Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 812

ตอนที่ 812 ไห่รุ่ยชราภาพแล้ว

เจ้ากรมตรวจสอบเป็นตำแหน่งสำคัญ และยังมีอำนาจตรวจสอบ มีอำนาจคุมพื้นที่ เจ้ากรมตรวจสอบซ้ายดูแลสำนักตรวจสอบ เจ้ากรมตรวจสอบขวาดูแลเมืองหลวงและผู้บัญชาการมณฑลทหารกับผู้ตรวจการ กองตรวจการนอกเมืองหลวง ล้วนอยู่ใต้การควบคุมของสำนักตรวจสอบ อำนาจนี้นับว่าใหญ่ไม่เบา

ว่ากันว่าพอไห่รุ่ยคืนตำแหน่งเป็นเจ้ากรมตรวจสอบฝ่ายขวา สถานะสูง แผ่นดินหมิงยังแบ่งขุนนางเป็นสองชุด ชุดส่วนกลางคุมเมืองหลวง และชุดหนานจิงคุมหนานจิง

ขุนนางหกกรมกองที่หนานจิงนอกจากเสนาบดีกรมทหารแห่งหนานจิง ที่เหลือก็เรียกได้ว่าเป็นงานว่างเปล่า ถูกคนล้มมาจากเมืองหลวง แต่ยังไม่ถึงที่ตาย มักจะถูกส่งมาประจำงานที่ว่างเปล่าที่หนานจิง มีอีกอย่างคือ ในราชสำนักตำแหน่งเต็ม จึงให้ไปประจำที่หนานจิงรอก่อน รอเมืองหลวงต้องการค่อยมาเติมเต็ม นี่ก็เป็นทางลัด มากไปกว่านั้นก็พวกเห็นแล้วรำคาญใจ จะปลดตำแหน่งก็ไม่จำเป็น ก็โยนไปไว้ที่หนานจิง

พวกเช่นไห่รุ่ยแม้ว่ามีชื่อเสียงใต้หล้า แต่ในวงการขุนนางเป็นคนที่น่ารำคาญมาก หลังได้กลับคืนตำแหน่ง เมืองหลวงไม่มีใครอยากให้เขามา จึงส่งเข้าไปแขวนตำแหน่งไว้ที่หนานจิง

แม้เป็นเช่นนี้ แต่ไห่รุ่ยก็ยังยื่นฎีกาไม่หยุด คนใต้หล้าล้วนตัดจางจวีเจิ้งกับเฝิงเป่าทิ้งแล้ว แต่เขากลับยื่นฎีกาว่าไม่อาจเสียสิ่งที่ตั้งไว้เพราะตัวบุคคล เรื่องดีที่จางจวีเจิ้งทำยังต้องรักษาไว้ ทว่าไม่มีผู้ใดรับฟัง

ที่หนานจิงทุกคนล้วนเป็นขุนนางไร้อำนาจ ดังนั้นจึงมีชีวิตที่อิสระสบายๆ กว่าในเมืองหลวง แม่น้ำฉินไหวมีชื่อเสียงงดงามทั่วหล้า ก็ไม่รู้ว่ามากเท่าไรที่ล้วนเป็นขุนนางว่างงานพวกนี้ยกยอขึ้น ปกติทุกคนเข้ารายงานตัวตอนเช้าจึงปรากฏตัวกัน จากนั้นก็ล่องลอยว่างงานเอ้อระเหยไปเรื่อย ทุกคนรู้กันดี เป็นขุนนางสูงก็ดูๆ งานไปงั้นๆ บางทียังร่วมเฮฮากับลูกน้องอีกต่างหาก

ไห่รุ่ยกลับไม่ยินดี เขายื่นฎีกาฟ้องขุนนางร่วมงานแต่ละคนพวกนี้ ถึงกับต้องการให้ลงโทษ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนไม่รู้จะรับมือเช่นไร

แต่เพราะมีชื่อเสียงใต้หล้า จึงให้เขาได้ดำรงตำแหน่งนี้ต่อไป เปลี่ยนคนย่อมเป็นไปไม่ได้ ก็ได้แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้กันไป

เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องเล็ก ขุนนางในราชสำนักได้ยินแล้วก็ยังชมเชยอยู่สองสามคำ บอกว่า ‘ไห่กังเฟิงเป็นคนตรงไปตรงมาจริง’ กัดเรื่องตระกูลสวีที่ซงเจียงไม่ยอมปล่อย ขุนนางใหญ่ราชสำนักย่อมไม่ยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยว

บอกว่าคนก็จากไปแล้ว ปีที่ 10 รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ สวีเจี้ยล้มป่วยจากไป สวีเจี้ยระดับใด สามารถโค่นเหยียนซงได้ นับว่าเป็นขุนนางเก่าแก่ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้หลงชิ่งกับฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนี้

กาวก่งเป็นสหายเขา จางจวีเจิ้ง จางซื่อเหวยและเซินสือหังก็ล้วนเป็นศิษย์เขากับรุ่นหลัง ในบรรดาใต้หล้าขุนนางระดับสามขึ้นไป คนเช่นนี้มีมาก

ต้องการแตะต้องตระกูลสวี ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าจะถูกขุนนางใหญ่คนอื่นดูแคลนหรือโจมตีหรือไม่ ตอนไห่รุ่ยขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ตรวจการศาลอิงเทียนตอนนั้นที่มีอำนาจแล้ว ยังถูกสวีเจี้ยที่อำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิดไปโค่นลง ตอนนี้เป็นตำแหน่งว่างเปล่าไร้อำนาจสั่งการ ผู้ใดยังจะไปสนใจเขาอีก

************

หลายเมืองตอนใต้และเขตปกครองใต้มีความพิเศษ เพราะมีคนรวยมาก วัฒนธรรมเข้มข้น เป็นแหล่งรวมบัณฑิตแผ่นดินหมิง สร้างผลสำเร็จมากที่สุด มีคนเก่งยอดเยี่ยมที่สุด พวกลูกหลานเจ้าของที่ดินตอนใต้ในเมืองต่างๆ นี้ก็ล้วนเป็นกลุ่มบุคคลที่มักสอบได้คะแนนดีที่สุดในการสอบขุนนาง

ระบบการสอบคัดเลือกขุนนางแผ่นดินหมิง บัณฑิตกลุ่มที่สอบได้คะแนนดีที่สุด วันหน้าก็ย่อมได้เป็นเสนาบดีหรือเจ้ากรมในหกกรมกอง หรือเป็นผู้บัญชาการมณฑลทหาร ผู้ตรวจการ เจ้ากรมปกครอง หรืออาจได้เข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่ โอกาสมีมากกว่าผู้อื่น

แผ่นดินหมิงตั้งมาสองร้อยปี สั่งสมมานาน เมืองต่างๆ ในเขตปกครองใต้ ลองชี้เล่นก็ย่อมเจอว่าเป็นญาติกับขุนนางใหญ่ในราชสำนัก มีผู้หนุนหลังก็ย่อมมีกิจการใหญ่โต เป็นผู้ยึดครองที่ดินทางใต้แต่ละแห่งเอาไว้มากมาย พื้นที่ในแต่ละเมืองก็ตกอยู่ในมือคนกลุ่มนี้ยิ่งมาก คนพวกนี้จัดการทำนาไป พร้อมกับการลงทุนในการค้าด้วยผลผลิตจากที่นาไปด้วย ความร่ำรวยไหลมาเทมาราวกับลูกหิมะกลิ้งมาก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

พอร่ำรวยมาก ก็สามารถจัดหาการศึกษาให้บุตรหลานได้ดียิ่งขึ้น ก็สามารถทำให้บุตรหลานได้สอบเข้ารับราชการได้ง่ายยิ่งขึ้น จากนั้นระบบก็หมุนเวียนต่อไป อำนาจตระกูลใหญ่ก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ขุนนางพวกนั้นยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขา เส้นทางขุนนางก็ยิ่งรุ่งโรจน์

สถานที่เช่นนี้แม้ว่าอุดมสมบูรณ์ แต่ขุนนางท้องที่ที่ไปประจำที่เช่นนี้ก็จะถูกวงการขุนนางมองว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากและโชคร้ายมาก

เหตุผลก็ง่ายมา เจ้านั่งเกี้ยวมาตามท้องถนน ชนกับใครสักคน ยังไม่ทันที่เจ้าจะโมโห นายท่านนั้นก็จะเอาเรื่องก่อน เจ้าถามตำแหน่งนายท่านนั้นเข้า ในใจคิดว่ามาวางอำนาจอันใดต่อหน้าขุนนางเช่นตนได้ แต่พอสอบถามให้ชัด ดีเลย นายท่านนี้มีญาติเป็นขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง

ฟังแล้วเหมือนเรื่องเล่าในตำรา แต่ที่จริงแล้วเป็นความจริงยิ่ง เอาแค่นายอำเภอต้าซิงกับหวั่นผิงในเมืองหลวงสองอำเภอนี้ ก็ได้ชื่อว่าสามชาติคงเป็นโจรมา จึงได้รับผลกรรมมาเป็นขุนนางที่นี่ได้ เพราะที่นี่ล้วนเป็นขุนนางระดับสูงและชนชั้นสูงอยู่กันมาก เจ้าแค่ขุนนางระดับเจ็ดจะไปทำอันใดได้ การยากจะเป็นขุนนางแดนใต้ก็มีเหตุผลเช่นเดียวกัน

ขุนนางท้องที่ยากทำหน้าที่ คนในราชสำนักเองก็ระวังเรื่องที่นี่มาก พื้นที่หลายเมืองแดนใต้ มีขุนนางอยู่ราวสี่ส่วนหรือมากกว่านั้น หากขุนนางท้องที่ทำการผิดพลาด แตะต้องเข้าคนหนึ่งก็ย่อมถูกพรรคพวกเขากลุ่มหนึ่งเล่นงาน แตะต้องตระกูลหนึ่งก็ย่อมถูกพรรคพวกทั้งอำเภอทั้งเมืองเล่นงาน หรืออาจถึงกับถูกพรรคพวกในราชสำนักโจมตีได้

หลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิงที่ดูเป็นความหวังก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย แม้ว่าหลี่ซานไฉเป็นคนทงโจว แต่ก็ร่วมเป็นพรรคพวกเดียวกัน ร่วมเป็นกำลังสร้างชื่อเสียงให้กันและกัน

จะว่าไป เมืองซงเจียงมีเจ้าของที่ดินที่ใหญ่ที่สุดก็คือตระกูลสวี สวีเจี้ยเคยเป็นมหาอำมาตย์แผ่นดินหมิง สวีฝานเคยเป็นเจ้ากรมแห่งกรมโยธา ลูกศิษย์มากมาย ตอนอยู่บ้านเกิด ก็ยังให้ความช่วยเหลือได้ ถึงกับช่วยดูแลพวกเขาในวงการขุนนางได้ด้วย ไม่รู้ว่าคนมากมายเท่าใดได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลสวีนี้ ในท้องที่ไม่รู้มีคหบดีมากมายเท่าไรที่ต้องการได้รับการคุ้มครองจากตระกูลสวี หลายปีมานี้ อิทธิพลตระกูลสวีถึงระดับใดกันแล้ว แต่คิดก็รู้ได้

**************

การมีอยู่เช่นนี้หากแตะต้องเข้า ก็จะทำให้ถูกราชสำนักรุมโจมตีไม่ว่า หากเกิดขุนนางใหญ่ในราชสำนักมีคนใดสนิทกับตระกูลสวี แอบยื่นฎีกาหรือทำอันใด เช่นนี้ก็ย่อมเห็นได้ว่าจะทำกันไปทำไมให้ลำบากตนเอง

ตอนนั้นไห่รุ่ยไม่ใช่ว่าเป็นเพราะไต้เฟิ่งเสียนหรอกหรือ จึงต้องถูกปลดไป จากนั้นก็ถูกจางจวีเจิ้งกดไว้ให้ว่างงานอยู่สิบกว่าปี ไห่รุ่ยยังกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อย เขาตัวคนเดียวไม่กลัว แต่ทุกคนในราชสำนักกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ผู้ใดอยากจะถูกโจมตีด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้กัน อาจถูกขุนนางใหญ่ในราชสำนักจัดการลับหลังก็ได้

อย่าว่าแต่ไห่รุ่ยเลย แม้แต่ตอนอำนาจจางจวีเจิ้งรุ่งโรจน์อยู่ การตรวจสอบที่นาก็ยังไม่กล้าไปถึงเมืองซงเจียง แอบให้การคุ้มครองที่นา แอบซ่อนไม่จ่ายภาษี ใต้หล้าหัวหลุดจากบ่าไปตั้งเท่าไร มีแต่ตระกูลสวีที่ไม่สะเทือน นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าอิทธิพลอำนาจ

ไม่มีใครบ้าตามไห่รุ่ย ไห่รุ่ยอายุมากแล้ว ว่ากันว่าสุขภาพก็ไม่ดีนัก เรื่องตระกูลสวีอาจเป็นเรื่องที่เขาติดค้างอยู่ เขาจึงดึงดันยื่นฎีกา ทว่าขุนนางในราชสำนักก็เพียงเห็นเป็นเรื่องตลก ผู้ใดจะไปจริงจังด้วยกัน

เดือนหก ชัยชนะใหญ่หวังทงเป็นที่รู้กันและจบลง พระราชทานบรรดาศักดิ์และการเปลี่ยนแปลงในราชสำนักเพราะชัยชนะใหญ่นี้ก็เป็นที่แน่นอนแล้ว ชัยชนะของหลี่เฉิงเหลียงเมืองเหลียวโจวก็เป็นที่แน่นอนแล้ว แม้ว่าจะพระราชทานรางวัลตระกูลหลี่หนัก แต่สถานการณ์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ตอนนี้ราชสำนักเงียบสงบดี ทุกคนล้วนเบื่อหน่ายอยู่บ้าง

ระบบที่จางจวีเจิ้งวางไว้เริ่มค่อยๆ ยกเลิก เงินที่ราชสำนักเก็บมาได้ก็เริ่มน้อยลง ชัยชนะใหญ่นอกด่านทำให้ความกดดันชายแดนแผ่นดินหมิงลดลงไปมาก กรมอากรเริ่มเสนอว่าหรือจ่ายงบการทหารน้อยลง แต่กรมทหารกลับยืนยันว่าไม่ได้ ทุกคนรู้ดีแก่ใจ ลดงบทหาร กรมทหารทางนั้นมีคนรวยน้อยลงเท่าไร

แต่เพราะเงียบสงบ ดังนั้นเมื่อไห่รุ่ยยื่นฎีกาอีกครั้ง จึงทำให้ทุกคนนำออกมาคุยกันเป็นเรื่องตลก เป็นเรื่องคุยกันสัพเพเหระไปเสียอยางนั้น

ราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่สวีกั๋วหัวเราะแล้วก็ยังพลิกฎีกาไห่รุ่ยไปมา อย่างไรก็ต้องตอบลงไป ให้คำตอบสักหน่อย เพราะสำหรับคนเช่นไห่รุ่ยนั้น ทิ้งไว้หรือเงียบไปนั้นไม่ค่อยเหมาะนัก อย่างไรก็เป็นคำสั่งจากสำนักส่วนพระองค์ คณะเสนาบดีใหญ่จัดการไปตามระเบียบก็พอ

เปิดฎีกาออกอ่าน เดิมคิดว่าจะตวัดพู่กันแล้วก็จบเรื่อง สวีกั๋วยกพู่กันขึ้นค้างไว้ ลังเลครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นเดินไปหาหวังซีเจวี๋ยกับเซินสือหัง ยามนี้เสนาบดีในคณะเสนาบดีใหญ่ และบรรดาขุนนางอาลักษณ์ในคณะเสนาบดีใหญ่ที่กำลังยุ่งกันอยู่ก็รู้ตัว

บรรยากาศสบายๆ ในห้องจางหายไป เซินสือหังกับหวังซีเจวี๋ยขมวดคิ้วอ่านจบ หวังซีเจวี๋ยกระซิบว่า

“ท่านอำมาตย์ บางทีฝ่าบาทอาจไม่ทรงรู้ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ หรือว่าต้องไปทูลให้ทรงทราบดีกว่า ไปสนใจเจ้ารังแตนนั่นทำไมกัน ท่านอำมาตย์ พรุ่งนี้ตอนเข้าเฝ้า……”

เซินสือหังยกมือขึ้น กล่าวว่า

“จางเฉิงกับจางจิงจะไม่รู้ที่มาที่ไปเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน แม้ว่าเขาไม่รู้ หรือว่าสำนักรักษาความสงบตรวจสอบไม่ได้กัน?”

กล่าวจบก็เคาะฎีกาในมือสองที ก่อนจะเสียงดังขึ้นว่า

“เสนาบดีหวัง รบกวนท่านสักครู่ มีเรื่องหารือ”

การตรวจสอบที่นาเป็นงานของกรมอากร เสนาบดีกรมอากรหวังหลินดูแลเรื่องนี้

**************

“ฝ่าบาท หวังทงฝากกระหม่อมมาถามว่า เขาจะส่งของหมั้นหมายได้เมื่อใด”

จางเฉิงยิ้มกว้างถาม ในเมื่อฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเคยรับปาก ว่าหวังทงกลับมาก็จะถามเรื่องแต่งงาน ตรัสแล้วไม่คืนคำ ต้องจัดการแล้วก็ต้องแจ้งให้ทรงทราบสักหน่อย จะได้ไม่ทรงตำหนิเอา

ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังเสวยพระสุธารสชาและขนมตะวันตกอยู่ พอได้ยินก็ทรงยิ้มตรัสขึ้น

“หญิงตระกูลหานหรือ เล่ามาหน่อย?”

“ทูลฝ่าบาท หญิงผู้นี้ชื่อว่าหานเสีย เป็นหลานสาวของหานไท่ผิงในฝ่ายในเรา หานเสียมีพี่ชายแท้ๆ เป็นนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพร ครั้งนี้ตามไปรบที่เมืองกุยฮว่าเฉิง ความชอบไม่น้อย ตัดหัวมาได้มาก กลับมาก็มีรางวัลสองอย่างให้เลือก หนึ่งเป็นนายทหารในกองกำลังหู่เวย ไม่เช่นนั้นก็เป็นรองนายกองพันกองลาดตระเวน”

ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลพยักหน้า วางขนมในพระหัตถ์ลง เช็ดไปมาก่อนตรัสว่า

“หวังทงแต่งกับน้องสาวลูกน้อง ความสัมพันธ์ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ยิ่งไว้ใจได้ยิ่งขึ้น!”

จางเฉิงยิ้มจะกราบทูลต่อ ก็คิดลังเล แม้ว่าไม่มีอันใดเหนือคาดหมาย แต่ก็รู้สึกว่าไม่ควรพูดยามนี้ แต่เงียบไปสักพัก ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตบหน้าผาก แย้มสรวลตรัสว่า

“เราจำได้ว่ามีชื่อจางหงอิง……”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!