังเกียจเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!” พันธุ์กล้ากว่าเก้าในสิบส่วนร่วงไปกองกับพื้นกันอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความหวาดกลัวสยดสยองที่เพิ่มขึ้น พวกเขาเกาพลางสบถพลาง แล้วตวาดอย่าง เกรี้ยวกราดสารพัด เสียงก่นด่าอันเดือดดาลกังวานไปทั่วทุกทิศเหมือนกระแสคลื่น ทุกคนต่างโมโหจนเส้นเลือดปูด ดวงตาร้อนผ่าว จับตามองไปยังสามคนสุดท้ายที่ยัง ไม่โดนกัดและยืนหยัดอยู่ได้
หนึ่งในนั้นคือจั่วอี้ฟานที่กำลังงุนงง อีกคนคือเจ้าเยี่ยเหมิงที่ทำหน้าแปลกๆ และอีกคนที่ดูพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด…หวังเป่าเล่อนั่นเอง