Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 505

ตอนที่ 505 ขึ้นหอสังเกตการณ์ ทำลายขวัญมองโกล

“ตั้งหอสังเกตการณ์บนรถ ทำรถสองคันให้ว่าง แยกเป็นซ้ายขวา พลปืนไฟบรรจุดินปืน เตรียมพร้อมรบ!”

หวังทงสั่งการเสียงเยียบเย็น ทหารรับคำสั่ง พลทหารออกไปปฏิบัติการ ใช่ว่ารถใหญ่ทุกคันจะบรรทุกของเต็มคัน พอสั่งการลงไป ก็มีรถสามคันสามารถจัดการให้ว่างลง คันหนึ่งอยู่ตรงกลางของสองคัน ชายชาวบ้านยังเคลื่อนย้ายแผ่นเหล็กและแผ่นไม้มา

แต่เรื่องนี้ ชาวบ้านทั่วไปทำไม่ได้ ล้วนเป็นระดับหัวหน้าจัดการ แผ่นไม้ขนาดเล็กใหญ่ไม่เหมือนกัน ด้านบนมีตัวเลขสีแดงเขียนกำกับไว้

แผ่นไม้ประสานกัน และใช้เหล็กขัดให้แน่น สร้างขึ้นสูงหลายชั้น ไม่นานบนรถก็มีหอสูงราวหกเชี๊ยะ และยังสร้างอยู่บนหลังคารถ ความสูงหกเชี๊ยะไปอยู่บนหลังคาก็ยิ่งสูง

มองเห็นครั้งแรก ชายฉกรรจ์ชาวบ้านก็ถึงกับอึ้งตาค้าง รู้สึกราวปาฏิหาริย์ หอสังเกตการณ์สร้างเสร็จ ชั้นบนสุดยังมีแผงรั้วกันไว้

พวกเขาด้านล่างพากันวิจารณ์ หัวหน้าที่ต่อหอสังเกตการณ์เสร็จเห็นทุกคนวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่กล่าวอันใด หากสีหน้าภาคภูมิใจ รู้กับไม่รู้วิธี ก็คือเหตุที่ว่าทำไมจึงเป็นระดับหัวหน้าได้

แต่ก็มีหัวหน้าบางคนอดไม่ได้โบกมือกล่าวว่า

“นี่เพราะบนหลังคา ไม่แน่นหนาพอ ไม่อาจสร้างสูงนัก แต่หากสร้างฐานให้แน่น ยังเติมสูงได้อีกหกเชี๊ยะ!”

กล่าวเช่นนี้ย่อมทำให้ทุกคนตะลึงอุทานดัง

นี่เป็นประโยชน์จากการตั้งโรงช่าง แผ่นไม้ต่อกันด้วยเหล็กเป็นชิ้นมาขัดกัน ตอนใช้งานก็แค่ประกอบกันขึ้น ไม่ได้ใช้เทคนิคพิสดารแปลกประหลาดอันใดนัก เป็นของง่ายๆ ที่ใช้การได้จริง

บนทุ่งหญ้าที่ไม่มีไม้ การขึ้นที่สูงสังเกตการณ์ล้วนต้องอาศัยก้อนหิน หรือไม่ก็เหยียบบนหลังม้า ความสูงไม่พอ ก็ย่อมไม่สะดวกนัก แต่หอสังเกตการณ์นี้ใช้การได้ดีในเรื่องนี้พอดี

สร้างหอสังเกตการณ์เสร็จ ทหารที่สายตาดีไม่ก็ขี่ม้ามาถึง ปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่วว่องไว รถม้าใหญ่มีม้าลากสี่ตัวสามารถบรรทุกคนได้ 20 คน พลปืนไฟขึ้นประจำแต่ละคัน ประจำอยู่ด้านซ้ายและขวา

แต่ละหน่วยเตรียมการพร้อมสรรพ หวังทงพยักหน้า ยกมือโบกไปด้านหน้า ทหารถ่ายทอดคำสั่งลงไป ทัพใหญ่เดินหน้าต่อ เดินไประยะหนึ่ง ไม่มีการก่อกวนใดอีก

หวังทงเดินไปหลายก้าวก็ถามว่า

“มู่เอิน พลปืนเจ้าสามารถตามพลปืนไปยิงสำทับไปได้ไหม?”

ถานหั่วเป็นคนบุคลิกนิ่งวางใจได้ จึงให้เฝ้าป้อมปืนใหญ่แต่ละแห่งที่เทียนจินไว้ และเลือกคนใหม่แต่ละค่ายไปฝึกเป็นพลปืนใหญ่เพิ่ม พลปืนใหญ่กองนี้ตอนนี้มีมู่เอินควบคุมการสั่งการ

ได้ยินคำถามหวังทง มู่เอินบนหลังม้าก็เข้ามาใกล้สองก้าว ครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนตอบว่า

“เรียนใต้เท้า ปืนกระสุนสองชั่งเกรงว่าจะไม่ได้ ปืนเสือหมอบก็ไกลไป ได้แต่ปืนกระสุนชั่งครึ่งขอรับ แต่ความแม่นไม่แน่ใจนัก!”

หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า

“ปืนใหญ่หนึ่งกระบอกประจำรถหนึ่งคัน ปฏิบัติ!”

มู่เอินรับคำสั่ง ขี่ม้าออกไปจัดการอย่างรวดเร็ว

คนนำทางที่ควบออกไปก็ได้ยินหอสังเกตการณ์ด้านหลังมีทหารตะโกนดังว่า

“ทางซ้าย ระหว่างรถคันที่ 30-31!”

ทัพรถม้าเรียงแถว จากต้นถึงปลายล้วนมีหมายเลขเรียงลำดับ ตะโกนลำดับออกมาก็พอจะกะตำแหน่งได้ พลปืนไฟบรรจุดินปืนอยู่บนรถม้ากำลังอยู่ในตำแหน่งรถคันที่ 60 พอได้ยิน พลรถม้าก็รีบขับรถม้ามุ่งไป

“รถคันที่ 34!”

กองทัพใหญ่เคลื่อนกำลัง รีบไปยังตำแหน่งนั้น ตำแหน่งเปลี่ยนไป ทหารบนหอสังเกตการณ์จับตามองไม่กระพริบ ตะโกนดังว่า

“ห่างออกไปราว 150 ก้าว!”

รถใหญ่หยุด เข้าประชิดรอบนอกก่อนเปิดแผ่นไม้ให้พลปืนไฟกระโดดลงมาอย่างเป็นระเบียบ ด้านรถม้าคันที่ 34 มีพวกทหารราบราว 50 นายยืนอยู่สองข้างพลปืนใหญ่ นายกองร้อยคนหนึ่งนำขึ้นหน้าไปกำกับ จัดแถวเรียงแนวราบก่อนจะก้าวประชิด

นับก้าวเดินไป ตั้งใจฟังเสียงตะโกนจากหอสังเกตการณ์ พอถึงระยะ 50 ก้าว ด้านหน้ายังคงมีหญ้าสูงบดบังสายตา พริ้วไหวไปมา มองเป็นเงาแวบๆ แต่ไม่เห็นอันใด พลปืนไฟจึงเตรียมจุดชนวน พลปืน 20 นายเข้าแถวสองแถว นายกองร้อยตะโกนดัง ลั่นไกปืนพร้อมกัน ยิงไปอย่างพร้อมเพรียง

เสียงปืนไฟแผดดัง ต้นหญ้าแห้งด้านหน้าถูกยิงกระจุย ปลิวกระจาย ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนหลายเสียง ยังมีเสียงม้าร้อง พลราบร้อยนายตะโกนขึ้นพร้อมกันไปอยู่ด้านหน้าพลปืนไฟ เรียงแถวแนวนอนเดินขึ้นหน้าประชิด

ยามนี้จึงได้เห็นพุ่มหญ้าแห้งหลายสิบก้าวด้านหน้า มีทหารมองโกลหลายสิบนายโผล่ออกมา ขึ้นม้าไม่สนใจอันใดพากันควบหนีไป

“ด้านซ้ายไม่มีคน กลับ กลับ!”

คนบนหอสังเกตการณ์ตะโกนดัง บรรดาทหารจึงได้เก็บทวนยาวถอยกลับ ยามนั้นเอง ทัพใหญ่เคลื่อนทัพอยู่ตลอดแต่ต้น ไม่ได้รับผลกระทบอันใด

พลปืนไฟโดดขึ้นรถม้า พลทวนยาววิ่งกลับเข้าแถว ในทัพเริ่มวุ่นวาย หลายคนร้องอย่างยินดี เดิมถูกพวกมองโกลก่อกวนจนวุ่นวายใจ ยามนี้กลับเริ่มฮึกเหิม

หวังทงหันกลับไปมองยิ้มกล่าวว่า

“ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ยามนี้สังหารศัตรูแม้ไม่ได้ตัดหัว แต่ก็คิดความชอบตามกฎการป้องกันเมือง ย่อมไม่เอาเปรียบพวกเขา!”

ทหารรับคำสั่งหน้ำตาจริงจัง รีบควบม้าออกไปถ่ายทอดคำสั่ง คำสั่งไปถึง ทางนั้นก็มีเสียงร้องยินดี ทหารทุกคนฮึกเหิมกันขึ้นมาแล้ว

ใบหน้าหวังทงมีรอยยิ้ม ถามถานเจียงว่า

“ม้าที่พวกเรานำมาจากจางเจียโข่ว เหมือนว่าเป็นม้าสูงใหญ่ ช่างลำบากพวกมองโกลจริงๆ ถึงกับเอาม้าที่เหมือนกับลาเช่นนี้มาได้”

ถานเจียงหัวเราะกล่าวว่า

“ครั้งนั้นนายท่านดูแต่ว่าม้าดี แท้จริงแล้วม้าเช่นนี้ ก็แค่ไม่เหมาะกับทัพนายท่าน จึงได้ขายให้พวกเจ้าของที่ในเมืองเหยียนชิ่งกับเป่าอันไป อย่าเห็นว่าม้าเตี้ย แต่มันสามารถกะเทาะน้ำแข็งหารากหญ้ากินเองบนทุ่งหญ้าได้ ยังมีกำลังอดทนมาก พวกมองโกลครั้งนี้น่ากลัวว่าจงใจเลือม้าเตี้ยพวกนี้มา ก็เพื่อมาเข้าใกล้พวกเราอย่างไม่รู้ตัว!”

ม้ามองโกลมีข้อดีจริง หวังทงพยักหน้า แต่แนวทางในการสร้างทัพม้าของเขาย่อมยังคงเป็นม้าใหญ่งามสง่า มีกำลังจู่โจมยามสวมเครื่องม้าเต็มยศ อย่างไรที่เทียนจินก็ไม่ใช่ศัตรูทุ่งหญ้า

กล่าวกันไปอีกสองสามคำ หวังทงก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้ ถามว่า

“พวกมองโกลรู้ภาษาพวกเราเยอะไหม?”

ถานเจียงส่ายหน้ากล่าวว่า

“รู้ภาษาฮั่นเรา หากไม่ใช่ชนชั้นสูงก็ต้องพวกคอยรับใช้ชนชั้นสูง มีน้อยมาก หากพูดภาษาเราได้ดี เข้าด่านมาก็จะไปทำงานประจำให้เจ้าของที่ดิน ดีกว่าทนทรมานบนทุ่งหญ้ามากนัก!”

หวังทงพยักหน้า บรรยากาศบนทุ่งหญ้าเลวร้ายเกินไป หน้าหนาวยาวนาน หน้าร้อนแสนสั้น และหลายปีนี้ได้ยินมาว่า บนทุ่งหญ้าเห็นว่าเขียวชอุ่มราวทะเล ม้าแพะวิ่งไปมา แต่ภาพเหล่านี้ปีหนึ่งก็มีแค่ไม่กี่เดือน พอเข้าหน้าหนาว ทุกครั้งที่หิมะตกหนักแต่ละเผ่าก็จะประสบภัยพิบัติ ม้าแพะจำนวนมากรวมทั้งคนก็จะหนาวตาย คิดจะมีชีวิตรอดก็ได้แต่เข้าไปขอพึ่งพิงเผ่าใหญ่ แต่เผ่าใหญ่พวกนั้นก็ทำได้แค่รวมกำลังคนเอาไว้ให้ตอนหน้าหนาวลงใต้ไปปล้นชิง ไปเป็นกองหน้าให้โดนปืนใหญ่ยิงเอาเท่านั้น

ทางเดียวที่จะมีชีวิตที่ดีก็คือทำการค้ากับแผ่นดินหมิง แต่จากตะวันออกไปตะวันตก หลายด่านก็ถูกพวกเผ่าอันต๋าครอบครองไว้ ไม่อาจมีเผ่าเล็กๆ ใดแทรกตัวเข้ามาได้ พอถึงฤดูใบไม้ร่วงและหนาวของทุกปี นอกจากหนาวตายแล้ว ก็มีแต่ขอพึ่งพิงเผ่าใหญ่ แต่เผ่าอันต๋าก็ไม่อาจเลี้ยงดูคนจำนวนมากได้ ได้แต่ขับไล่ให้พวกเขาลงใต้ไปปล้นชิงเอา นี่เป็นวัฎจักรอันแสนชั่วร้าย

ทว่าหวังทงที่ถามว่าเข้าใจภาษาฮั่นไหม ไม่ใช่เพื่อเรื่องนี้ ทหารบนหอสังเกตการณ์ตะโกนดัง เสียงดังมาก หากทหารมองโกลที่มาฟังเข้าใจ ก็ไร้ความหมาย แต่ตอนนี้เห็นท่าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้แล้ว

พลปืนใหญ่ด้านหลังภายใต้การนำของมู่เอินรายงานหวังทงเบาๆ ขี่ม้าไปทางหอสังเกตการณ์ พอถึงด้านล่างก็หารือกับทหารบนหอ ทหารบนหอมองมาทางหวังทง หวังทงโบกมือเป็นสัญญาณ ทหารบนหอจึงได้พยักหน้า

ทัพใหญ่เดินไปได้ราวครึ่งชั่วยาม ตลอดทางไม่มีพวกมองโกลปรากฎตัวขึ้นตามพุ่มหญ้าอย่างกะทันหันอีก พวกชายฉกรรจ์ชาวบ้านที่มากับทัพใหญ่ก็เริ่มผ่อนคลายลง ทำงานไปคุยเฮฮากันไป พวกเขาไม่ได้สังเกตว่าบนหอสังเกตการณ์ลุกขึ้นยืนชะโงกออกไปดูหลายครั้ง

รถม้าใต้หอสังเกตการณ์ไม่รู้ว่ามีทหารวิ่งมาตอนไหน เงยหน้าขึ้นเป่าปากเป็นสัญญาณขึ้นไปด้านบน

เป็นเวลายามเที่ยงตรงแล้ว เบื้องบนสั่งการมาว่า รอให้พักค่าย ทุกคนก็ให้กินอาหารแห้งประทังไปก่อน คืนนี้จะมีอาหารร้อนกรุ่นได้กินกัน ทุกคนรู้สึกว่าไม่เท่าไร อย่างไรอาหารแห้งก็มีติดตัวกันทุกคน และก็ไม่ได้หนาวเหน็บมากนัก

พลทหารที่อยู่บนหอคุยกับทหารที่มาเป่าปากส่งสัญญาณ จากนั้นก็รีบโดดลงจากรถม้าไป รถม้าด้านขวาเปิดทางให้ออกไป

ไม่นานก็ใช้ม้าลากปืนใหญ่กระบอกเล็กมาถึงด้านขวาของรถม้าคันที่ 40 พลปืนไฟตามมาด้านหลังอย่างฮึกเหิม พอปืนหยุดลง ก็มีคนมีรีบเข้ามาดึงไม้ที่ปิดปากกระบอกออก มีคนหยิบกระสุนใส่ลงไป พร้อมไม้ทำความสะอาดปากกระบอกสองสามที จากนั้นก็เข็นรถบรรจุกระถางไฟมาจะไฟรอไว้

ปืนกระบอกเล้กนี้สองข้างมีทหารประจำสองนาย วางมือไว้บนตัวปืน ในวันอากาศหนาวเหน็บปืนก็ย่อมเย็นเยียบ พวกเขาไม่กลัวมือจะหนาวแข็งไป

พอจัดการกันเรียบร้อย คนบนหอก็เป่าปาก ในเวลานั้นเอง ทางขวาราวหลายสิบก้าวไกลออกไปมีพวกทหารมองโกล 20 นายได้โผล่ตัวออกมา แต่ละคนมีธนูยาวพร้อม ปากก็ตะโกนภาษาแปลกๆ เสียงดัง พลปืนไฟไม่ได้เตรียมตัว เหตุใดอยู่ๆ มีพวกมองโกลปรากฎตัว และเข้ามาใกล้เช่นนี้ได้

ทหารปืนใหญ่จ้องมองพวกมองโกลไม่วางตา ชี้ไปทางขวา ขยับไม่หยุด ทหารสองข้างปืนใหญ่ขยับปืนใหญ่ไปทางด้านขวาก่อนจะ “ยิง!”

เสียงนายกองธงเล็กสั่ง คนข้างๆ ก็คว้าท่อนเหล็กจากในกระถางไฟที่จุดแดงฉานออกมา ไปจ่อที่ชนวนจุด ครั้งนี้ตัดสายไว้สั้น เสียงระเบิดดัง กระสุนปลิวไปอย่างรวดเร็ว

“ตูม” ดังขึ้น เสียงร้องแปลกประหลาดของพวกมองโกลดังขึ้น 20 กว่าคนรวมตัวกันอยู่ที่เดียว เป้าหมายไม่เล็ก มีคนถูกกระสุนเข้าเต็มๆ มองไกลๆ ก็เหมือนว่าครึ่งตัวกระจุยระเบิดกระจาย หากอานุภาพกระสุนไม่ลดลง ทหารอีกสองนายข้างๆ ก็ถูกระเบิดตัวไปด้วยเช่นกัน

เลือดเนื้อปลิวกระจาย พวกมองโกลส่งเสียงร้องโหยหวนไม่เป็นภาษา จากนั้นก็กลายเป็นเสียงร้องดังอย่างเจ็บปวด คนเหล่านี้โยนธนูในมือทิ้ง ขึ้นหลังม้าหนีไปทันที ด้านหลังมีเสียงร้องตะโกนชมดังสนั่นหวั่นไหว

จากปืนใหญ่นี้ยิงไปถึงค่ำนี้ตั้งค่าย ทั้งคืนไร้การรบกวน สงบสุขอย่างยิ่ง……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!