Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 345

ตอนที่ 345 พบกันอีกครั้ง สูงกว่าเจ้า

หลายคนเริ่มรู้ตัวตรงหน้าประตูเมือง ทุกคนต่างกระจ่างใจดี เมื่อครู่ทหารเมืองหลวงยังราวเผชิญหน้ากับศัตรูใหญ่ ตอนนี้เริ่มโกลาหล ขุนนางบุ๋นระดับหกรู้สึกว่าผิดปกติ หันกลับไปมอง กลับไม่มีผู้ใดกล่าวอันใดกับเขา

“พี่น้องทุกท่าน หน้าประตูเมืองปกติดี กลับไปประจำการที่เดิม!!”

นายทหารผู้หนึ่งออกคำสั่งเสียงดังฟังชัดเจน ไม่รอให้ขุนนางบุ๋นระดับหกและเจ้าพนักงานภาษีได้สติ ทหารจากศาลอาญาใหญ่ก็สลายตัว กลับไปประจำการตำแหน่งเดิม

รอบด้านเห็นทหารมีการเคลื่อนไหวเช่นนี้ ก็พากันหยุดมอง ตอนนี้ผู้ใดก็รู้ได้ว่ามีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้น ทหารรักษาประตูเมืองสลายตัว ตนเองจะไปทำอะไร

“พวกเจ้าจะนั่งมองดูคนร้ายพวกนี้เฉยๆ หรือ?”

ขุนนางผู้นั้นตะโกนดัง ทหารจากศาลอาญาใหญ่กับขุนพลต่างก็ยืนนิ่ง ทำหน้าตาราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอันใดขึ้น ขุนนางผู้นั้นมองพวกหลี่หู่โถวอย่างไม่พอใจ ชี้ไปทางคนของศาลอาญาใหญ่ก่อนจะตะโกนดังขึ้นว่า

“หากพวกเจ้ายังทำเช่นนี้ ส่วนแบ่งหน้าประตูเมืองตั้งแต่วันที่ 20 เดือนสิบสอง จะไม่ให้พวกเจ้าสักแดงเดียว…”

กำลังชี้นิ้วตะโกนด่าอยู่นั่นเอง ก็เห็นม้าฝูงหนึ่งควบตรงมา คนบนหลังม้าไม่สนใจจะควบคุมมัน กลับใช้แส้ฟาดลงไปอีก

อย่าเห็นว่าเป็นขุนนางบุ๋น เพราะในเวลาคับขันปฏิกิริยาก็ฉับไวไม่เลว กระโดดกลิ้งตัวหลบไม่ให้ม้าชนได้ทัน

รอจนเขาตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้น ก็เห็นคนบนหลังม้าทยอยลงจากหลังม้า พอคนด้านหน้าลงจากหลังม้ามาก็รีบวิ่งไปด้านหน้าทันที

พลม้าทั้งขบวนแต่งกายด้วยชุดสีดำ เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ก็จะเห็นว่าพวกเขาสวมชุดต่างกัน ด้านหน้าสวมชุดดำแขนสอบเพื่อสะดวกขี่ม้ายิงธนูและยังป้องกันความหนาวได้ คนด้านหลังที่ตามมาล้วนสวมชุดเครื่องแบบทหาร

ด้านหลังชุดปักรูปหัวพยัคฆ์ ทุกคนในที่นั้นได้สติอย่างรวดเร็ว ชุดแบบนี้ในเมืองหลวงมีแค่กองกำลังเดียวที่แต่งได้ นั่นก็คือ สี่กองกำลังประจำพระองค์แห่งสำนักอาชาหลวง

กองทหารม้าภายใต้การดูแลของสำนักอาชาหลวงทั้งหมดล้วนเรียกว่า ทัพพยัคฆ์ดำ การแต่งกายเช่นนี้ก็มีที่มา ชุดดำแขนสอบเป็นการแต่งการของระดับนายกองหลายหน่วยที่ปฏิบัติหน้าที่ในสำนักอาชาหลวง

ขุนนางบุ๋นผู้นั้นจ้องมองไปมาก็ตะโกนเสียงดังว่า

“กงกงสำนักอาชาหลวงทุกท่าน นอกเมืองมีกองทหารไม่ยอมให้ตรวจสินค้า และยังชักอาวุธข่มขู่ ข้าน้อยนายกองกรมปกครองแห่งกุ้ยโจวถูกข่มขู่ขณะปฏิบัติหน้าที่ ขอกงกงทุกท่านได้โปรดช่วย…”

กล่าวไม่ทันจบก็พูดไม่ออกอีกต่อไป เพราะมองเห็นบรรดาขันทีเบื้องหน้าต่างก้มกายคำนับ ท่าทางนอบน้อมยิ่ง

มองเห็นภาพเบื้องหน้า บรรดาเจ้าพนักงานหน้าประตูฉงเหวินต่างก็อ้าปากค้าง แม้ว่าจะห่อตัวไว้แน่นหนา พวกเขาก็ยังหนาวยะเยือกทั้งภายในและภายนอก รู้ว่าเตะโดนแผ่นเหล็กเข้าแล้ว

ทางนั้นไม่รู้พูดอะไร ขันทีสองคนก็เดินมาทางนี้ เดินมาเบื้องหน้าไม่ทันพูดอันใดก็ยกมือตบหน้าฉาดใหญ่ อีกคนก็ไม่รอช้า ตามมาถีบด้วยอีกที

ขันทีจากสำนักอาชาหลวงฝีมือล้วนไม่เลว นับประสาอันใดกับสองต่อหนึ่ง ไม่ทันได้ตอบสนอง พ่อบ้านผู้นั้นก็ถูกต่อยล้ม ทั้งหมัดทั้งเท้าประเคนเข้าใส่ ปากก็ด่าไป

“เจ้าลูกกระต่าย ถ้าไม่อยากตายก็อย่ามาขวางทาง ใต้เท้าหวังแห่งเทียนจินนำเงินก้อนจินฮวาส่งเข้าวัง เจ้ายังกล้าขวางทาง เจ้ามันตัวอะไรกัน!”

เอ่ยนามเทพเจ้าองค์นี้มา ผู้ใดกล้ากล่าวอันใดอีก พวกเจ้าพนักงานภาษีต่างพากันหน้าซีด ตัวสั่นงันงก ที่แท้เป็นของที่ส่งเข้าวังจริง และยังเป็นของนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหวังทงจากเทียนจินอีกด้วย

คนเหล่านี้ล้วนเป็นพวกไม่ได้เรื่อง พอเห็นท่าไม่ดี โดยเฉพาะเจ้าพนักงานภาษีที่มาหาเรื่องก่อนผู้นั้น ก็หันหลังวิ่งหนีทันที ก้าวไปได้เพียงก้าวเดียว ก็ได้ยินคนด้านหลังตะโกนดังมาว่า

“อย่าหนี!”

ขณะกำลังตะลึงอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบมา หันไปมองก็ต้องตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ขุนพลหนุ่มน้อยถึงกับขี่ม้าไล่ตามมาพร้อมทวนยาว ไล่ตามมาถึงแล้ว

คนหน้าประตูไม่มีใครกล้าขวาง ล้วนหลบกันให้จ้าละหวั่น มีแต่เจ้าพนักงานภาษีผู้นั้นที่ไร้ทางหนี พริบตาเดียวหลี่หู่โถวก็ควบม้าไล่ตามมาถึง ได้ยินเสียงคนข้างหลังตะโกนดังว่า

“ดูทวน!”

เสียงลมหวีดดัง เจ้าพนักงานภาษีผู้นั้นตัวแข็งอยู่กับที่ รู้สึกแต่ว่าแก้มชาวาบ ไม่รู้ว่าตนบาดเจ็บหรือไม่ หากก็ร้องโหยหวนดังขึ้นทันที

หวีดร้องไปหลายคราก่อนจะรู้สึกตัวว่าไม่น่าจะใช่ หันไปมองด้านข้าง เห็นทวนยาวเฉียดใบหน้าตนไป ยามนี้จึงได้ยินเสียงหัวเราะดังของขุนพลหนุ่มน้อยตามมาเก็บทวน เจ้าพนักงานผู้นั้นราวกับกลับมาจากประตูนรก คนทั้งคนล้มลงแน่นิ่งกับพื้น ราวกับสุนัขตายที่ไม่ขยับ

“ใต้เท้าหลี่น้อยฝีมือบนหลังม้าช่างเยี่ยมยอด”

ขันทีผู้หนึ่งยิ้มก่อนจะเอ่ยชมเสียงดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงชื่นชมของบรรดาขุนพลจากสำนักอาชาหลวงและขันทีคุมกำลัง หลี่หู่โถวแสดงฝีมือได้ไม่เลว สามารถโดดขึ้นยืนบนหลังม้าและแทงทวนยาวใส่ลำคอเจ้าพนักงานภาษีได้อย่างฉับไวฝีมือบนหลังม้านับได้ว่าถึงระดับสุดยอดที่สุดแล้ว

“ใต้เท้าหลี่น้อยไม่รู้กระมังว่า พอใกล้ปีใหม่ ด่านภาษีที่ประตูฉงเหวินเปลี่ยนกำลังคน หลายคนไม่ใช่เจ้าหน้าที่ก็ปนเข้ามาร่ำรวยไปด้วย จึงได้มีพวกมีตาแต่ไร้แววล่วงเกินท่าน”

ตามหลักแล้วผู้ที่คุมการขนเงินครั้งนี้ก็คือซุนต้าไห่ แต่ขันทีที่มาจ้องแต่จะชมหลี่หู่โถวคนเดียว ไม่สนใจคนอื่นแม้แต่น้อย

สำนักอาชาหลวงนอกจากคุมกำลังองครักษ์ในวังแล้ว ยังรับหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยพระตำหนักต่างๆ พวกมีบริหารเงินของฝ่ายในก็มาจากสำนักอาชาหลวง ดังนั้นเงินก้อนจินฮวาล้วนเป็นพวกสำนักอาชาหลวงมารับไป

อย่าเห็นว่าหลี่หู่โถวเมื่อครู่ลงมือได้รวดเร็วแม่นยำ เพราะพอถูกชมเข้า ใจก็เริ่มไม่นิ่ง อดหันไปมองซุนต้าไห่ด้านหลังไม่ได้

ซุนต้าไห่รู้ว่าหลี่หู่โถวสนิทกับฮ่องเต้ตอนอยู่ลานฝึกหู่เวยมาก ดังนั้นก็พอเข้าใจท่าทีของบรรดาขันทีในวัง จึงยิ้มพยักหน้า หลี่หู่โถวจึงค่อยคลายกังวลลง

“เมื่อวานในวังได้ข่าวมา เบื้องบนรู้ว่าใต้เท้าหลี่น้อยจะมา ดีใจมาก จางกงกงส่งพวกข้าน้อยที่เคยรับใช้ตอนอยู่ถนนทักษิณมารอรับ พวกข้าน้อยเดิมไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักอาชาหลวง เช้าวันนี้จึงต้องรีบเปลี่ยนสถานะ เสียเวลาไปมาก พวกสุนัขบัดซบพวกนี้จึงได้ขวางทางใต้เท้า”

ทุกคนที่รู้จักลานฝึกหู่เวย และยังเคยรับใช้ใกล้ชิดมาก็ล้วนรู้ดีว่า ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงสนิทสนมกับหลี่หู่โถวถึงระดับไหน

คนระดับนี้มา แม้ว่าหลี่หู่โถวจะเป็นแค่นายกองธงใหญ่ ไม่ใช่ขุนนางบู๊ตามระบบ แต่ขันทีที่แม้เห็นขุนนางบู๊ระดับสามหรือสี่ในวังยังไม่มองหน้า กลับพยายามเอาใจหลี่หู่โถว

**********

ถนนในเมืองหลวงวันที่ 29 เดือนสิบสองล้วนเงียบเหงา คนต่างถิ่นต่างกลับบ้านเกิดไปกันหมดแล้ว คนเมืองหลวงก็ยุ่งกับการเตรียมงานปีใหม่ได้ระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้ทุกคนล้วนกำลังพักผ่อน เพราะวันที่ 30 ยังต้องยุ่งวุ่นวายกันอีก

ถนนทักษิณกับที่อื่นนั้นแตกต่างกัน ใกล้ปีใหม่แล้วก็ยังไม่เงียบเหงาแม้แต่น้อย องครักษ์และขันทีในวังผลัดกันมา ยุ่งกันจนหัวปั่น

ห้องเครื่องได้โยกย้ายกำลังคนยกใหญ่เพื่อเตรียมจัดงานเลี้ยงในวันปีใหม่ต้นฤดูใบไม้ผลิ อาหารการกินของบรรดาองครักษ์ ขันทีและนางกำนัลล้วนได้รับผลกระทบ ร้านอาหารนอกวังล้วนปิดปีใหม่ ทางเดียวที่จะได้กินอาหารร้อนกรุ่น ก็ต้องมาที่หอเลิศรส

บรรดาขันทีที่มีตำแหน่งและองครักษ์ระดับขุนพลเท่านั้นที่จะมีเงินในมือไปทานอาหารร่ำสุรากันที่หอรุ่งเรืองได้ ได้ยินเสียงประทัดแว่วดังมาจากที่ไกลๆ ช่างเป็นบรรยากาศแห่งความสุขเสียจริง

บางคนในวังที่พอรู้ข่าวสาร ต่างก็รู้ว่าพื้นที่ด้านหลังหอเลิศรสตอนนี้เงียบเหงาไปมาก แต่ขันทีผู้รับหน้าที่ดูแลหอเลิศรสจะส่งคนมาปัดกวาดเป็นประจำ

แต่ก็เท่านั้น เพราะกฎของวังหลวงมีว่าหากไม่ใช่สถานที่ที่ควรไปก็อย่าไป ผู้ใดจะโง่ไปเดินเล่นที่นั่นกัน

เช้าวันที่ 29 เดือนสิบสอง มีผู้คนเข้าออกหอเลิศรสไม่ขาดสาย ยังมีคนใส่กล่องนำเข้าวังไปให้เพื่อนข้างในอีกด้วย

แต่พอดวงอาทิตย์ค่อนไปทางตะวันตก ปากทางทุกทางกลับมีทหารองครักษ์ในเครื่องแบบเต็มยศพร้อมประจำการขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คนที่มากินอาหารต่างถูกเรียกกลับเข้าวัง สำหรับองครักษ์และขันทีในวังหลวงแล้ว เรื่องเช่นนี้พบเห็นไม่บ่อยนัก ยอมเชื่อฟังแต่โดยดีก็แล้วกัน

หอเลิศรสเงียบลงอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงแขกสองคนในร้าน คนหนึ่งนั่ง คนหนึ่งยืน

“จางปั้นปั้น จำได้ว่าสองปีก่อนเจ้ามาเรามานอกวังเดินเล่น เห็นร้านอาหารก็เดินเข้ามา คิดไม่ถึงว่าจะได้พบหวังทง คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องราวมากมายเพียงนี้”

ผู้ที่นั่งอยู่ก็คือฮ่องเต้ว่านลี่ ผู้ที่ยืนอยู่นั้นย่อมเป็นจางเฉิง ว่านลี่พูดอยู่นั้น จางเฉิงก็มองไปรอบๆ อย่างหวาดหวั่น ก่อนจะยิ้มทูลขึ้นว่า

“การได้พบกับฝ่าบาทเป็นวาสนาของหวังทง กระหม่อมเห็นร้านตอนนี้ที่ขยายไปหลายห้องมากกว่าตอนแรก จัดการตกแต่งแบบเดิม เกือบสองปีแล้ว ยังเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น”

พูดไปก็ส่ายหน้าไป ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงฉลองพระองค์ชุดสีน้ำเงินเข้ม เป็นเครื่องแบบของลานฝึกหู่เวย ได้ยินจางเฉิงกล่าวเช่นนี้ ก็ทรงคิดครู่หนึ่งก่อนจะตรัสขึ้นเบาๆ ว่า

“ได้พบกับหวังทง เป็นช่วงเวลาที่เรามีความสุขที่สุด…”

จางเฉิงได้แต่ก้มหน้าลง ไม่อาจกล่าวเสริมอันใดได้

ในเวลานั้นเอง ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นด้วยความตื่นเต้นยินดีว่า

“พี่หู่โถว พี่มาแล้ว”

“เสี่ยวเลี่ยง อากาศหนาวเช่นนี้ทำไมไม่สวมเสื้อให้มากหน่อย ในวังสบายดีไหม?”

“….ดีทุกอย่าง ดีหมด ฝ่าบาท ท่านปู่จางดูแลข้าอย่างมาก…พี่หวังสบายดีไหม? น้าหม่าสบายดีไหม?…”

กล่าวถึงตอนท้าย น้ำเสียงของเจ้าจินเลี่ยงก็ติดขัดในลำคอ ได้ยินเสียงหลี่หู่โถว ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ท้าวโต๊ะลุกขึ้นยืนทันที คิดไปคิดมาก็นั่งลงตามเดิม

จางเฉิงเห็นเข้า ก็ยิ้มตะโกนไปว่า

“เสี่ยวเลี่ยง เจ้ายังมีเวลารำลึกความหลังอีกเยอะ รีบรายงานได้แล้ว!!”

ข้างนอกเงียบลง ผ้าม่านหอเลิศรสแหวกออก หลี่หู่โถวในเครื่องแบบนายกองธงใหญ่องครักษ์เสื้อแพรเดินเข้ามา

ในร้านค้าค่อนข้างสว่าง หลี่หู่โถวเห็นฮ่องเต้ว่านลี่นั่งอยู่ที่นั่นก็กระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“หวงอี้…”

พออ้าปากเอ่ยออกไปก็รีบหุบปากทันที ยิ้มแหะๆ ผลักโต๊ะเก้าอี้ด้านหน้าออก ก้มลงถวายคำนับพร้อมทูลว่า

“นายกองธงใหญ่องครักษ์เสื้อแพรประจำเทียนจินหลี่หู่โถวถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”

ยังถวายคำนับไม่ทันเสร็จ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ลุกขึ้นและเดินไปเบื้องหน้า เอื้อมพระหัตถ์ออกไปประคองให้ลุกขึ้น

หลี่หู่โถวสบตากับฮ่องเต้ว่านลี่ ก่อนจะยิ้มกว้าง ไม่รู้จะพูดอะไรดี ว่านลี่เอ่ยก่อนว่า

“หู่โถว เราสูงกว่าเจ้าแล้ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!