ตอนที่ 460 ลูกหลานคนในกองกำลัง เกราะแกร่งเทียนจิน
โรงบ้านของนายทหารกองพันองครักษ์เสื้อแพรก็กล้าทำลาย ยังสังหารคนไปไม่น้อย การรักษาความสงบที่ซานตงช่างไม่รู้จะใช้คำใดมากล่าว
ในเมื่อหาต่งช่วงสี่ไม่พบ หวังทงก็ได้แต่คิดหาทางอื่น เขาเองก็ใช่ว่าไม่เคยคิดวิธีอื่น แต่เมื่อให้ช่างจากโรงช่างไปดูว่าสามารถสร้างเรือเลียนแบบขึ้นอีกลำได้หรือไม่ บรรดาช่างไปดูแล้วต่างก็ส่ายหน้า บอกว่าโครงเรือแม้ว่าทำออกมาได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือต่อโครง
อย่างไรต่างสายอาชีพก็เฉกเช่นต่างภูผา ของนี้ใช้บนน้ำ หากมีอันใดไม่รู้ขึ้นมาทำให้เรือจม ทำคนตาย งานอาชีพนี้คงสิ้นหวัง ต่งช่วงสี่ติดต่อไม่ได้ หวังทงตัดสินใจส่งคนไปมาเก๊า โรงต่อเรือที่กวางตุ้งทั้งของทางการและของเอกชนเองมีไม่น้อย ที่มาเก๊าบางทีอาจจะหาช่างต่อเรือต่างชาติได้ ลองเสี่ยงดวงดู
เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ หวังทงจัดงานเลี้ยงง่ายๆ ที่จวนเพื่อเป็นการต้อนรับถานปิงที่เพิ่งกลับมา ทุกคนล้วนเป็นคนคุ้นเคย จึงไม่ต้องมากพิธีรีตอง
“บุตรชายทั้งสองของถานเจียงปีนี้อายุเท่าไรแล้ว?”
คุยกันไปครู่หนึ่ง หวังทงก็ถามด้วยรอยยิ้ม ถานเจียงมองสบตากับพี่น้องก่อนจะเอ่ยว่า
“ต้าหู่กับเอ้อร์หู่ คนหนึ่งอายุ 15 อีกคนอายุ 14”
ในยุคนี้อายุ 10 กว่าก็แต่งงานได้แล้ว ไม่ถึง 20 ก็มีลูกกันแล้ว ถานเจียงปีนี้อายุ 40 กว่า นับว่ามีลูกยามสูงวัย หวังทงพยักหน้าเอ่ยถามว่า
“พี่น้องเจ้าตอนนี้ 14 คน นอกจากถานเจียงแล้ว พี่น้องคนอื่นที่มีบุตรชายอายุ 10 ปียังมีผู้ใดอีกบ้าง?”
ถานเจียงก้มหน้าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า
“ทั้งหมด 8 คน พี่น้องเราไม่ได้อยู่ติดบ้านมาหลายปี ใต้เท้าถานปักหลักฐานแล้วจึงได้เริ่มสร้างครอบครัว เด็กผู้ชายมี 20 กว่า แต่อายุล้วนไม่มากนัก”
หวังทงยิ้มพยักหน้า กล่าวว่า
“พวกเจ้าทำงานให้ข้า เวลาดูแลครอบครัวก็น้อย พวกเจ้าลำบากมาทั้งชีวิต อย่างไรก็ต้องวางแผนอนาคตรุ่งเรืองร่ำรวยให้ลูกหลาน คิดจะสำเร็จการนี้ก็ต้องมีความสามารถจึงจะได้ กลับไปถามดูว่าอยากเรียนวิชาความรู้หรือเรียนยุทธ์ เรียนยุทธ์ก็ให้มาเป็นทหารสังกัดข้า หากเรียนวิชาความรู้ก็ให้ไปหาท่านหยางหรือไช่กงกงที่ล้วนเก่งด้านนี้ และก็จะได้เรียนรู้การทำงาน”
พี่น้องตระกูลถานสบตากัน หวังทงไม่ทันสังเกตเห็น หากกล่าวต่อไม่หยุดว่า
“เป้าเอ้อร์เสี่ยวทำให้ข้านึกได้ ขอให้เป็นพี่น้องที่ทำงานให้เราระดับหัวแถว บุตรชายทุกคนเราย่อมต้องให้การศึกษา”
บรรยากาศในห้องเงียบงันไปอย่างน่าประหลาด หวังทงกล่าวจบก็เริ่มรู้สึกว่าผิดปกติ มองไปยังถานเจียง ถานเจียงลุกขึ้นคำนับสุรา กล่าวว่า
“นายท่าน พี่น้องเราแม้ว่ายังใช้แซ่ถาน แต่กับท่านแล้วก็ภักดีอย่างมาก……”
ไม่รู้ว่าเหตุใดอยู่ ๆ จึงกล่าวเช่นนี้ หวังทงอึ้งไป ก่อนจะได้สติ จึงแตะตัวถานเจียง บุ้ยใบ้ให้นั่งลง หัวเราะในลำคอยิ้มกล่าวว่า
“พวกเจ้าคิดว่าข้าต้องการคนของพวกเจ้าเป็นตัวประกันหรือ? ทุกคนร่วมเป็นร่วมตายกันมา ไม่เชื่อใจพวกเจ้า ข้ายังจะไปเชื่อใจผู้ใด แต่เรื่องพวกนี้พวกเจ้าเคยคิดกันไหม? ปีนี้พวกเจ้าอายุมากเท่าไรแล้ว ข้าจำได้ว่าถานหั่วอายุน้อยสุดกระมัง?”
พี่น้องตระกูลถานสบตากัน พวกเขาเดาไม่ถูกจริงๆ ว่าหวังทงกล่าวอันใดกันแน่ ถานปิงเอ่ยขึ้นว่า
“นายท่านจำได้แม่นยำ ถานหั่วปีนี้อายุ 33 พี่น้องเราล้วนอายุราว 35”
หวังทงพยักหน้า เอ่ยต่อว่า
“ปีนี้ข้าอายุเท่าไร พวกท่านรู้หรือไม่?”
เรื่องนี้ทุกคนย่อมรู้ ถานเจียงเอ่ยขึ้นว่า
“นายท่านปีนี้อายุ 17……”
กล่าวว่าหวังทงปีนี้อายุ 17 ทุกคนก็อึ้งไป สบตากันไปมา ต่างอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เป็นถานกงที่เอ่ยขึ้นว่า
“นายท่านอย่าได้ตำหนิ แม้ว่าในใจรู้ดี แต่ปกติติดตามท่านปฏิบัติงาน ไม่รู้สึกเลยจริงๆ ว่านายท่านอายุ 17 บางทียังรู้สึกว่าไม่ต่างอันใดกับใต้เท้าถาน คิดไม่ถึงเลยว่าท่านอายุแค่ 17”
หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“ถานหั่วปีนี้ 33 ตอนข้า 33 ถานกงก็ใกล้จะ 50 ข้า 40 กว่า หรือ 50 กว่าในวัยฉกรรจ์ ถานกงอายุเท่าไร พวกท่านอายุเท่าไรกันแล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ ทุกคนที่เข้าใจกระจ่างทันที หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ข้าต้องปฏิบัติหน้าที่ ต้องทำงาน ไม่ควรอาศัยแค่สองมือเปล่าของตน ข้างกายต้องการคนช่วยงาน พวกท่านเป็นคนที่ข้าวางใจที่สุด ร่วมเป็นร่วมตายมากับข้า ลูกหลานพวกท่านก็เหมือนญาติสนิทข้า หากไม่ช่วยเหลือเปิดทางให้ลูกหลานทุกท่านก่อนผู้อื่น หรือว่าควรไปดูแลผู้อื่นเล่า?”
ได้ยินดังนั้น พี่น้องตระกูลถานต่างเข้าใจกระจ่าง สบตากันอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกันยกจอกสุราขึ้นกล่าวว่า
“ขอบคุณใต้เท้าที่เมตตา พวกข้าน้อยขอขอบคุณล่วงหน้า!”
ดื่มคารวะหมดจอก จากนี้นก็ผลักเก้าอี้ออกคุกเข่าลง โขกศีรษะขอบคุณ ผู้เป็นบิดามารดาล้วนห่วงอนาคตบุตรหลาน หวังทงตอนนี้อยู่เทียนจินกิจการใหญ่โต ยังเป็นขุนนางคนสนิทที่ไว้วางพระราชหฤทัยของฮ่องเต้ วันหน้าย่อมมีอนาคตไกล แต่หวังทงมีคนสนิทรับใช้น้อยมาก
เป็นดังที่หวังทงกล่าวมา คนปฏิบัติหน้าที่ข้างกายเขานั้น นอกจากพวกเด็กหนุ่มจากลานฝึกหู่เวย คนอื่นๆ ก็ล้วนอายุมากกว่าเขา 10 ปีขึ้นไป เพียงแต่ทุกคนอยู่ร่วมกันมานาน หวังทงทำงานได้ราวกับผู้ใหญ่ ทุกคนก็มักจะลืมความแตกต่างระหว่างวัยไปเสียสิ้น อนาคตยังอีกยาวไกล หากขาดคนสนิทปฏิบัติงาน บุตรชายตนได้ติดตามรับใช้ ใช่ว่าได้ติดตามยิ่งใหญ่ไปด้วยหรอกหรือ
พวกเขายอมรับชะตากรรมที่ต้องรบราเสี่ยงชีวิตแล้ว หวังก็แต่อยากให้บุตรชายตนมีชีวิตที่ดีกว่านี้สักหน่อย ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนื้ ทุกคนก็ล้วนตื้นตันยินดี ทุกคนพากันคำนับขอบคุณ
“น่าเสียดายที่ใต้เท้าอวี๋จากไปก่อน ไม่เช่นนี้ลูกหลานพวกเจ้ามอบให้ใต้เท้าอวี๋ดูแล ย่อมสามารถฝึกฝนเก่งกล้าสามารถได้เร็ว ตอนนี้ก็ได้แต่มอบให้ข้าสอนสั่งแทนแล้ว”
ให้หวังทงสอนสั่งก็ย่อมดีที่สุด ทุกวันได้ใกล้ชิดนายท่าน วันหน้าย่อมมีหนทางรุ่งเรือง ทุกคนก็ย่อมไม่มีทางไม่เห็นด้วย พากันรับคำพร้อมกัน
ทุกคนนั่งลงเรียบร้อย ถานเจียงเมื่อครู่มีสีหน้าสงสัย ตอนนี้จึงรู้สึกเก้กัง จงใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปว่า
“นายท่านไม่พูดถึงพวกเราก็คิดไม่ถึง พูดขึ้นมาแล้วนอกจากพวกหู่โถวแล้ว ก็มีไช่กงกงที่อายุน้อยที่สุด ปีนี้ก็ 22 แต่เห็นทุกวันก็ดูเหมือนอายุมาก”
“ได้ติดตามใต้เท้า อายุน้อยก็ต้องเป็นผู้ใหญ่กันหมด ซุนซิงกับลี่เทาหากไม่ใช่ว่าหนวดยังไม่งอก บอกว่าอายุ 30 ก็ยังมีคนเชื่อเลย……”
ทุกคนหัวเราะฮาครื้นเครง บรรยากาศงานเลี้ยงไม่เลว
************
“ใต้เท้าหวัง โรงช่างนี้ร้อนมาก แต่ก็ขอให้ใต้เท้าทนอยู่นานสักหน่อย”
หัวหน้าโรงช่างยิ้มกล่าวขึ้น หวังทงโบกมือกล่าวว่า
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าอยู่ที่นี่ทุกวันยังไม่ร้อน พวกเจ้าทนได้ ข้าก็เช่นกัน”
เหรินย่วนผายมือเป็นการเชิญ หวังทงพยักหน้า สองฝ่ายเดินเข้าไปด้วยกัน เหรินย่วนแม้ว่าเป็นหัวหน้าสำนักปืนไฟทางการ แต่ส่วนใหญ่ก็มาขลุกอยู่ที่โรงช่างของหวังทงที่เปิดใหม่
หวังทงให้คำมั่นสัญญาว่า สิ่งใดที่โรงช่างนี้สร้างขึ้นมารวมทั้งเครื่องมือต่างๆ ก็จะให้สำนักปืนไฟได้เรียนรู้ด้วย จะถ่ายทอดให้
ก็เท่ากับว่าโรงช่างนี้เป็นโรงฝึกสำหรับสำนักปืนไฟ รับความเสี่ยงไว้ก่อน มีอันใดก้าวหน้าก็ยังต้องแบ่งปัน เหรินย่วนที่ชื่นชอบของพวกนี้ก็ย่อมยินดีปรีดา ของที่ตอบแทนแลกเปลี่ยนนั้น ทางการก็ย่อมส่งช่างชำนาญมาส่วนหนึ่ง และให้การช่วยเหลือในการก่อตั้งช่วงระยะเริ่มต้น
ปรากฎว่าตั้งแต่ต้นปีที่เริ่มก่อตั้งโรงช่าง หัวหน้าเหรินย่วนก็มาอยู่ที่นี่ทุกวัน ดูพวกต่างชาติทำงาน เห็นพวกเขาทำงานกันยุ่งวุ่นวาย หลายสิ่งที่เมื่อก่อนทำจนชำนาญ ก็มีหลายจุดหลายวิธีที่แต่ไรมาไม่เคยนึกถึงมาก่อนปรากฎอยู่ตรงหน้าตน
โรงช่างสร้างใหม่นี้อยู่ที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำห่างจากกำแพงเมืองเทียนจินไป 12 ลี้ สามเหลี่ยมปากแม่น้ำนี้ก็คือแหล่งสบแม่น้ำหลายสาย มีปริมาณน้ำมากเพียงพอ
อาศัยสภาพทางภูมิศาสตร์ขุดเป็นบ่อเก็บน้ำเล็กๆ จากนั้นก็ใช้หินสร้างเป็นทางน้ำ นำน้ำไปใช้ที่โรงช่าง เพื่อใช้เป็นแรงน้ำขับเคลื่อนการทำงานของเครื่องมือ
เรื่องการใช้เครื่องจักรพลังน้ำนี้ใช่ว่าแผ่นดินหมิงไม่มี ทว่าล้วนเป็นเพียงเครื่องโม่แป้งเท่านั้น ชาวโปรตุเกสนำแบบชาวยุโรปใช้มาประยุกต์ใช้
*************
“เอาเกราะมา!!”
เพราะหวังทงมา เฉียวต้าที่โรงช่างจึงแสดงท่าทีกระตือรือร้นอย่างมาก เขาเป็นหัวหน้าโรงช่างของหวังทง เป็นที่เกรงใจในโรงช่างมาก แม้ว่าอายุไม่น้อยแล้ว แต่ก็ขยันศึกษาหาความรู้ ทำให้ทุกคนล้วนเลื่อมใส แม้แต่ช่างต่างชาติก็ยังรู้สึกดีกับเขา
พอเขาตะโกนดัง พวกลูกมือก็รีบนำแผ่นเหล็กเรียบแผ่นหนึ่งส่งมาให้ เบื้องหน้าเฉียวต้ามีเครื่องมือบางอย่างสูงเท่าคนสามคน ด้านล่างมีไม้ท่อนใหญ่และแผ่นเหล็กเป็นฐาน ด้านบนเป็นท่อนไม้มัดด้วยเส้นเหล็กเพื่อรั้งไว้ หัวไม้หุ้มด้วยเหล็ก
เฉียวต้าใช้แผ่นเหล็กเสียบไว้ระหว่างฐานและไม้ด้านบน หันไปสั่งการด้านหลังคำหนึ่ง ลูกมือด้านหลังก็เคลื่อนห่วงรัดไว้ ประกอบอุปกรณ์ ตอกไม้ด้านบนลงมาให้แน่น
‘ตึง ตึง ตึง’ ดังขึ้นไม่หยุด ไม้ด้านบนตอกลงมา เสียงเป็นจังหวะ เฉียวต้าขยับแผ่นเหล็กที่เสียบไว้ให้เรียบร้อย ก่อนจะเห็นว่าแผ่นเหล็กเริ่มมีรอยนูนขึ้น
“อันนี้เรียกว่าเครื่องอัด ไว้สำหรับตีแผ่นเหล็ก ทำให้การทำเกราะง่ายขึ้นมาก แม้ว่าเสื้อเกราะพวกต่างชาติทำขึ้นนี้จะไม่สวยงานเหมือนของหมิงเรา แต่ใช้งานได้ดีมาก”
หลังจากเหล็กแผ่นนั้นถูกตีขึ้นรูปเป็นเกราะแล้ว ก็นั้นก็ขยับห่วงรัด หยุดอยู่ที่ไม้ด้านบน เปลี่ยนหัวไม้ด้านบนเป็นของแหลม จากนั้นเจาะรู ขยับอีกครั้งเพื่อเจาะรูอีกสองสามรู
เหริยย่วนผายมือไปก็กล่าวไปว่า
“ทำได้ถึงขึ้นนี้ เกราะส่วนหน้าอกก็ถือว่าทำเสร็จไปครึ่งทางแล้ว ยังต้องขัดเงา แต่นับว่าสำเร็จชิ้นงานส่วนใหญ่แล้ว”
อีกคนหนึ่งส่งเกราะมาให้ชุดหนึ่ง รูปแบบเหมือนกะทะไร้ฝา สองข้างมีรูระดับเอว เมื่อครู่เฉียวต้าตีออกมา ก็เหมือนกับเกราะที่อยู่ตรงหน้านี้ หน้าหลังสองแผ่น ใช้เชือกร้อยไว้ พอดีห่อร่างคนได้
เฉียวต้าปาดเหงื่อเดินเข้ามา สีหน้าภาคภูมิจใจกล่าวว่า
“นายท่าน เกราะเหล็กนี้ลองแล้ว ไม่ว่าธนูใดก็ยิงไม่ทะลุ ปืนเล็กราชวงศ์หมิงที่ดีที่สุดก็ต้องระยะ 30 ก้าว ปืนต่างชาติใช้ในระยะ 50 ก้าว……”