ตอนที่ 570 ความลับทั้งมวล ล้วนมีปม
ผู้คนมักกล่าวว่า ‘หัวหน้าประตูมหาอำมาตย์เทียบเท่าขุนนางระดับเจ็ด’ แต่สถานะหัวหน้าประตูท่านจางยามปกติย่อมได้รับประโยชน์มากมาย ใต้หล้านี้นอกจากพื้นที่อุดมสมบูรณ์แล้ว จะมีระดับเจ็ดที่ใดจะมีสถานะและได้ของบรรณาการเช่นนี้กัน
หัวหน้าประตูผู้นี้เป็นคนเก่าแก่ที่ท่านจางนำมาจากเจียงหลิงด้วย ว่ากันว่าตอนนี้ที่บ้านเกิดและนอกเมืองล้วนมีโรงบ้านใหญ่ ในเมืองก็มีหน้าร้านค้า น้องชายก็ได้เป็นผู้ว่าอยู่เมืองหนึ่ง ทั้งตระกูลล้วนร่ำรวยเงินทองวาสนา
มีชีวิตเช่นนี้แม้ว่ามีสถานะบ่าวรับใช้ แต่ในเมืองหลวงนอกจากขุนนางใหญ่แล้ว ผู้ใดพบเห็นเขาแล้วไม่นอบน้อมบ้าง
ระดับนายกองพันสำนักองครักษ์เสื้อแพร หัวหน้าประตูท่านจางยังไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง ทุกคนล้วนรู้ว่านายกองพันองครักษ์เสื้อแพรในเมืองหลวงก็ถือว่ามีระดับแล้ว หากอยู่พื้นที่อื่นแค่กระทืบเท้าก็ทำให้รอบด้านสะเทือนได้แล้ว
“มาจากไหนกัน ส่งเทียบนัดหมายมาก่อนหรือไม่!”
หัวหน้าประตูจวนจางจวีเจิ้งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ลุก รินชาให้ตนเองถามอย่างไม่สนใจนัก ขุนนางบู๊เบื้องหน้าเขาท่าทางนอบน้อมยิ่ง ก้มกายคำนับ กล่าวอย่างสุภาพนอบน้อมว่า
“พี่หลี่ยังจำข้าน้อยได้หรือไม่? ข้าน้อยต่งช่วงสี่ส่งยาให้ท่านจาง ท่านอิ๋วชีให้ข้ามา”
“ส่งยา” “ท่านอิ๋วชี” พอได้ยินคำเหล่านี้ หัวหน้าประตูก็เงยหน้าขึ้น ชี้มือถามว่า
“เจ้าเป็นคนที่มาจากซานตง ส่ง……ส่ง……”
“ส่งแมวน้ำขอรับ”
ต่งช่วงสี่รีบยิ้มตอบรับ ตอนยิ้มในมือยังส่งก้อนเงินไปให้ หัวหน้าประตูผู้นั้นรับเงินไปก็โยนไปข้าง พยักหน้ากล่าวว่า
“เข้าไปได้ เสี่ยวลิ่ว เจ้านำท่านนี้เข้าไป เข้าไปพบท่านอิ๋วก่อน”
หันไปตะโกนดัง คนงานด้านในก็รับคำเสียงดัง ต่งช่วงสี่จึงได้ก้มศีรษะคำนับก่อนตามเข้าไป ด้านหลังมีชายแบกหาบสองคนเดินตาม
พอพ้นประตูใหญ่ไป เลี้ยวมุม ก็มีสองคนดูเหมือนเดินผ่านมากำลังคุยกัน แต่สายตาก็มุ่งมายังหน้าประตูใหญ่ พวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นทั่วบริเวณ จริงๆ ก็คือเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตาหมด
“ถุย มารดามันสิ หัวหน้าประตูมหาอำมาตย์เทียบเท่ากับระดับผู้ว่าเลยนะ รับเงินมันก็ถือว่าไว้หน้าแล้ว สักกี่คนที่ส่งมอบเงิน ยังไม่อาจทำได้!”
“เห็นชุดมันแล้วน่าจะเป็นนายกองพันองครํกษ์เสื้อแพรกระมัง ไม่รู้ว่าเอาสิ่งใดมาส่ง”
“ไม่รีบๆ รอให้เจ้านั่นออกมาก่อน เราค่อยไปเขตทักษิณหาสุราดื่มกัน คืนนี้จัดหาสาวๆ มาบริการสักหน่อย ไว้ค่อยคุยกันตอนนั้น”
************
ถนนทักษิณฝั่งกำแพงเมือง มีโกดังและลานกว้างไม่น้อย ล้วนเป็นที่เงียบ ไม่มีบ้านเรือนผู้คนอาศัย นอกจากทหารประตูเมืองผลัดเปลี่ยนเวรแล้ว ก็ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมา
โกดังและลานกว้างมีเรือนหลังหนึ่ง หากไม่สังเกตก็ยากจะพบ ที่นี่มองไม่เห็น ต้องเดินเข้าไปจึงจะเห็นชัด แต่ผู้ใดจะว่างทำเรื่องพวกนี้ ว่างจะเดินเข้าไปดูกัน
“พี่รอง พี่ไปบอกพี่ใหญ่หน่อย ข้าไม่กล้าก่อเรื่องอีกแล้วไม่ได้หรือ? ปล่อยข้าออกไปเถอะนะ!”
โกดังมีรั้วกั้นสูง ในนั้นถึงกับมีเรือนพักแห่งหนึ่ง สร้างได้ไม่เลว ไฉฝูหลินอยู่ในห้อง ร้อนรนอย่างมาก ครู่หนึ่งก็คำรามดัง ครู่หนี่งก็ร้องขอหลินซูฝู
หลินซูฝูสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวว่า
“อยู่ที่นี่กินอยู่ดี ผู้หญิงของเจ้าก็อยู่ด้วย เจ้ายังบ่นอันใดอีก ออกไปทำไมกัน หรือจะปล่อยเจ้าให้ออกไปก่อเรื่องกัน? หลายครั้งแล้ว เพื่อสนองความต้องการของเจ้า หรือว่าจะทำงานใหญ่เสียหายได้กัน อย่าเอาแต่กล่าววาจาเหลวไหลรีบอ่านอันนี้ก่อน เจ้าดูซิว่าเห็นอันใดหรือไม่ ดูว่ามีอันใดสะดุดใจหรือไม่!”
ไฉฝูหลินฮึดฮัดหลายคราก่อนจะยกเท้าถีบเก้าอี้ ชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่หน้าประรู สีหน้ายังคงนิ่งเฉย ไม่มองมาแม้แต่น้อย หลินซูฝูเองก็นั่งนิ่ง มองมาอย่างเย็นชา ไฉฝูหลินเดินวนไปวนมาหลายรอบ รู้สึกว่าน่าเบื่อทำอันใดไม่ได้ จึงได้แต่นั่งลงหน้าโต๊ะเริ่มพลิกอ่านเอกสาร
พลิกไปสองหน้า ก็เคาะนิ้ว กล่าวว่า
“ล้วนเป็นพวกขุนนาง ได้ยินชื่อมาไม่น้อย แต่ไม่เคยคบหา แต่ต่งช่วงสี่คนนี้รู้จัก เขาเป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรแห่งซานตง เมื่อก่อนอยู่เทียนจินเคยทำการค้าทะเลด้วยกัน ตอนนี้น่าจะคบหากับหวังทงอยู่ เขาไปส่งแมวน้ำให้จางจวีเจิ้ง”
“แมวน้ำ!?”
“พี่รองท่านไม่เคยกินหรือ เจ้านี่ผสมยา ช่วยพละกำลังมากเลยนะ!”
************
สำนักองครักษ์เสื้อแพรประจำเทียนจินอยู่ในเมือง แต่ตอนนี้ศูนย์กลางเมืองเทียนจินอยู่ที่คลองส่งน้ำแห่งหนึ่ง แม่น้ำทะเลแห่งหนึ่ง แค่สองแห่งนี้เท่านั้น ตอนนี้สำนักองครักษ์เสื้อแพรในเมืองเงียบมาก
หลังจากใต้เท้าหวังขาหายดี ก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนเป็นครั้งแรก ก็ที่สำนักองครักษ์เสื้อแพรในเมืองแห่งนี้ ที่นี่ปกติมีนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรประจำอยู่สองนาย นับว่าเป็นการรักษาความปลอดภัยในเมือง
“คุกใต้ดินทำความสะอาดแล้วหรือยัง?”
“เรียนใต้เท้า ได้รับม้าด่วนแจ้งจากใต้เท้า คุกใต้ดินก็ย่อมทำความสะอาดเรียบร้อย และยังเพิ่กระถางจุดไฟไว้ด้วย”
หวังทงเดินไปก็คุยกับนายกองร้อยไป ในห้องหนึ่งกับอีกห้องหนึ่งของสำนักองครักษ์เสื้อแพรแห่งนี้ มีคุกใต้ดินหนึ่ง ที่นี่ทำความสะอาดเรียบร้อย ด้านหน้ามีคนถือโคมไฟนำลงไป
คุกใต้ดินมีขนาดราวสามเท่าของห้องด้านบน กำแพงทุกสองสามก้าวจุดตะเกียงน้ำมันไว้ ที่ลมผ่านได้ก็เดินไปยังปล่อยควันของห้องนั้น ลึกลับมาก ทำให้คุกใต้ดินไม่อึดอัด
ได้รับคำสั่งจากหวังทงที่นี่ก็ทำความสะอาดกันรอบหนึ่ง แต่ยังคงมีกลิ่นประหลาด เห็นหวังทงดมไปขมวดคิ้วไป นายกองร้อยที่นำทางก็รู้สึกลนลาน รีบกระซิบว่า
“ที่นี่ไม่ได้ใช้นานแล้ว ปิดเอาไว้ตลอด ได้รับคำสั่งใต้เท้าจึงได้ทำความสะอาด พวกข้าน้อยปกติไม่ได้มาดูแล ขอใต้เท้าโปรดอภัย!”
หวังทงโบกมือกล่าวว่า
“ไม่ใช่พวกคุณชายคุณหนูอันใด ไม่ต้องตำหนิตนเอง ข้าจะส่งคน 11 คนมาให้เจ้าเฝ้าไว้ อย่าให้หนาวตาย ป่วยตาย ถูกทรมานตายหรือหิวตาย ให้พวกเขามีชีวิตต่อดีๆ ที่นี่ก็พอ”
นายกองร้อยรีบคำนับรับคำสั่ง หวังทงมองรอบๆ ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดไป เดินไปกล่าวไปว่า
“นอกจากพวกเจ้านายกองร้อยสองคนแล้ว หากไม่มีป้ายคำสั่งจากข้า ไม่ให้ผู้ใดเข้าไป หากเกิดเหตุผิดพลาด ให้เอาหัวพวกเจ้ามาพบข้า!!”
ได้ยินวาจากล่าวหนักของหวังทง นายกองร้อยผู้นั้นก็รีบคำนับตามแบบทหาร
เดินออกจากคุกใต้ดิน ก็รู้สึกหายใจคล่องขึ้นมาหน่อย อากาศหนาวแล้ว หวังทงกระชับชุดนวมบนตัวให้แน่น พอออกไปก็เห็นจางซื่อเฉียงวิ่งมาอย่างเร็ว
************
เส้นทางน้ำและทางบกของเทียนจินล้วนมีด่านภาษี คนม้าเดินทางผ่านไปมาก็ต้องถูกเรียกตรวจรอบหนึ่ง เพราะเงินก้อนจินฮวาจำนวนมากส่วนหนึ่งนั้นก็มาจากค่าสินค้าผ่านทางพวกนี้ พ่อค้าไม่น้อยเพื่อหนีภาษี ล้วนแอบลักลอบขน ด่านย่อมตรวจค้นสิ่งเหล่านี้
ฤดูใบไม้ผลิ ร้อนหรือใบไม้ร่วงจะตรวจเส้นทางน้ำและทางทะเล พอถึงฤดูหนาวก็จะตรวจทางบก หลักๆ แล้วก็คือเส้นทางเมืองเทียนจินไปเมืองหลวง และอำเภอและเมืองต่างๆ ในเขตปกครองเหนือ บรรดาพ่อค้าเตรียมของสำหรับขายปีใหม่ก็เริ่มขนส่งกันมา
ปฏิบัติงานมาหลายปี ทางเทียนจินก็เริ่มวางระเบียบปฏิบัติเป็นรูปเป็นร่าง พอถึงฤดูหนาว เจ้าหน้าที่เส้นทางน้ำก็จะหันมาตรวจเส้นทางบกแทน ของลักลอบเส้นทางน้ำและบกจะมีความเชื่อมโยงกัน
ซานตงกับเมืองเหอเจียนไปเมืองหลวง ส่วนใหญ่มาตามเส้นทางคลองส่งน้ำไปทางเหนือ มาถึงเทียนจินก็ไปทางตะวันตก ผ่านอำเภอเซียงเหอและทงโจว จากนั้นเข้าสู่เมืองหลวง
เพื่อพ่อค้าและคนเดินทาง เส้นทางจากกำแพงเมืองเทียนจินตะวันตกออกไปห้าลี้ก็มีพื้นที่ว่างที่จัดตั้งด่านขึ้น คนหรือสินค้าผ่านทางมาถึง ก็ย่อมหยุดให้ตรวจก่อน แล้วค่อยปล่อยให้เดินทางต่อ
เดิมเพราะการตรวจทั้งรถและม้าผ่านไปมา ทำให้เส้นทางติดขัด ทุกคนต่างลำบากต่อแถวอย่างมาก เป็นหวังทงที่คิดวิธีออก แม้ว่าจะเป็นวิธีง่ายๆ แต่คนผ่านไปมาก็ล้วนชมกันไม่ชาด คิดว่าเป็นวิธีการที่ฉลาดอย่างมาก
ใช้อิฐแดงฝังลงในพื้นดินเป็นช่องสี่เหลี่ยมขนาดสิบก้าว รถม้าจอดในช่อง เจ้าหน้าที่สามคนหนึ่งกลุ่มเข้าตรวจสอบ
คนที่ผ่านทางมาบ่อยเข้าก็ล้วนรู้ธรรมเนียมนี้ ทุกคนก็รอคอยเงียบๆ ต่อไป ยังมีพ่อค้าหาบเร่แบกตระกร้าสานขายอาหารกินเล่นหลากหลาย ดูมีชีวิตชีวามาก
ปีที่ 9 ในรัชสมัยว่านลี่นี้ต่างกับเมื่อก่อนมาก เจ้าหน้าที่กลุ่มละสามคนยังคงมีอยู่ แต่พื้นที่นี้กลับมีเจ้าหน้าที่อีก 20 กว่าคงวิ่งไปมารอบๆ บางคนไปดูรถม้า บางอย่างก็ไม่ดู
บางทีเทียนจินอาจรับคนใหม่มา ทุกคนไม่สนใจ
ช่องด้านหน้ามีรถม้าสองคัน นอกจากสัตว์ลากรถแล้ว ยังมีม้าและลาอีกหลายตัว คนรับใช้ที่ตามมาก็ดูท่าทางแข็งแรงดี
รถม้าและสัตว์ลากก็ดูปกติดี แต่คนมีสายตาแหลมคมก็ย่อมมองออกว่าเป็นตระกูลใหญ่ออกเดินทาง ไม่เช่นนั้นก็ย่อมไม่ยิ่งใหญ่ร่ำรวยเช่นนี้
“ในรถมีผู้หญิงหรือไม่ หากมี พวกเราจะตามเจ้าหน้าที่หญิงมาตรวจดู”
เจ้าหน้าที่กล่าวกับชายขับรถม้า หญิงในตระกูลใหญ่ไม่อาจให้ผู้คนทั่วไปได้พบเห็นใบหน้า แต่หากอาศัยเหตุนี้ในการซุกซ่อนอันใดไว้บนรถได้ เทียนจินจึงไม่อาจไม่ตรวจสอบ ดังนั้นจึงได้ว่าจ้างเจ้าหน้าที่หญิงไว้สิบกว่าคน ล้วนเป็นญาติกับพวกองครักษ์เสื้อแพร คนผ่านทางไปมาแม้ไม่ยอม แต่ก็ไม่อาจหาเหตุมาปฏิเสธได้
“เรียนใต้เท้า ไม่มีผู้หญิง นายท่านเรากลัวความหนาว อยู่ในรถ นายท่าน ท่านเจ้าหน้าที่ท่านนี้ต้องการตรวจดูขอรับ”
เสียงตอบรับดังขึ้นด้านใน คนรถยิ้มเลิกม่านขึ้น ด้านในมีชายวัยกลางคนหนวดเคราเต็มหน้ำกำลังอุ้มเตาให้ความอุ่นอยู่ในมือพยักหน้าให้ด้านนอก
เจ้าหน้าที่เห็นแล้ว ก็กวาดตามองในรถ ส่งสัญญาณให้คนรถปิดม่านลง ส่งไม้ลงชาดแดงให้แผ่นหนึ่ง กล่าวว่า
“เอาป้ายนี้ไป เดินทางกลับมาจะได้สะดวก”
คนรถรีบพยักหน้าหงึกๆ ตรวจเสร็จแล้ว ขบวนรถก็จัดระเบียบรอบหนึ่งก่อนจะเดินทางต่อ
แต่ก่อนจะออกจากพื้นที่ตรวจไป ก็มีเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งเอื้อมมือหยุดรถไว้ คนรถรีบเข้ามาฉีกยิ้ม นอกจากตรวจสอบปกติแล้ว ตอนนี้ยังมีเจ้าหน้าที่เลือกสุ่มตรวจอีกครั้ง ทุกคนล้วนรู้ดี
แต่เจ้าหน้าที่สุ่มตรวจนี้ดูใต้ท้องรถแล้ว ก็กวาดตามองรถอีกคราหนึ่งก่อนจะโบกมือให้ไปได้
เจ้าพนักงานสุ่มตรวจเอาแต่มองตามรถม้านี่เคลื่อนไกลออกไป เมื่อครู่เจ้าหน้าที่สามคนก็วิ่งมา เห็นขบวนรถเคลื่อนออกไปแล้วก็ถามอย่างตื่นเต้นว่า
“ใช่ผู้นั้นหรือไม่?”
“แปดส่วนใช่?”