ตอนที่ 536
ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
เมิ่งฮ่าวค่อยๆ ยื่นมือตบลงไปบนถุงสมบัติช้าๆ ทันใดนั้นศีรษะก็ปรากฏขึ้นอยู่ในมือ นี่เป็นศีรษะของบุรุษหนุ่มชุดดำ ซึ่งแปลงร่างมาจากค้างคาวคำ
ถึงแม้ว่าในตอนนี้ จริงๆ แล้วมันดูไม่เหมือนกับมนุษย์เพียงใดนัก แต่ดูเหมือนค้างคาวมากกว่า ดวงตามันว่างเปล่า แต่ก็ยังคงมองเห็นได้ถึงความหวาดกลัว และสิ้นหวังอยู่ภายในดวงตาของมัน ใครก็ตามที่มองมา ก็คงต้องเกิดปฏิกิริยาขึ้นอย่างรุนแรง จนไม่อาจจะอธิบายออกมาได้
เมิ่งฮ่าวตั้งใจที่จะเก็บศีรษะนี้ไว้ เพื่อใช้แก้ไขข้อพิพาทอันไร้ความจำเป็นใดๆ การตายไปของฮูเหยียนชิ่งได้ถูกจัดฉากโดยค้างคาวดำ ด้วยความตั้งใจจะโยนความผิดมาให้เขา เมิ่งฮ่าวไม่รู้ว่าปรมาจารย์ฮูเหยียน จะสามารถรับรู้ถึงร่อยรอยเบาะแสเหล่านี้ได้หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงเก็บศีรษะนี้ไว้เพื่อช่วยตอบคำถามทั้งหมด
เขาหันร่างแวบขึ้น ขณะที่มุ่งหน้าตรงไปยังหนึ่งในเมืองสิบด่าน ของทะเลม่วงทะเลทรายตะวันตก ซึ่งเขารับรู้ได้ในตอนที่จิตสำนึกหลอมรวมเข้ากับทะเลม่วง
ที่อยู่ใกล้มากที่สุดก็คือด่านที่เจ็ด
“ด่านทั้งหมดนี้ถูกคุ้มกันโดยผู้ฝึกตนดินแดนสีดำ เห็นได้ชัดว่าผู้ที่จะมีทรัพยากรซึ่งสามารถสร้างด่านที่สูงตะหง่านเช่นนั้นได้ ต้องเป็นพันธมิตรศาลสวรรค์เท่านั้น”
“ข้าจะส่งมอบศีรษะนี้ไปที่ด่านนั้น ต้องมีผู้คนที่นั่นสามารถส่งมันไปถึงมือปรมาจารย์ฮูเหยียนได้อย่างแน่นอน” เมิ่งฮ่าวเดินทางไปอย่างรวดเร็วเป็นเวลาสามวัน มาถึงจุดที่อยู่ห่างไกลออกไป ซึ่งเขาได้สังเกตเห็นว่า มีสิ่งที่คล้ายกับเป็นยานบินมากมายหลายลำ กำลังลอยอยู่เหนือน้ำทะเล เชื่อมต่อกันเพื่อก่อตัวเป็นด่านอย่างหยาบๆ
มีอาคารบ้านเรือนที่สร้างขึ้นจากไม้อยู่ไม่น้อยอยู่บนยานบินเหล่านั้น และมองเห็นเป็นผู้ฝึกตนนับพันอยู่ด้านบน เสียงพูดคุยดังก้องออกไปทั่วทั้งท้องทะเล ทำให้ภาพที่เห็นทั้งหมดนี้มีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
มีผู้ฝึกตนจำนวนหยิบมือกำลังลาดตระเวณไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา พวกมันสวมใส่ชุดยาวสีดำ ปักเป็นลายผีเสื้อกำลังบินอยู่ภายในชั้นของกลุ่มเมฆ แน่นอนว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นผู้คุ้มกันเมืองผู้ฝึกตนส่วนใหญ่มักจะมาทำการแลกเปลี่ยนซื้อขายกันในที่แห่งนี้ กองกำลังในดินแดนสีดำวางแผนที่จะใช้ด่านเหล่านี้ เป็นรากฐานสำหรับสร้างสถานที่อีกมากกว่าหนึ่งร้อยแห่ง ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
แน่นอนว่าต้องมีค่ายกลเวทคอยปกป้องด่านเหล่านี้จากสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้เมิ่งฮ่าวจะใช้มากกว่าวิญญาณดวงแรก ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะขยายสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าไปด้านในได้
เมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้เมืองประมาณยามเที่ยง การมาถึงของเขาฉับพลันนั้นก็ทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่ในด่านเกิดความสนใจขึ้นในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คุ้มกันเมืองซึ่งมีดวงตาเบิกกว้าง พื้นฐานฝึกตนขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่วิญญาณแรกก่อตั้งของเมิ่งฮ่าว ทำให้พวกมันระมัดระวังตัวขึ้นมาในทันใด พวกมันไม่ทำอะไรที่จะไปขัดขวางเขา แต่
ปล่อยให้เข้าไปในเมืองอย่างง่ายดาย
ทันทีที่เข้าไปในเมือง เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกได้ถึงพลังแห่งค่ายกลเวทที่กวาดผ่านเขาไป ซึ่งคล้ายกับสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง มันปกคลุมไปทั่วร่างจากนั้นก็หยุดชะงักลง ราวกับว่ากำลังเตรียมที่จะจับกุมเขาไว้
เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย เขามาที่นี่เพื่อพบกับพันธมิตรศาลสวรรค์ ถ้าผู้คนในที่แห่งนี้กำลังค้นหาเขาโดยเฉพาะ ก็หมายความว่าเพราะการตายไปของฮูเหยียนชิ่ง ปรมาจารย์ฮูเหยียนจึงได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าไว้แล้ว ซึ่งก็หมายความด้วยว่ามันได้รู้จักตัวตนของเมิ่งฮ่าวแล้ว
ถ้าไม่มีใครค้นหาเขาเป็นการพิเศษเฉพาะ นั่นก็จะต้องครุ่นคิดเพิ่มเติมให้มากขึ้นกว่าเดิม
ขณะที่เมิ่งฮ่าวมาถึง ชายชราสองคนกำลังนั่งเข้าฌาณอยู่ ในยานบินที่ดูหรูหราท่ามกลางยานบินมากมายที่สร้างขึ้นมาเป็นเมืองหน้าด่าน
หนึ่งในชายชรานั้นสวมใส่ชุดยาวสีแดง และอยู่ในขั้นสุดท้ายวิญญาณแรกก่อตั้ง ชายชราอีกคนที่ด้านข้างสวมใส่เสื้อคลุมยาวสีดำ และมีรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์สีสดใสอยู่บนใบหน้า ดวงตามันปิดอยู่ และกระจายพื้นฐานฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งที่ไม่คงที่ออกมา ซึ่งกำลังเข้าใกล้วงจรอันยิ่งใหญ่ แต่ก็ยังคงอยู่ห่างอีกพอสมควร
ชายชราทั้งสองนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งมากที่สุด ซึ่งถูกพันธมิตรศาลสวรรค์ส่งมายังสถานที่แห่งนี้
ทันทีที่เมิ่งฮ่าวก้าวเท้าลงไปยังเมืองหน้าด่านนี้ ทันใดนั้นจอภาพเรืองแสงก็แวบขึ้นอยู่ที่เบื้องหน้าของสองชายชรา
คนทั้งสองลืมตาขึ้นมา มองไปยังจอภาพนั้น ครั้นแล้วพวกมันก็มองเห็นเมิ่งฮ่าว
บนจอภาพ เมิ่งฮ่าวถูกปกคลุมด้วยแสงสีแดงที่สั่นไหวไปมา แสงนั้นไม่ได้กระจายออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าว แต่เป็นค่ายกลเวทของด่าน ซึ่งกำลังแสดงตำแหน่งของเขาออกมา!
“ระดับสีแดงในรายการนำจับ…คนผู้นี้…”
“ก็คือมัน! นั่นเป็นคนที่ปรมาจารย์ฮูเหยียน ได้ใส่ไว้ในรายการนำจับด้วยตัวเอง เมื่อไม่กี่วันก่อน” ดวงตาของสองชายชราเบิกกว้าง ขณะที่พวกมันสบตากัน ทั้งสองมีสีหน้าจดจ่อและครุ่นคิด
“ข้าจำได้จากข้อมูลในรายการนำจับ ถ้าผู้ใดแจ้งต่อปรมาจารย์ฮูเหยียน ก็จะได้รับอาวุธเวทที่สร้างขึ้นมาโดยท่านปรมาจารย์เอง! และถ้าใครจับเป็นมันได้ ปรมาจารย์ฮูเหยียนก็จะเป็นหนี้คนผู้นั้น!”เปลวไฟแห่งความมุ่งหวัง ลุกโชนอยู่ในดวงตาของสองชายชรา เห็นได้ชัดว่าพวกมันทั้งสองคิดเหมือนกัน
พวกมันมองดูซึ่งกันและกันชั่วขณะ สีหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ด้วยการเป็นผู้ฝึกตน ทำให้พวกมันไม่เกรงกลัวต่ออันตรายใดๆ สิ่งที่พวกมันหวาดกลัวก็คือขาดความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับอันตราย นอกจากนี้รางวัลอันยิ่งใหญ่…มาพร้อมกับการเผชิญหน้ากับอันตรายอันยิ่งใหญ่เท่านั้น!
การมีปรมาจารย์ตัดวิญญาณเป็นลูกหนี้ส่วนตัว มีคุณค่ามากพอที่จะทำให้ต้องมาเผชิญหน้า กับสถานการณ์ที่อันตรายนี้อย่างแน่นอน ถึงแม้จะดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะมีพื้นฐานฝึกตนที่แปลกๆ ซึ่งอยู่ในขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่วิญญาณแรกก่อตั้งก็ตามที แต่ถ้าพวกมันร่วมมือกับผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งคนอื่นๆ รวมทั้งค่ายกลเวท ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้
“เปิดค่ายกลเวท!”
“ผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งทั้งหมด ถึงเวลาที่จะลงมือกันแล้ว!”
แทบจะในเวลาเดียวกับที่ผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งทั้งหมด ในด่านที่เจ็ดได้รับข้อความจากสองชายชรา เมิ่งฮ่าวกำลังเดินผ่านฝูงชนในส่วนกลางของด่าน เขามองไปรอบๆ ยังความเร่งรีบและคึกคักของภาพที่เห็นทั้งหมด ด้วยสีหน้าค่อนข้างมึนงง ตอนนี้เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเพิ่งจะโผล่ออกมาจากการนั่งเข้าฌาณตามลำพังมากกว่าหนึ่งร้อยปี
“ร้อยกว่าปีแล้ว…” เขาถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ความทรงจำค่อยๆ ไหลบ่าราวกับเป็นสายน้ำอันเชี่ยวกราก ทันใดนั้น เขาก็รำลึกไปถึงใบหน้าที่คุ้นเคยทั้งหมด ซึ่งเคยมาในตอนที่เขาหลอมรวมเข้ากับทะเลม่วง
เขาคิดไปถึงน้ำตาหยดนั้น
เต็มไปด้วยความหดหู่โศกเศร้าเสียใจ เขาเดินผ่านเข้าไปในด่าน จนกระทั่งเข้าไปใกล้ชายขอบที่อยู่ห่างไกลออกไป ในตอนนี้เองที่ทันใดนั้นเขาก็หยุดลงและมองขึ้นไป เป็นครั้งแรกในช่วงเวลามากกว่าหนึ่งร้อยปี…ที่แรงสั่นสะเทือนแห่งโทสะได้วิ่งผ่านไปทั่วร่าง
ที่ด้านบนเบื้องหน้าเขา ที่กำลังถูกแขวนอยู่บนราว…เป็นผู้คนมากกว่าห้าสิบคน
ผู้คนทั้งห้าสิบกว่าคนนั้น ส่วนใหญ่กำลังหอบหายใจอย่างร่อแร่รวยรินและใกล้จะตกตายไปได้ทุกเมื่อ อันที่จริงก็ได้ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ซากศพของพวกมันแขวนอยู่ที่นั่น สัมผัสได้ถึงองค์ประกอบต่างๆ ที่ปกคลุมไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
ร่างพวกมันเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ ยากที่จะบอกได้ว่าพวกมันได้อดทนกล้ำกลืนต่อทัณฑ์ทรมานมามากมายเท่าใด กลุ่มคนที่ยังไม่ได้ตายไปมีสีหน้าว่างเปล่า ราวกับว่าพวกมันกำลังมองไปยังบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ห่างไกล, ไกลออกไปมากๆ
ไม่มีใครในพวกมันส่งเสียงร่ำไห้ครวญครางหรือแผดร้องออกมา พวกมันทั้งหมดรักษาความสงบเงียบไว้
หนึ่งในคนเหล่านั้นเป็นหญิงชรา ใบหน้านางมีแต่รอยเหี่ยวย่น ร่างกายแห้งเหี่ยว และเต็มไปด้วยริ้วรอยแผลเป็น เส้นผมเป็นสีขาวโพลน เห็นได้ชัดว่านางใกล้จะตายแล้ว อย่างไรก็ตามถ้ามองดูให้ละเอียด ก็จะบอกได้ว่าในสมัยที่หญิงชราผู้นี้ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว นางเป็นหญิงสาวที่งดงามผู้หนึ่งสายตานางมองออกไปยังที่ห่างไกล ดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ยากที่จะบอกได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าจิตใจนางกำลังลุกโชนด้วยพลังชีวิตที่กำลังเผาไหม้อยู่ ราวกับว่าจิตใจนางกำลังมีโทสะเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างน่าเหลือเชื่อ
เสียงกระหึ่มกึกก้องดังเต็มอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าว และความเย็นเยียบอันเข้มข้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็เต็มอยู่บนใบหน้า ราวกับว่ามันไม่ได้ปรากฏขึ้นมานานกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว แม้ในตอนที่เผชิญหน้ากับค้างคาวดำ โทสะของเมิ่งฮ่าวในตอนนั้น ก็ยังไม่อาจจะเทียบได้กับความรู้สึกที่เขากำลังประสบอยู่ในตอนนี้ได้
ร่างกายเขาสั่นสะท้าน ขณะที่โทสะเริ่มเดือดพล่านจนถึงขีดสุด จนเขาไม่อาจจะควบคุมมันได้ ความเย็นเยียบเริ่มสาดประกายออกมาพร้อมกับจังหวะการเต้นของหัวใจ น้ำแข็งปรากฏขึ้นบนแผ่นไม้ที่ใต้เท้า และคลื่นขนาดใหญ่ก็เริ่มม้วนตัวไปทั่วบนพื้นผิวของทะเลม่วง ที่อยู่ด้านนอกด่าน
จิตใจเขาทันใดนั้นก็เต็มไปด้วยความทรงจำเมื่อในอดีตที่ผ่านมา
“ผู้อาวุโส, นี่ก็คือพี่สาวข้า, อูหลิง”
“ถ้าเจ้ากล้าหลอกลวงน้องชายข้า, ข้าก็จะไม่รอให้เจ้าตายไปก่อน!”
“ผู้อาวุโส ข้า, อูหลิง ยินดีที่จะทำอะไรก็ได้ให้กับน้องชายข้า ทุกสิ่งทุกอย่าง! ข้าทำได้แม้แต่…” เสียงเหล่านี้ดังก้องอยู่ในจิตใจ จนดูเหมือนจะกลายไปเป็นหญิงชราที่อยู่เบื้องหน้าเขาในตอนนี้ครั้งหนึ่งนางเคยเป็นหญิงสาวเยาว์วัย เมื่อกาลเวลาผ่านไป ก็ได้เปลี่ยนความงดงามของนางให้กลายเป็นความเก่าแก่โบราณ
เมิ่งฮ่าวแทบไม่อาจจะจดจำได้ว่าหญิงชรานางนี้ ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็น…อูหลิง!
สำหรับคนอื่นๆ ที่กำลังถูกแขวนอยู่บนราว เมิ่งฮ่าวจดจำได้สี่ถึงห้าคน พวกมันไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็น…สมาชิกของเผ่าจินอู! (อีกาทองคำ)
ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังสมาชิกของเผ่าจินอู ผู้ฝึกตนบางคนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นก็มองมาและถอนหายใจยาว พวกมันจ้องไปยังกลุ่มคนเผ่าอูจินที่ถูกแขวนอยู่ และพูดคุยด้วยเสียงแผ่วเบา
“มีสมาชิกของเผ่าจินอูเฮยหลง (อีกาทองมังกรดำ) ถูกแขวนอยู่ในด่านทั้งสิบ พวกมันไม่ควรจะไปมีเรื่องกับเผ่าเทียนฉง (คล้อยตามสวรรค์) และปรมาจารย์ฮูเหยียนเลย”
“อันที่จริงควรจะตำหนิอดีตเซิ่งจู่ภาพศักดิ์สิทธิ์ของพวกมัน มันได้ไปสังหารบุตรชายเพียงคนเดียวของปรมาจารย์ฮูเหยียน ซึ่งเป็นการยั่วโทสะท่านเป็นอย่างมาก กองกำลังทั้งหมดในดินแดนสีดำต่างก็ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ในสิ่งที่เกิดขึ้นนี้”
“ฮิ ฮิ ซากศพและผู้ฝึกตนใกล้ตายเหล่านี้ ต่างก็เพื่อจะบังคับให้อดีตเซิ่งจู่ภาพศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าจินอูโผล่หน้าออกมา ถ้าข้าจำไม่ผิด นามของมันก็คือเมิ่งฮ่าว, ใช่หรือไม่?”
“ข้าได้ยินมาว่า เผ่าเทียนฉงได้ประกาศว่า ถ้าเมิ่งฮ่าวไม่แสดงตัวขึ้น เผ่าเทียนฉงก็จะสังหารสมาชิกหนึ่งร้อยคนของเผ่าจินอูทุกวัน”
คำพูดเหล่านี้ทิ่มแทงเข้าไปในจิตใจเมิ่งฮ่าวราวกับเป็นใบมีดอันแหลมคม รู้สึกราวกับว่าจิตใจกำลังถูกเฉือนออกเป็นชิ้นๆ ใบหน้าซีดขาว และน้ำแข็งที่อยู่ใต้เท้าก็เริ่มหนาแน่นมากยิ่งขึ้น
ลมหายใจเริ่มเร่งร้อนแหลมคม ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดและเริ่มเป็นสีแดงก่ำ
เขาไม่เคยจะคาดคิดเลยว่า ปรมาจารย์ฮูเหยียนจริงๆ แล้ว…ก็กระทำสิ่งที่ไร้จิตใจเช่นนี้ได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันไม่สนใจเมิ่งฮ่าวโดยสิ้นเชิง นี่เป็นการกระทำของใครบางคน ที่คิดว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งกว่าคนอื่นๆ ถึงแม้มันจะรู้ว่าเหตุการณ์นั้นไม่ใช่เมิ่งฮ่าวเป็นผู้กระทำ มันก็ยังคงจะลากเขาให้เข้ามาพัวพันด้วย
“เผ่าจินอู…” เสียงกระหึ่มของทะเลม่วงเริ่มดังรุนแรงมากขึ้น มีผู้ฝึกตนไม่น้อยกำลังมองออกไปด้วยความประหลาดใจ มีบางคนได้สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง ที่ดูเหมือนจะแปลกไปเล็กน้อยเกี่ยวกับเมิ่งฮ่าว
ท่ามกลางกลุ่มห้าสิบคนที่ถูกแขวนอยู่บนราว อูหลิงทันใดนั้นก็ดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง ด้วยการใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก นางหันหน้ามาและ…มองไปยังเมิ่งฮ่าว
ทันทีที่นางมองเห็นเขา สีหน้าตกตะลึงก็เต็มอยู่บนใบหน้า
อย่างช้าๆ รอยยิ้มค่อยๆ ขยายออกไป เมิ่งฮ่าวมองไปที่นาง ด้วยสีหน้ารู้สึกสำนึกผิด แต่ส่วนใหญ่จะเป็นโทสะอย่างที่ไม่อาจจะสะกดข่มได้
ในตอนนี้ เสียงพูดคุยในบริเวณนั้นถูกขัดจังหวะโดย ความพลุ่งพล่านปั่นป่วนของทะเลม่วง แต่ก็ยังมีสองประโยค ที่ยังคงดังก้องเข้ามาในหูเมิ่งฮ่าว
“เผ่าจินอูเฮยหลงจริงๆ แล้วก็แยกออกจากกัน อันเนื่องมาจากเรื่องราวในครั้งนี้ เผ่าเฮยหลงฉวยโอกาสยืนหยัดด้วยลำแข้งของพวกมันเองอีกครั้ง เผ่าจินอูแทบไม่อาจจะหลบหนีจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้ ข้าได้ข่าวว่าเผ่าเทียนฉงได้ทำสงครามกับพวกมัน และสงครามนั้นกำลังเกิดขึ้นในขณะที่พวกเรากำลังพูดคุยกันอยู่นี้ ยังไม่แน่ชัดว่าใครเป็นฝ่ายชนะในตอนนี้ แต่เมื่อเร็วๆ นี้ เผ่าเทียนฉงได้จับตัวสมาชิกของเผ่าจินอูไว้ห้าร้อยคน”
“แต่เผ่าจินอูก็ยังคงน่ามหัศจรรย์ใจยิ่ง พวกมันยังมีความแข็งแกร่งมากกว่าที่เผ่าเทียนฉงคาดการณ์ไว้ ทำให้เผ่าเทียนฉงต้องประสบกับความสูญเสียไปไม่น้อย ในที่สุดพวกมันก็เคลื่อนกำลังพลของทั้งชนเผ่าเพื่อไปทำสงคราม”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ เสียงกระหึ่มกึกก้องของทะเลม่วงที่อยู่ด้านนอกด่าน ทันใดนั้นก็ระเบิดขึ้น ความเย็นเยียบใต้เท้าเมิ่งฮ่าว ม้วนกวาดออกไปทั่วทุกทิศทาง ปกคลุมไปทั่วทั้งด่านทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว!