บทที่ 292 อีกเพียงก้าวเดียว!
ชายผู้เพิ่งหันมาเผยโฉมหน้าคือ…ต้นไม้ยักษ์กลายพันธุ์ที่เขาเผชิญหน้ามาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ผู้ที่ชายหนุ่มขัดขวางไม่ให้บรรลุสู่ขั้นจุติวิญญาณนั่นเอง!
ความรู้สึกซัดโถมในใจของหวังเป่าเล่อ ลมหายใจถี่กระชั้น รีบผงะถอยหลังไป แต่ประตูด้านหลังปิดอยู่ เห็นได้ชัดว่าในห้องนี้ผนึกไว้ด้วยวงแหวนปราณ หวังเป่าเล่อถอยกรูดไปยังประตู หยดเหงื่อไหลท่วมหน้าผาก เขารู้ตัวแล้วว่าไม่มีทางหนีรอด หัวใจเริ่มเต้นระรัวเร็ว ใบหน้าพยายามปั้นยิ้ม แต่ถ้าให้ร้องไห้ตอนนั้นเลยก็ย่อมได้
สติสัมปชัญญะของเขาปั่นป่วน ต่อให้มีจินตนาการลึกล้ำเพียงใด ชายหนุ่มก็คาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นต้นไม้ยักษ์อีกครั้งเมื่อมาถึงดาวอังคารเช่นนี้…ในเมื่อต้นไม้ยักษ์มาอยู่ที่นี่ ก็มีเพียงความหมายเดียว เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้นี่เองคือ…รองเจ้านครแห่ง ดาวอังคาร!
หวังเป่าเล่อกลัวจนพูดไม่ออก เขาเตรียมจะชักอาวุธเวทออกมา ความคิดในหัวบ้าคลั่งขณะที่ร้องลั่น
“รองเจ้านคร ข้ามาจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า ข้าได้รับคำสั่งจากผู้นำสหพันธรัฐให้มาประจำการที่นี่ อย่า…ทำอะไรบุ่มบ่ามเชียวนะ”
ต้นไม้ยักษ์จ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างเยือกเย็น เขาสังเกตพฤติกรรมหวังเป่าเล่อแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายตกใจสุดขีด พร้อมจะสู้สุดชีวิต รองเจ้านครหรี่ตามองอีกฝ่าย
“เจ้าไม่เคยคิดเลยสิท่า ว่าผู้นำสหพันธรัฐจะให้ข้าเป็นพลเรือนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตอนนี้ข้าเป็นคนของสหพันธรัฐอย่างเป็นทางการ และเป็นถึงรองเจ้านครของอาณานิคมดาวอังคารอีกด้วย
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น” ต้นไม้ยักษ์ถามอย่างสบายอารมณ์ พอหวังเป่าเล่อเห็นว่าต้นไม้ยักษ์ไม่คิดจะทำร้ายตนเอง ชายหนุ่มก็ถอนหายใจโล่งอก แต่ก็ยังไม่อาจไว้ใจได้เต็มที่
หวังเป่าเล่อรีบฟื้นตัวจากอาการตกใจ ในเมื่อต้นไม้ยักษ์ได้รับแต่งตั้งเป็นรองเจ้านคร เช่นนั้นทำร้ายกันอย่างเปิดเผยเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้ ชายหนุ่มเริ่มสัมผัสได้ว่าการที่ตนถูกส่งมาที่ดาวอังคารแห่งนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล
เจ้าต้นไม้ยักษ์ต้องไม่พอใจข้า และวางแผนบางอย่างอยู่เป็นแน่! หวังเป่าเล่อ เซื่องซึมลง พลางลอบถอนหายใจ กระนั้นก็ไม่อาจมองข้ามคำถามของต้นไม้ยักษ์ได้ จึงตัดสินใจยอมเล่นตามน้ำ
“แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น…”
“เหตุใดอย่างนั้นรึ เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกว่าเหตุใดอย่างนั้นรึ” ประกายไฟพลันลุกโชนในดวงตาของต้นไม้ยักษ์ เขาจ้องมองหวังเป่าเล่อแล้วกัดฟันเค้นคำพูดออกมา
“เพราะอีกเพียงก้าวเดียว ข้าก็จะบรรลุขั้นจุติวิญญาณแล้วอย่างไรเล่า อีกเพียงก้าวเดียว อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น! ระดับการฝึกตนและความสามารถในการต่อสู้อย่างข้า ข้าไม่คู่ควรจะเป็นแค่รองเจ้านคร ข้าควรจะเป็นเจ้านครด้วยซ้ำ!” ต้นไม้ยักษ์จ้องหน้าหวังเป่าเล่อ ถ้อยคำดังก้องไปทั้งห้อง ทำเอาหวังเป่าเล่อสันหลังวาบ
ทั้งกะโหลกของเขาชาไปหมด ตอนที่ต้นไม้ยักษ์เอ่ยคำว่า ‘อีกเพียงก้าวเดียว’ ครั้งแรก เขาเริ่มประหม่า พอครั้งที่สอง ผิวหนังหวังเป่าเล่อกระตุกยิก และในครั้งที่สาม หวังเป่าเล่อแทบร้องไห้ ไม่อยากอยู่บนดาวอังคารอีกต่อไป เขาอยากกลับบ้านที่ ดาวโลกเหลือเกิน…
ต้นไม้ยักษ์ใช้สายตาเยียบเย็นจับจิตจ้องหวังเป่าเล่อ ใบหน้าดูเย็นชาและเต็มไปด้วยโทสะ แต่แท้จริงแล้ว ภายในใจเขารู้สึกสงบนิ่งราวกับทะเลสาบอันไร้สิ่งรบกวนตั้งแต่หวังเป่าเล่อเข้ามาในห้อง ทุกอย่างที่แสดงให้หวังเป่าเล่อเห็นล้วนเป็นการจงใจตบตา พอได้เห็นสีหน้าของหวังเป่าเล่อ และได้ยินเสียงหัวใจของชายหนุ่มเต้น โครมคราม คิ้วของเขาก็ขมวดเล็กน้อย ดวงตาฉายแววบางอย่าง เขาได้ข้อสรุป อย่างรวดเร็วก่อนแค่นจมูกออกมา
“ได้รับมอบหมายงานแล้วก็ไปเสีย ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก!” ต้นไม้ยักษ์กล่าว ยกมือขวาขึ้น แผ่นหยกแผ่นหนึ่งบินเข้าไปหาหวังเป่าเล่อ
ทันทีที่ชายหนุ่มรับแผ่นหยกนั้นเอาไว้ได้ บานประตูข้างหลังก็เหวี่ยงเปิดอีกครั้ง แรงกระแทกจากแผ่นหยกเหวี่ยงร่างเขากระเด็นออกไปนอกห้อง ก่อนประตูจะปิดตามหลัง
ต้นไม้ยักษ์ไม่ใส่ใจหวังเป่าเล่อนัก เมื่อประตูปิดลง สีหน้าโกรธจัดบนใบหน้าเขา ก็หายไปทันใด กลายเป็นสีหน้าครุ่นคิดแทน เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจส่งหวังเป่าเล่อมาดาวอังคารแม้แต่น้อย
อันที่จริงแล้วถ้าเป็นไปได้ ชายผู้นี้ไม่อยากให้ใครล่วงรู้ว่าเขาเคยเผชิญหน้ากับ หวังเป่าเล่อด้วยซ้ำ แม้แต่ตอนที่เขาแอบปกป้องหวังเป่าเล่อต่อหน้าผู้นำสหพันธรัฐ ต้วนมู่ฉือ เขาก็คิดเช่นนั้น สำหรับเขาแล้ว หวังเป่าเล่อเปรียบเสมือนผลไม้ยักษ์ของเขา คือโอกาสสุดท้ายที่เขาจะบรรลุขั้นจุติวิญญาณ
เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เขาจะยอมอดทนรอ รอจนกว่าจะเรียกความเชื่อใจจากสหพันธรัฐได้ แล้วค่อยลงมือจัดการกับหวังเป่าเล่อภายหลัง เขาจะกลืนเจ้าหนุ่มคนนั้นลงไปทั้งตัว พลังกายของเขาจะสมบูรณ์แบบ เขาจะใช้โอกาสนี้บรรลุขั้น จุติวิญญาณให้จงได้
กระนั้นต้นไม้ยักษ์ก็ไม่คาดคิดว่าสหพันธรัฐจะส่งตัวหวังเป่าเล่อมายังดาวอังคารเช่นนี้ ไม่ต่างอะไรกับนำหวังเป่าเล่อใส่ถาดเงินมาประเคนถึงตรงหน้า ทำเอาเขาอดกังขามิได้
ต้วนมู่ฉือ เจ้ากำลังทดสอบข้ารึอย่างไร เจ้าไม่กลัวข้ากลืนกินหวังเป่าเล่อและบรรลุระดับการฝึกตนเข้าสู่ขั้นจุติวิญญาณเลยหรือ ต้นไม้ยักษ์ขมวดคิ้วมุ่น สัญชาตญาณบอกให้หวาดระแวงต่อท่าทีของต้วนมู่ฉือหลังจากเหตุการณ์ใน เขตจันทราเวท ชายผู้นั้นช่างสุดจะหยั่งถึง เกินกว่าใครจะเข้าใจความคิดได้
สักพักต่อมา ต้นไม้ยักษ์ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาตัดสินใจแล้ว เขาตัดสินใจจะรักษาสถานะตอนนี้ของตนไว้ ไม่ว่าต้วนมู่ฉือจะมีแผนการอย่างไร เขาจะขอปลอดภัยไว้ก่อนด้วยการไม่รีบเข้าไปขย้ำเหยื่อเสียตั้งแต่ตอนนี้
แม้แต่ตำแหน่งของหวังเป่าเล่อนั้น ก็ไม่ใช่การตัดสินใจของเขา ทางสหพันธรัฐแต่งตั้งกันเองทั้งนั้น เขามองดูแล้วคิดว่าไม่ใช่ตำแหน่งที่วิเศษอะไรนักหนา ดังนั้นจึงไม่ได้คิดจะแทรกแซงไปมากกว่านั้น
ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็กำลังวิ่งหนีออกจากตึกทรงเปลวเพลิงอย่าง กระวนกระวาย เมื่อพ้นออกมาแล้ว ชายหนุ่มก็สูดลมหายใจลึกสองสามครั้ง รู้สึกได้ว่าสันหลังเย็นวาบ ในใจทั้งหดหู่และวิตกจริตสลับกันไป ชายหนุ่มเปิดใช้แหวนสื่อสารติดต่อหาประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ทันที
ทันทีที่ติดต่อได้ หวังเป่าเล่อก็ออกปากตะโกนอย่างคุมตัวเองไม่อยู่
“ข้าตัดสินใจแล้ว ประมุขสำนัก ข้าขออยู่และตายกับสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ข้าอยากจะใช้ทั้งชั่วชีวิตทำงานให้กับสำนักของเรา ข้าอยากจะกลับไปประจำการที่สำนักของเรา ข้าอยากจะเป็นเจ้าตำหนักอาวุธเวท ข้าอยากจะอุทิศทั้งชีวิตของข้าให้กับภารกิจของสำนัก!”
“ท่าทางเจ้าจะได้พบกับสหายเต๋าต้นหอมหมื่นลี้แล้วสินะ ข้าเพิ่งทราบวันนี้เหมือนกันว่าเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองเจ้านครของอาณานิคมดาวอังคาร” ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจก่อนจะกล่าวต่อ
“สหพันธรัฐส่งประวัติของเจ้าไปยังอาณานิคมดาวอังคารแล้ว ตอนนี้เจ้าอยู่ภายใต้อำนาจของเขา ตามที่กฎหมายระบุไว้ เจ้าจะต้องประจำการอยู่ที่ดาวอังคารอย่างน้อยหนึ่งปี ข้าจึงจะทำเรื่องย้ายเจ้ากลับมาได้ เราทั้งคู่ต่างก็เป็นขุนนาง ระดับสองชั้นสูง ยศของพวกเราเท่ากันแล้ว ทำให้ยิ่งเดินเรื่องยากกว่าเดิม แล้วระดับการฝึกตนของรองเจ้านครก็ไม่ใช่น้อยเลย อีกเพียงก้าวเดียวเขาก็จะบรรลุขั้น จุติวิญญาณแล้วด้วยซ้ำ”
พอได้ยินคำนั้น ภายในใจของหวังเป่าเล่อเย็นวาบ เขากำแหวนสื่อสารในมือแน่น เกิดความรู้สึกเหมือนชีวิตไม่มีความหมายอีกต่อไป แม้แต่ท้องฟ้ายังดูมืดมนอับจน สิ้นหวัง
“ท่านประมุขสำนัก ขออย่าได้เอ่ยคำว่า ‘อีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุขั้น จุติวิญญาณ’ อีกเลย ข้ากลัว…”
ประมุขสำนักถอนหายใจ รีบปลอบหวังเป่าเล่อ
“อย่ากังวลเกินไปนักเลย ในเมื่อผู้นำสหพันธรัฐแต่งตั้งเขาเป็นถึงรองเจ้านคร เขาก็ถือว่าเป็นคนของสหพันธรัฐเช่นกัน ในเมื่ออยู่ภายใต้กฎหมายของสหพันธรัฐแล้ว เขาคงไม่ทำอะไรบ้าบิ่นหรอก อีกอย่าง…ยังมีเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารคอยคุ้มหัวเจ้าอยู่ด้วย นางเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเลยทีเดียว ขนาดผู้นำสหพันธรัฐยังให้ความเคารพยำเกรงเวลาเขาพบนาง
“ข้าเองก็จะช่วยหาทางนำตัวเจ้ากลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ด้วยอีกแรง”
พวกเขาแลกเปลี่ยนถ้อยคำกันอีกเล็กน้อย ก่อนหวังเป่าเล่อจะตัดการสื่อสารพร้อมถอนหายใจด้วยความเศร้าสลด เขาไม่เหลือแม้แต่น้ำตาจะหลั่ง ไม่มีสิ่งอื่นใดให้ทำนอกจากก้มหน้ารับชะตากรรมตัวเอง เมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็ก้มลงมองแผ่นหยกในมือด้วยสีหน้าหม่นหมอง ส่งปราณวิญญาณเข้าไปเพื่อเปิดใช้งาน หลังจากได้อ่านเนื้อหาข้างใน ความโศกสลดและโทสะเมื่อครู่ของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งเพิ่มพูน
นี่มันอะไรกัน รองเจ้าสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาประจำดาวอังคาร ข้าน่ะรึ
อาณานิคมดาวอังคารมีจำนวนประชากรมหาศาล ยิ่งเป็นศูนย์รวมของขุมอำนาจหลากหลาย ยิ่งทำให้สภาพการเมืองภายในวุ่นวาย ขุมอำนาจเหล่านั้นย้ายผู้ฝึกตนระดับหัวกะทิของตนมาประจำการอยู่ที่อาณานิคมมากมาย จึงจำเป็นต้องสร้างสำนักศึกษาให้ทายาทและลูกหลานของผู้มีอำนาจในขุมอำนาจต่างๆ ได้เข้ารับการศึกษา
ประชากรในอาณานิคมเองก็ต้องการสำนักศึกษาเช่นนั้นด้วยเช่นกัน จึงมีสำนักศึกษามากมายงอกขึ้นมาในตัวเมือง สำนักศึกษาเหล่านี้ไม่อยู่ภายใต้ระบบการจัดการของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า แต่อาณานิคมเป็นผู้ดูแลโดยตรง
ในบรรดาสำนักศึกษาทั้งหลาย มีสำนักศึกษาสองแห่งที่โดดเด่นขึ้นมา แห่งแรกคือสำนักศึกษาเปลววิญญาณ และอีกแห่งคือสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา
สำนักศึกษาทั้งสองแห่งนี้พิเศษกว่าที่อื่น เพราะมีอีกชื่อเรียกหนึ่งในนครอาณานิคมดาวอังคาร…สำนักศึกษาลูกคนรวยนั่นเอง!
เจ้าสำนักศึกษาลูกคนรวยทั้งสองแห่งนี้จะถือเป็นขุนนางระดับสี่ชั้นรอง ส่วนรองเจ้าสำนักจะเป็นขุนนางระดับห้าชั้นสูง!
ระยำนัก!
มอบหมายให้ข้า ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นผู้เป็นที่เคารพเลื่อมใส หนึ่งในพันธุ์กล้าหนึ่งร้อยต้นของสหพันธรัฐผู้เป็นที่นับหน้าถือตา บุคคลผู้มีชื่อเสียงบนดาวโลก เป็นเพียงรองเจ้าสำนักศึกษาไร้สาระน่ะหรือ ข้าจะต้องเป็นขุนนางระดับห้าชั้นสูงที่ ไร้ประโยชน์ที่สุดที่นี่เป็นแน่! อำนาจข้าคงมีเพียงหยิบมือกระมัง! ถ้าเป็นในยามอื่น หวังเป่าเล่อคงลาออกไปแล้ว แต่พอนึกถึงรองเจ้านครขึ้นก็ถึงกับต้องถอนหายใจ ชายหนุ่มคิดว่าบางครั้งคนเราก็ต้องยอมอ่อนข้อบ้าง ไม่มีอะไรให้น่าละอายอยู่แล้ว
ข้าไม่มีทางเลือก จะทนทำไปสักพักแล้วกัน…จากนั้นพอครบปีค่อยหาทางหนีทีไล่ เผ่นออกไปจากที่แห่งนี้ หวังเป่าเล่อตบหน้าผากตัวเอง ชายหนุ่มถอนใจอีกครั้งแล้วรีบรุดหน้าไปยังสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาอย่างหดหู่ตามเส้นทางที่แผ่นหยกบอก
ในเมื่อเขามาถึงที่นี่แล้ว และไม่มีทางหนีไปที่ใดได้อีก หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจ มุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาไร้สาระแห่งนั้น แล้วจัดแจงธุระเรื่องที่พักอาศัยทันที
หวังเป่าเล่อได้แต่ถอนหายใจตลอดทาง ชายหนุ่มเดินทางผ่านเขตเมืองหลายเขตจนไปถึงเขตที่ 12…สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา