Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 459

ตอนที่ 459 แต่ละแห่งเรื่องราวมากมาย

“ซื่อจื่อมาเมืองหลวง ตระกูลหลินเราย่อมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง แต่ว่าเรื่องนี้ไม่อาจให้ผู้อื่นรู้ได้ จึงได้แต่ส่งคนมาคอยนำทางแทน ขออย่าได้ตำหนิ”

“ล้วนเป็นคนกันเอง น้องสาม เกรงใจไปไย ที่นี่ก็อิสระเหมือนเช่นวันวาน ผู้อื่นเรียกข้าไม่เติม ‘รอง’ ฟังแล้วก็สบายใจ”

เรือนใหญ่แห่งหนึ่งในเขตปัจจิมของเมืองหลวง ไฉฝูหลินกำลังคุยเป็นเพื่อนชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ชายผู้นั้นก็คืออวี๋ซวงสือ บุตรชายรองแห่งหย่งเซิ่งป๋อ ตอนอยู่ในจวนที่เฝินโจวไม่กล้ากล่าววาจาอันใด มาถึงเมืองหลวงเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน

ได้ยินเช่นนี้ ไฉฝูหลินก็ยิ้มกล่าวว่า

“เรียก ซื่อจื่อ ก็ทำให้สนิทสนมกันขึ้นมาอีกหน่อย เรื่องนี้ไม่อาจให้พี่รองรู้ได้ คำเรียกขาน น้องสาม เป็นเราสองที่เรียกกันได้ ผู้อื่นไม่อาจรับรู้ จะทำให้เป็นเรื่องได้”

อวี๋ซวงสือโบกมืออย่างไม่ยี่หระ ดื่มชาไปคำหนึ่งก็กล่าวว่า

“ช่างเถอะ ช่างเถอะ ท่านพ่อส่งข้ามานี่ก็กำชับมาพันครั้งหมื่นครั้ง ให้ข้าทำอะไรให้ระวัง”

ไฉฝูหลินยิ้มกริ่มเอ่ยว่า

“เมื่อวานที่คอยรับใช้ท่านในห้องถูกใจหรือไม่ เมืองหลวงเป็นแหล่งรวมสิ่งดีเลิศใต้หล้า ของดีๆ ก็ย่อมเตรียมไว้มอบเป็นของกำนัล ซื่อจื่อมาได้จังหวะพอดี”

วาจากล่าวเรื่องส่วนตัว อวี๋ซวงสือหรี่ตายิ้มเจ้าเล่ห์กล่าวว่า

“ไม่เลว ไม่เลวจริงๆ หญิงเจียงหนานจากแดนใต้กับหญิงต้าถงจากแดนเหนือล้วนมีจุดเด่นของตน มีรสชาติเฉพาะตน ได้ยินว่าหอฉินก่วนเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า แม้แต่คนที่แม่น้ำฉินไหวที่หนานจิงยังต้องส่งคนมาเรียนรู้ ไม่ทราบว่าจะมีโอกาส……”

“แม้ว่าซื่อจื่อไม่พูดถึง ข้าก็จะจัดให้คืนพรุ่งนี้แล้ว ขอเชิญซื่อจื่อสำราญได้เต็มที่ในพรุ่งนี้ ทว่าทำงนั้นก็ขอให้ซื่อจื่อระวังหน่อย อย่างไรก็เป็นกิจการของพวกสำนักรักษาความสงบ”

อวี๋ซวงสือหัวเราะเสียงดังหยอกล้อว่า

“ไปแล้วก็ย่อมมีแต่เรื่องพรรค์นั้น ผู้ใดสนใจเรื่องการงานอันใดเล่า โอย มาเมืองหลวงลำบากตรากตรำการงาน ไม่ระวังยังต้องสละชีพแทนไปด้วย สุดท้ายอย่างไรก็ได้แต่ต้องยกให้พี่ใหญ่ได้ประโยชน์ไปคนเดียว สมัยนี้ช่างน่าแปลก ฝั่งข้ามีบุตรชาย ตระกูลอวี๋มีผู้สืบทอด มิสู้พี่ชายใหญ่ที่มีบุตรสาวเสียแล้ว”

“ซื่อจื่อกล่าวไปไหนกัน ตอนนี้กำลังอยู่ในยุครุ่งเรือง วันเวลาดีๆ ยังรออยู่ข้างหน้า ข้าเองก็ยังมีพี่ชายอีกสองคน กล่าวกับท่านตามตรง ข้าคิดว่าซื่อจื่อถึงจะเป็น……”

ตระกูลชนชั้นสูง มีเพียงบุตรชายคนโตที่จะมีคุณสมบัติเป็น ซื่อจื่อ[1] ได้ บุตรชายรองอย่างมากก็เรียกขานได้แค่ คุณชาย เท่านั้น แต่หากต้องการเอาใจ เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ก็ไม่มีผู้ใดจะสนใจ

**************

“คุณชายรองตระกูลอวี๋พักอยู่ที่จวนท่านสามแล้ว เงินที่ชดใช้ให้ที่ซานซีวันก่อนก็ส่งไปแล้ว”

ซวงสี่รายงานเบาๆ หลินซูลู่หลับตาตั้งใจฟัง คนในวังรู้ว่าหลินกงกงหลายวันนี้อ่อนล้าแรงกำลังอย่างมาก ผมหงอกขาวมากขึ้นไม่น้อย

“นายท่านรองกับท่านสามถามมาว่า สวีชิงซานแห่งกรมอากรจะใช้การอันใดได้อีกหรือไม่”

“ไม่ต้องสนใจ เรื่องโง่เล่าของพวกเรียนแต่ตำรา สนใจไปจะทำอันใดได้ คงได้แต่หาเรื่องเหลวไหล……”

หลินซูลู่กล่าวเสียงเย็นเยียบ ซวงสี่รับคำเบาๆ เงียบไปครู่หนึ่ง หลินซูลู่ก็ลืมตาขึ้นกล่าวเบาๆ ว่า

“ข้าจำได้ว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน เฝิงโหย่วหนิงปะทะกับอิ๋วชีที่ถนนหลานเหอในเขตบูรพา ถูกเฝิงเป่าด่าเปิง คิดดูแล้ว นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว……อืม……ให้ซูไฉหาโอกาสไปสร้างสัมพันธ์”

เฝิงโหย่วหนิงเป็นหลายชายเฝิงเป่า ตอนนี้เป็นนายกองพันสังกัดสำนักบูรพา ยังมีตำแหน่งระดับป๋อ มีชื่อเสียงไม่น้อยในเมืองหลวง อิ๋วชีเป็นคนสนิทท่านจาง เขาถึงกับสามารถตัดสินการอยู่หรือไปของขุนนางระดับสามได้ บรรดาขุนนางในเมืองหลวงจึงต่างพยายามสร้างสายสัมพันธ์กับอิ๋วชี ถึงกับมีคนยกน้องสาวให้อิ๋วชี

เฝิงเป่ากับจางจวีเจิ้งมีสายสัมพันธ์อันดีต่อกัน ยังเป็นพันธมิตรในราชสำนัก แต่เฝิงโหย่วหนิงกับอิ๋วชีกลับอารมณ์ร้อนไปหน่อย พบกันบนท้องถนนกลับไม่ยอมกัน เฝิงโหย่งหนิงตำแหน่งขุนนางบู๊ ผู้ติดตามย่อมเป็นทหารกล้า อิ๋วชีก็แค่คนรับใช้ทั่วไป สองฝ่ายมีเรื่องกัน อิ๋วชีจึงถูกลงมือท่ามกลางสายตาชาวบ้านบนท้องถนน

ผู้น้อยในปกครองมีเรื่องกัน จางจวีเจิ้งก็ย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อย หากเฝิงเป่าได้ยินแล้วก็ตามตัวเฝิงโหย่วหนิงมาฟาดด้วยแส้ไปยกหนึ่ง จากนั้นก็ส่งไปขอขมาจางจวีเจิ้ง

เฝิงโหย่วหนิงย่อมรู้สึกเสียหน้าผู้คนในเมืองหลวง หลายครั้งที่ดื่มมากไปยังบอกว่าอาหลานคนอื่นเหมือนพ่อลูก ไยอาหลานตระกูลเราจึงเหมือนแค่คนเดินสวนทางผ่านกัน เรื่องนี้เป็นที่โจษจันไปทั่วเมืองหลวง หลินซูลู่ย่อมรู้

“ออกไปพบครานี้ ฝากวาจากล่าวกับพวกเขาว่า ตระกูลอวี๋คิดจะทำอะไรก็ตามใจพวกเขาไป สามารถช่วยได้ก็ช่วยไป แต่พวกเราอย่างได้ข้องเกี่ยว จัดการเรื่องพวกนั้นในเมืองหลวงให้ดีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”

หลินซูลู่สั่งการด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

***************

“……ผู้ว่าชางโจวสวีกว่างกั๋ว……ปลดออกจากตำแหน่ง ให้เป็นชาวบ้าน……”

ตอนกลางวัน พระอาทิตย์ตรงหัว หากอากาศก็ยังเย็นสบาย ขุนนางรับราชโองการคุกเข่าอยู่ในโถงที่ทำการล้วนพากันเหงื่อท่วมใบหน้า ท่าทางเอนจอนาถยิ่ง

เรื่องนี้ก็แค่ช้าเร็ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าราชโองการจะมาถึงเร็วเพียงนี้ ทัพม้าจากเทียนจินมาถึงนอกเมืองได้สองวันก็กลับไป เหลือทหารไว้เพียงแค่ 50 นายเฝ้าต่อ พวกโรงบ้านนอกเมืองในพื้นที่ไม่สนใจว่าในเมืองจะยังมีทางการอยู่ หากกลับส่งเสบียงอาหารมาให้อย่างมีน้ำใจไม่เบา อีกทั้งยังส่งคนงานมาช่วยงาน

“รับราชโองการ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่น หมื่นๆ ปี……”

เสร็จขั้นตอนพิธีรีตอง ขันทีนำราชโองการก็รับเอาเงิน 100 ตำลึงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ก่อนจะรีบจากไปทันที สวีกว่างกั๋วถูกถอดยศขุนนาง บรรดาขุนนางในเมืองชางโจวบ้างก็ถูกหักเบี้ยหวัด บ้างก็ถูกลดตำแหน่ง จึงต่างหมางเมินผู้ว่าที่เป็นตัวก่อเรื่องหายนะครานี้ ตอนนี้ไม่ขับไล่ไปก็นับว่าไว้หน้ามากแล้ว

สวีกว่างกั๋วยามนี้โดดเดี่ยวเดียวดาย มองขันทีจากไป ก่อนจะหันไปถ่มน้ำลาย สบถด่าเบาๆ ว่า

“มาเร็วดีแท้!”

ถอดยศขุนนาง ขั้นตอนเสร็จในโถงที่ทำการแล้ว สวีกว่างกั๋วไม่มีที่ไป เดินกลับถึงหน้าประตูจวน ก็มีคนรับใช้วิ่งเข้ามาอย่างร้อนใจรายงานว่า

“นายท่าน ท่านจากเมืองหลวงมีจดหมายมา”

สวีกว่างกั๋วเดินเข้าไปในห้องโถงรับแขก คนผู้หนึ่งมีสีหน้าเยียบเย็นยิ่งกว่าขันทีประกาศราชโอการลุกขึ้นจากเก้าอี้ โยนจดหมายในมือลงบนโต๊ะ น้ำเสียงแข็งกระด้างกล่าวว่า

“สวีกว่างกั๋ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าสร้างความหายนะให้นายท่านเราใหญ่เพียงใด เสียดายที่ท่านไว้ใจ จากนี้ไป นายท่านเราไม่รับหลานเช่นเจ้าอีก จากนี้ตัดขาดกัน”

กล่าวจบก็ก้าวเท้ายาวออกจากประตูไปทันที สวีกว่างกั๋วนั่งลงนิ่งเงียบ หยิบจดหมายขึ้นมามองไปมองมา เป็นเอกสารรูปแบบทางการ แสดงว่าสองคนจากนี้ตัดขาดจากกันอย่างเป็นทางการ

การมีหลักฐานตัดสัมพันธ์เช่นนี้ไม่มีผลทางการอันใดนัก แม้แต่ทางการเองก็ไม่ยอมรับ สวีชิงซานทำเช่นนี้ก็เพียงเพื่อแสดงให้คนนอกรับรู้เท่านั้นว่าตนกับสวีกว่างกั๋วไม่เกี่ยวข้องอันใดกันอีก

“ตอนได้ยินว่ามีเงินทองปีละสองหมื่นตำลึง ทำไมไม่ตัดขาดเล่า”

สวีกว่างกั๋วส่ายหน้าเบะปากก่นด่า จากนั้นก็โยนจดหมายทิ้งไปอีกทาง ยามนั้นเองก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมาจากด้านนอกใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มีหญิงนางหนึ่งตะโกนอย่างตกใจหวาดกลัวว่า

“นายท่าน วันหน้าทำเช่นไร……”

สวีกว่างกั๋วยิ่งร้อนรนยิ่งขึ้น ตบโต๊ะเสียงดัง ก่อนจะคำรามดังไปว่า

“ทำเช่นไร คนยังไม่ตาย มีอันใดทำไม่ได้!”

พอเขาตะโกนใส่ หญิงนางนั้นก็เงียบทันที แต่เสียงสะอื้นไห้ก็ยังคงเล็ดรอดออกมา สวีชิงซานเป็นผู้มีสถานะสูงสุดในตระกูล ตัดสัมพันธ์กับเขา กลับบ้านก็ย่อมไม่ได้ ตอนนี้ไม่มีตำแหน่งขุนนาง ทุกอย่างก็ล้วนไม่สะดวกดังเดิม ไม่รู้ว่าจะไปที่ใด สวีกว่างกั๋วถอนหายใจ พิงพนักนิ่งเงียบไป

************

“นายท่าน บิดาและพี่ชายเป้าเอ้อร์เสี่ยวอยู่ที่เทียนจินปฏิบัติหน้าที่ตรวจจับเกลือเถื่อน เป้าเอ้อร์เสี่ยวชอบยิงธนูขี่ม้า จึงมาขอเป็นลูกศิษย์ข้าน้อย การไปครั้งนี้ก็เห็นว่าเป็นพื้นที่ชำนาญของเขา คิดไม่ถึงว่าจะสร้างความชอบใหญ่เช่นนี้”

ถานกงยิ้มแนะนำกับหวังทง เป้าเอ้อร์เสี่ยวคุกเข่าอยู่ด้านหน้า หม่าซานเปียวตอนนี้กลับไปแล้ว ทิ้งทหารไว้เพียง 50 นาย

ข่าวราชโองการจากเมืองหลวงย่อมมาถึงเทียนจินก่อนเมืองชางโจว ตอนนี้แม้แต่ 50 นายก็ไม่จำเป็น พวกถานกงเร่งมาถึงชางโจวย่อมมีความชอบ หากคิดไม่ถึงว่าผู้ว่าชางโจวนั่นสามารถเรียกรวมกำลังพลได้จากโรงบ้านต่างๆ ดีที่มีเป้าเอ้อร์เสี่ยว ความชอบนี้ไม่น้อย ย่อมต้องชมต่อหน้า

เป้าเอ้อร์เสี่ยวคุกเข่าอย่างนอบน้อมอยู่กลางโถว หวังทงยิ้มเดินเข้าไปประคองขึ้นมากล่าวว่า

“ลูกผู้ชายแท้ ครั้งนี้ลงแรงอย่างมาก”

“ขอบคุณ……ขอบคุณใต้เท้าที่ชม ล้วนเป็น……ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าน้อยควรทำ……”

อายุเป้าเอ้อร์เสี่ยวจะว่าไปก็โตกว่าหวังทงหลายปี แต่ถูกหวังทงชมเอา วาจาก็เริ่มติดอ่าง สีหน้าแดงก่ำ

หวังทงพยักหน้า เป้าตันเหวินเขาเองก็เคยพบ คนผู้นั้นฉลาดเกินไป ดูใจร้อนวู่วาม ไม่สู้เป้าเอ้อร์เสี่ยวที่ดูเรียบร้อยกว่า เมืองเหอเจียนมีคหบดีเกี่ยวพันกับการลอบค้าเกลือไม่น้อย เป้าเอ้อร์เสี่ยวเอ่ยชื่อตนออกไปก็พอสยบพวกเขาไว้ได้ ใช้ประโยชน์ได้ไม่น้อย

“เจ้าสร้างความชอบ มีสองอย่างให้เจ้าเลือก บิดาเจ้าจับผู้ลักลอบค้าเกลือเถื่อนมีลูกน้อง 400 เจ้าไปเป็นผู้ช่วย วันหน้าก็จะได้ตำแหน่งนายกองร้อย หรือมาอยู่กองกำลังหู่เวยข้า เป็นทหารนายกองธงเล็กของข้า”

นายกองธงเล็กกับนายกองร้อยระดับต่างกันไม่น้อย และทหารในสังกัดส่วนตัวหวังทงก็มีตำแหน่งน้อย นายกองธงเล็กๆ ก็มักจะมีลูกน้องเพียงแต่ 2-3 คน หากเป้าเอ้อร์เสี่ยวกลับคิดได้ว่องไว คำนับกล่าวว่า

“ได้ติดตามข้างกายใต้เท้าถือเป็นวาสนาที่ได้สั่งสมมาแต่ชาติก่อน ข้าน้อยของเป็นทหารในสังกัดใต้เท้า!!”

เป็นทหารในสังกัดหวังทงนั้นไม่เหมือนทั่วไป เป้าเอ้อร์เสี่ยวชั่งน้ำหนักดูแล้วก็รู้ หวังทงตบบ่าเขายิ้มถามว่า

“เหตุใดจึงไปอยู่กับถานกงได้?”

“ข้าน้อยชอบธนูและม้า คำนับอาจารย์หลายท่าน มาถึงเทียนจินจึงได้รู้ว่าอาจารย์ถานมีฝีกมือธนูและขี่ม้ายอดเยี่ยม จึงได้ฝากให้คนพาไป……”

***************

“นายท่าน ครั้งนี้ไปจี่หนานก็มุ่งไปยังจวนนายกองพันต่ง คนที่จวนไม่รับแขกและก็ไม่บอกว่านายกองพันต่งไปที่ใด ข้าน้อยเฝ้าอยู่สองวัน ก็ไม่ได้เรื่องอันใด จึงได้กลับมารายงานใต้เท้า”

ถานปิงกล่าวอยู่ที่ห้องโถงสภาพมอมแมม หวังทงรู้สึกไม่ได้ดังใจ แต่ก็ได้แต่โบกมือยิ้มกล่าวว่า

“หาไม่พบก็หาไม่พบ ไม่รีบในยามนี้ ลำบากเจ้าแล้ว ไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ค่อยมารายงานก็ยังทัน”

ตอนกลางวันได้พบเป้าเอ้อร์เสี่ยว ฟ้าใกล้มืด ถานปิงที่ไปซานตงก็กลับมา เพียงแต่ไม่ได้นำข่าวดีมาด้วย

“ขอบคุณใต้เท้า ไปอยู่จี่หนานมาสองวัน ได้ยินข่าวมาข่าวหนึ่ง บอกว่าโรงบ้านสองแห่งนอกเมืองของนายกองพันต่งถูกโจรเข้าปล้นชิง ตายไปไม่น้อย……”

———————-

[1] คำเรียกขานผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์รุ่นต่อไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!