4. วิชามารฟ้าเสกสรร
ในเมื่อวิชาขาของท่านปู่เป๋พิสดารจนกระทั่งวิ่งบนอากาศเปล่าได้ ใครกันล่ะที่เร็วพอที่จะสับขาของเขา หมัดของท่านปู่หม่าทรงพลังขนาดนี้ แต่ใครล่ะที่กระชากแขนขวาของเขาออกไป แล้วใครกันที่สามารถฝ่าคมมีดของท่านปู่คนแล่เนื้อเข้าไปฟันร่างเขาจนขาดครึ่งได้
เมื่อได้ประจักษ์ความสามารถที่แท้จริงของคนแล่เนื้อ เฒ่าหม่า ตาเป๋ ฉินมู่ทั้งรู้สึกตื่นตะลึงและสับสนกับคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัว
หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกวิชาเท้ากับเฒ่าเป๋ ร่างของฉินมู่ก็ดูดซึมพลังงานในโลหิตวิญญาณทั้งสี่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของเขาได้ในที่สุด ในขณะเดียวกันเด็กชายก็เหนื่อยจนแทบตาย อยากจะล้มตัวลงนอนแล้วหลับไปให้รู้แล้วรู้รอด
แต่ทว่า นี่เป็นแค่ปฐมบทของชะตากรรมอันแสนเศร้าของเขาเท่านั้น
แทบจะทุกๆ วัน เหล่าผู้เฒ่าในหมู่บ้านต่างพากันออกไปล่าสัตว์ร้ายมาเพื่อกลั่นโลหิตวิญญาณป้อนฉินมู่ หลังจากกล้ำกลืนโลหิตวิญญาณแล้ว สิ่งที่รอเขาอยู่คือตารางฝึกนรกอันอัดแน่นและทรมานทรกรรมเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
นอกจากการเรียนวิชาขา หมัด มีดจากเฒ่าเป๋ เฒ่าหม่า และคนแล่เนื้อ ฉินมู่ยังต้องฝึกวิชาตีเหล็กจากเฒ่าใบ้ วิชาวาดภาพและฝีพู่กันจากเฒ่าหนวก ซ้ำยังต้องเรียนวิชากระบองและการฟังเสียงบอกตำแหน่งจากเฒ่าบอดขณะที่สวมผ้าปิดตาเอาไว้เสียด้วย
เมื่อฉินมู่เหนื่อยจนอยากตาย ผู้ใหญ่บ้านก็จะเรียกเขาให้ไปฝึกวิชาหายใจต่อ วิชาหายใจนั้นเป็นวิชาอันแข็งแกร่งจำเพาะที่เรียกว่าวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ
แม้ว่าฉินมู่จะไม่อาจหยั่งตื้นลึกหนาบางของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาฝึกการหายใจแบบนี้ เพียงชั่วครู่ความเหนื่อยล้าสะสมจากตารางฝึกหฤโหดก็จะหายวับไปราวกับปลิดทิ้ง ทำให้ฉินมู่เชื่อว่าวิชานี้โคตรมหัศจรรย์
แววตาของนักปรุงยาสะเทือนไหวระหว่างที่รอให้ฉินมู่เดินห่างออกไป เขาจึงกล่าวด้วยเสียงเบา “ผู้ใหญ่บ้าน ท่านสอนแค่วิชาเต้าหยินที่สามัญธรรมดาที่สุดใช่ไหม”
“ใช่แล้ว นั่นคือวิชาเต้าหยิน” ผู้ใหญ่บ้านยอมรับ คร้านที่จะปฏิเสธ “กายาวิญญาณทั้งสี่มีวิชาหายใจเป็นของตนเอง กายาวิญญาณมังกรเขียนใช้ปราณมังกรเขียวในการฝึกปรือ กายาพยัคฆ์ขาวใช้ปราณพยัคฆ์ขาวในการฝึกปรือ กายาวิญญาณหงส์แดงและกายาวิญญาณเต่าดำต่างก็ใช้ปราณหงส์แดงและปราณเต่าดำในการฝึกปรือตามลำดับ แต่ว่าร่างของฉินมู่มิได้มีคุณสมบัติหนึ่งในสี่นี้เลย ทำให้เขามิอาจใช้วิชาหายใจของกายาวิญญาณทั้งสี่ในการฝึกยุทธ ในเมื่อเขาไม่อาจฝึกวิชาหายใจใดๆ ที่พวกเราใช้อยู่ได้ ข้าจึงสอนวิชาที่สามัญธรรมดาที่สุดให้กับเขา วิชาเต้าหยินนั้น แม้ว่าจะเป็นปุถุชนคนทั่วไปก็สามารถใช้ในการฝึกปรือบ่มเพาะพลังยุทธ มันไม่จำเป็นต้องอาศัยคุณสมบัติกายาวิญญาณทั้งสี่”
คำอธิบายของเขาทำให้นักปรุงยาฉงนฉงาย “แต่ว่าวิชาเต้าหยินนั้นเรียบง่ายเกินไป ธรรมดาเกินไป! แน่ล่ะว่าใครๆ ก็สามารถเป็นผู้ฝึกยุทธได้ด้วยวิชาหายใจนี้ แต่ความก้าวหน้าของคนผู้นั้นย่อมจำกัดต่ำต้อย!”
“แต่เดิมข้าก็คิดเช่นนั้น” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าว พร้อมกับที่มีสีหน้าประหลาดพิลึก “แต่ตอนนี้ข้าคิดว่า พวกเราอาจจะประเมินวิชาเต้าหยินต่ำไป ข้าให้ฉินมู่ฝึกการหายใจนี้แต่เล็ก มาบัดนี้ปราณชีวิตของเขาก่อตัวกล้าแข็ง ที่มิอาจเห็นได้ชัดก็เพราะว่าทางเดียวที่เขาจะปลดปล่อยพลังอำนาจของปราณชีวิตของเขาคือต้องมีคุณสมบัติวิญญาณหนึ่งในสี่เท่านั้น”
นักปรุงยามือสั่นทันใด “ปราณชีวิตเขากล้าแข็งเพียงไหน”
“หากว่าปราณชีวิตของเขามีคุณสมบัติวิญญาณมังกรเขียว พละกำลังของฉินมู่คงเท่ากับกึ่งหนึ่งของพลังในสมบัติเทพขั้นทารกวิญญาณของเจ้า”
คำกล่าวของผู้ใหญ่บ้านทำนักปรุงยาแทบกระโดดโลดด้วยความตะลึง “นี่ข้าทลายกำแพงชาวสวรรค์และปลุกสมบัติเทพขั้นชาวสวรรค์แล้วนะ” เขาครางฮือแล้วกล่าวต่อ “ข้าเสียเวลาเป็นปีๆ เพื่อปลุกสมบัติทารกวิญญาณ ห้าธาตุ หกทิศทางจนถึงระดับสุดยอด! ครึ่งหนึ่งของพลังในสมบัติทารกวิญญาณของข้าเท่ากับพลังเต็มพิกัดของผู้ฝึกหมัดมวยขั้นสูงสุด! เมื่อฉินมู่มีพลังปราณชีวิตแข็งกล้าเทียบเท่ากับผู้ฝึกหมัดมวยขั้นสูงสุดตั้งแต่ยังไม่ทลายกำแพงทารกวิญญาณ เมื่อเขาปลุกสมบัติเทวะระดับทารกวิญญาณ มิใช่ว่าพลังยุทธเขาจะเหนือล้ำกว่าผู้มีกายาวิญญาณทั้งสี่หลายเท่าตัวอย่างนั้นหรือ นี่ยังจะเรียกว่าแค่วิชาเต้าหยินได้อีกรึไง”
ผู้ใหญ่บ้านเองก็สับสนพอๆ กับนักปรุงยา “วิชาเต้าหยินนับว่าเต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อน มาตรว่าจะเป็นเพียงการฝึกหายใจที่เรียบง่ายสามัญ แต่พื้นฐานที่มันให้กำเนิดกลับเหนือล้ำเกินจินตนาการ มู่เอ๋อฝึกวิชานี้สิบปีอันมิใช่เวลาสั้นๆ วิชาเต้าหยินดูคล้ายกับให้ผลเชื่องช้าเมื่อแรกเริ่มฝึก แต่ไม่นานนี้ข้าเพิ่งสังเกตว่าพละกำลังของมู่เอ๋อเพิ่มพูนอย่างก้าวกระโดด ความก้าวหน้าของเขาชวนตะลึงตะลานตั้งแต่เมื่อวันที่เขาได้ดื่มโลหิตวิญญาณทั้งสี่! หากว่าข้ามิได้รู้อยู่แล้วว่าวิชาเต้าหยินนั้นใครๆ ก็รู้ทั่วทุกหัวมุมถนน ข้าคงคิดว่าเป็นวิชาเซียนฟ้าประทานจากที่ไหนเสียอีก”
ทั้งคู่ขมวดคิ้วประหลาดใจ
นักปรุงยาปล่อยลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ แล้วส่ายศีรษะ “แต่อย่างไรก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี แม้ว่าปราณของเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงไหน แต่ปราณชีวิตอันปราศจากคุณสมบัติย่อมมิอาจเปล่งพลังได้อย่างเต็มพิกัด ท่านคิดว่าเขาจะยังคงใช้วิชาเต้าหยินฝึกปรือได้อีกนานแค่ไหนล่ะ”
สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านยิ่งเต็มไปด้วยความพิศวง “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
นักปรุงยาพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ
วิชาเต้าหยินเป็นวิชาหายใจขั้นพื้นฐานที่สุดที่ให้ยุวชนแรกฝึกยุทธใช้ในการปรับพื้นฐาน เมื่อเด็กผู้นั้นเติบใหญ่ถึงสิบขวบ พื้นฐานของเขาก็จะแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับผลกระทบจากโลหิตวิญญาณ หลังจากที่ตรวจพบคุณสมบัติกายาวิญญาณของเด็กผู้นั้นแล้ว พวกเขาก็จะละทิ้งวิชาเต้าหยิน
เมื่อทลายกำแพง ก็จะมีวิชาหายใจที่ดีกว่านี้ให้เลือกใช้ การฝึกปรือวิชาเต้าหยินต่อไปจึงไม่จำเป็น
และสำหรับคนธรรมที่ใช้วิชาเต้าหยินในการฝึกปรือ ย่อมไม่มีโอกาสที่จะดื่มโลหิตวิญญาณได้ทุกวันแบบฉินมู่
ฟุ่มเฟือยได้เยี่ยงนี้ก็มีแต่ตระกูลใหญ่ทรงอิทธิพล แต่ไหนเลยที่พวกเขาจะยอมทุ่มเทเงินทองให้กับผู้มีพรสวรรค์สามัญธรรมดา ตระกูลใหญ่ที่จะไหนจะพิลึกพิกลแบบหมู่บ้านพิการชราที่ทุกวันนั้นก็เร่ออกไปหาจับสัตว์ร้ายมากลั่นโลหิตป้อนคนไร้กายาวิญญาณแบบฉินมู่
ผู้ใหญ่บ้านไม่เคยได้ยินว่ามีใครฝึกวิชาเต้าหยินถึงขั้นสูงสุด อย่าว่าแต่ขั้นที่ฉินมู่บรรลุเถอะ ดังนั้นเขาจึงจินตนาการไม่ถูกว่าในอนาคตฉินมู่จะบรรลุถึงขั้นใด
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ใหญ่บ้านและนักปรุงยาแตกตื่นตกใจที่สุดคือการที่วิชาเต้าหยินเผยความวิเศษพิสดารในการฝึกปรือของฉินมู่ ให้ขั้นวรยุทธของเขายิ่งฝึกยิ่งลึกล้ำ รากฐานพลังปราณก็แข็งแกร่งราวกับพื้นทองแดงเสาเหล็ก!
ภายในเวลาหนึ่งเดือน ฉินมู่สามารถรองรับการดื่มกินโลหิตวิญญาณทั้งสี่ได้มากขึ้น และปราณชีวิตของเขาก็หนาแน่นแข็งแรงราวกับว่าได้ปลุกสมบัติเทวะขั้นทารกวิญญาณแล้ว
พลังปราณชีวิตที่ลึกล้ำของฉินมู่ เมื่อปราศจากคุณสมบัติธาตุก็ไม่สามารถใช้ในการโจมตี จึงมิอาจเผยแสดงให้ผู้ใดหยั่งรู้ได้
แต่ข้อดีของมันก็มีอยู่ ปราณชีวิตอันยิ่งลึกล้ำยิ่งเสริมความต้านทานการต่อยตี และยังฟื้นกำลังวังชาได้อย่างรวดเร็ว ความถึกของฉินมู่ถึงขั้นที่สามารถประมีดกับคนแล่เนื้อได้อย่างสูสี ทนทานต่อหมัดของเฒ่าหม่า ประลองไม้ตะบองกับเฒ่าบอดยามที่สวมผ้าปิดตา อดทนการฝึกขากับเฒ่าเป๋จนสุดตารางฝึก และปิดค่ายนรกประจำวันด้วยการเรียนตีเหล็กด้วยค้อนหนึ่งร้อยชั่ง แม้ว่าการฝึกยุทธของเขาจะหนักหนาสาหัสถึงเพียงนี้ เพียงเริ่มหายใจตามวิชา ‘กายาจ้าวดินแดนสามอมตะ’ เพียงประเดี๋ยวประด๋าวก็เหมือนชุบชีวิตเขาแบบ พลังชีวิตเต็ม
หลังจากที่จับชีพจรตรวจร่างกายฉินมู่ นักปรุงยาก็กลับมาหาผู้ใหญ่บ้านด้วยสีหน้าปั้นยาก “ข้าไม่พบว่ามีการบาดเจ็บตกค้างจากความเหนื่อยล้าเลยแม้แต่นิด กลายเป็นว่าปราณชีวิตของเขาแข็งแรงมาก และมันกำลังเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายทั้งหมด”
ผู้ใหญ่บ้านอึ้งไปครู่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะรอบรู้กว้างขวาง แต่ก็มิเคยพบพานเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน วิชาเต้าหยินฝึกปรือถึงขีดขั้นนี้ หากผู้คนอื่นล่วงรู้คงต้องเหลียวมองวิชานี้ใหม่อีกสามตลบ
“ฉินมู่ วันนี้มาฝึกตัดเย็บผ้ากับยายนะ ต่อยมงต่อยมวยนี่ไม่ต้องแล้ว”
ท่านยายซี เดินหลังค่อมถือตะกร้าเล็กๆ มา ในตะกร้ามีด้ายมีเข็ม นางเดินเขย่งๆ เท้าเล็กๆ ของนางนำนางออกไปจากหมู่บ้าน ฉินมู่รีบเร่งตามไป มือก็รับตะกร้าที่ท่านยายซีส่งให้ เลิกคิ้วถามประหลาดใจ “ท่านยาย ตัดเสื้อผ้าเรานั่งทำที่หมู่บ้านก็ได้ไม่ใช่หรือ ออกไปข้างนอกทำไมกัน”
“เฮะๆ วันนี้ยายจะพาเจ้าไปตัดเสื้อผ้านอกหมู่บ้าน เสื้อผ้าของจริงขนานแท้”
ท่านยายซีกล่าวต่อกลั้วหัวเราะ “หลายวันมานี้เฒ่าหม่า เจ้าเป๋ขุดไม้ตายก้นหีบมาสอนเจ้า ยายเฒ่าผู้นี้จะน้อยหน้าได้อย่างไร วันนี้ยายจะสอนให้รู้ว่าสิ่งที่ช่างตัดเย็บทำได้ดีที่สุดคืออะไร”
สิ่งที่ช่างตัดเย็บทำได้ดีที่สุด? ฉินมู่งุนงง ไม่ใช่ว่าก็คือการตัดเย็บเสื้อผ้าหรือ
ถึงจะงุนงงสงสัย ฉินมู่ก็เดินตามท่านยายซีต้อยๆ ไปยังริมแม่น้ำ ท่านยายซีเดินอย่างรวดเร็วว่องไวผิดแผกกับสามัญสำนึกของผู้คนเมื่อเห็นยายเฒ่าหลังค่อม ถึงขนาดว่าฉินมู่เร่งใช้วิชาขาที่เรียนจากเฒ่าเป๋ถึงขีดสุด ก็ยังทำได้แค่ตามทันอยู่บ้าง หลังจากเดินไปหลายลี้ พวกเขาก็มาถึงเนินหญ้าขจีเชิงภูเขา และเห็นฝูงกวางเอลก์ยืนเล็มหญ้าและโลดเล่นกันห่างไปเกือบสองร้อยก้าว
ท่านยายซีดึงเข็มเงินเย็บผ้าออกจากม้วนด้ายในตะกร้า แล้วดีดมันออกไป เข็มพุ่งหายวับ และฉินมู่ก็เห็นกวางเอลก์ที่อยู่ไกลระยะสองร้อยก้าวนั้นล้มตึงไปกับพื้น กวางตัวอื่นๆ แตกตื่นตกใจ ห้อหนีลับเข้าไปในราวป่า
ท่านยายซีเขย่งเท้าเล็กๆ ฉับๆ ไปก่อน ฉินมู่รีบตามไปดู เห็นว่ากวางเอลก์ที่ล้มอยู่นั้นยังมีลมหายใจอยู่ ทว่าเข็มเงินอันปักหน้าผากทำให้มันขยับเขยื้อนไม่ได้
“ดูดีๆ มู่เอ๋อ เข็มเล่มนี้ปักตรึงวิญญาณฟ้าของมันไว้”
ขณะที่ยายเฒ่าซีปล่อยให้ฉินมู่สังเกตจดจำจุดเข็มตรึงวิญญาณ นางก็หยิบเข็มอีกเล่มออกมาแล้วปักเข้าไปที่ปลายกระดูกสันหลังของกวางเอลก์
“เข็มเล่มนี้กำลังตรึงวิญญาณดิน”
จากนั้นนางก็หยิบเข็มเย็บผ้าออกมาอีกเล่ม แล้วเสียบเข้าไปที่สะดือกวาง “ส่วนเข็มเล่มนี้กำลังตรึงวิญญาณชีพ รวมแล้วตรึงสามจุดวิญญาณเซียน ส่วนอีกเจ็ดจิตมนุษย์ จิตแรกเรียกศพสุนัข ซึ่งอยู่บนจุดสูงสุดของศีรษะ”
ท่านยายซีดึงเข็มมาอีกเล่ม และปักเข้าไปกลางหน้าผากกวางใกล้ ๆ กับเข็มเล่มแรกสุด “จิตที่สองเรียกว่าศรซุ่ม จิตศรซุ่มอยู่ที่ใจกลางระหว่างคิ้ว แต่ดูให้ดีนะ ระวังจะสับสนกับจุดวิญญาณฟ้า เข็มสองเล่มเหมือนว่าจะแทงจุดเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วหนึ่งจุดตื้น อีกหนึ่งจะลึก”
“จิตที่สาม หยินนกกระจอก อยู่ที่ลูกกระเดือก เจ้าลองจับคอตนเองดู เจอร่องสามเหลี่ยมเล็กๆ หรือไม่ นั่นแหละที่สถิตของจิตหยินนกกระจอก”
“จิตที่สี่ สกัดโจร อยู่ตรงนี้ ตรงหัวใจที่ซึ่งเป็นแหล่งรวมของโลหิต”
“จิตที่ห้า มิใช่พิษ นั้นฝังอยู่ในสะดือ แต่อย่าสับสนกับจุดวิญญาณชีพ”
“จิตที่หก ชำระมลทิน อยู่บริเวณขาหนีบใกล้ช่องทิ้งของเสีย”
“จิตที่เจ็ด ปอดฉุน อยู่ที่ปอดที่ซึ่งเจ้าถ่ายอากาศเสียและรับอากาศดี”
ท่านยายซีสิ้นสุดการฝังเข็มกวางตรึงสามวิญญาณและเจ็ดจิต จากนั้นอธิบายต่อ “ตรึงสามวิญญาณและเจ็ดจิตเป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับการเริ่มตัดเย็บเสื้อผ้า รวมแล้วเรียกว่า ‘ตรึงวิญญาณ’ เข้าใจไหมมู่เอ๋อ ถ้าเข้าใจดีเมื่อไหร่ ยายจะพาทำการตัดเย็บขั้นต่อไป”
ฉินมู่ไม่เข้าใจว่าการตรึงวิญญาณเกี่ยวอะไรกับการตัดเย็บเสื้อผ้า แต่เขาก็ยังใส่ใจจำจุดตรึงทุกจุดอย่างขมีขมัน จากนั้นร้องบอก “ข้าเข้าใจหมดแล้ว”
ท่านยายซีฟังดังนั้นจึงหยิบกรรไกรออกมาจากตะกร้า แล้วเริ่มต้นเลาะหนังกวาง โดยเริ่มจากริมฝีปากของมันเป็นต้นไป ไม่นานหนังกวางทั้งผืนก็ถูกลอกออกมาจนหมด ที่พิสดารก็คือไม่มีเลือดสักหยดหลั่งไหลจากกวางเอลก์ที่ถูกเลาะหนัง
“ยายตรึงวิญญาณกวางไว้กับหนังของมัน กักเก็บเลือด พลังงาน และจิตไว้ข้างใน ถึงเนื้อร่างของกวางตาย แต่หนังของมันมีชีวิต กระนั้นก็ยังต้องอาศัยวิชาเหมาะๆ มาเพื่อตัดเย็บถักทอหนังผืนนี้ให้เป็นเสื้อผ้าดีๆ มู่เอ๋อ ดูให้ดีๆ นะ คอยจำจุดดรรชนีที่ยายจิ้ม!”
ทันใด ท่านยายซีก็โยนหนังกวางเอลก์ขึ้นไปบนอากาศ ปลายนิ้วยายเฒ่าแทนเข็มจิ้มไปตามจุดต่างๆ บนผืนหนัง ระหว่างที่มันปลิวอยู่บนอากาศ
ฉินมู่เร่งจดจำทุกจังหวะดรรชนีไว้ในสมอง และพบว่าท่านยายซีใช้ถึงสามร้อยหกสิบดรรชนีก่อนที่หนังกวางจะร่วงลงสู่พื้น แต่ละจุดไม่ซ้ำกัน และในการจิ้มนั้นก็ปลดปล่อยกระแสปราณชีวิตเข้าไปด้วย
เมื่อหนังกวางร่วงลง แทนที่จะกองพับไปกับพื้น มันกลับลุกขึ้นยืนเหมือนกับกวางเอลก์ตัวเป็นๆ! หัวของมันส่าย หางก็กระดิก บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อว่านี่เป็นแค่หนังกวาง
ภาพมหัศจรรย์ส่งให้ฉินมู่ยืนจ้องอย่างงมงาย
ท่านยายซีหัวเราะคิกๆ แล้วคว้าหยิบหนังกวางมาพันรอบๆ ตัวฉินมู่ “นี่คือเสื้อผ้าที่ควรค่าแก่พวกเราช่างตัดเย็บ”
ทันใดนั้น หนังของกวางเอลก์ก็บีบรัดตัวฉินมู่ มันเบียดเข้ามาแน่นขึ้น แน่นขึ้น จนเขารู้สึกราวกับว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขา จากนั้นก็ผลักให้เขาต้องยืนด้วยสี่ขา
ความรู้สึกตอนนี้ ยังกับว่ากลายเป็นกวางจริงๆ แน่ะ! สัมผัสได้ยันหางกระดุ๊กกระดิ๊กข้างหลัง!
ท่านยายซีหยิบกระจกจากตะกร้ามาส่องตรงหน้าเขา ให้ฉินมู่ได้เห็นเงาสะท้อนของตน เมื่อมองกระจก ฉินมู่ก็พบว่าเขาได้กลายเป็นกวางเอลก์ไปแล้ว!
ฉินมู่อ้าปากจะพูด แต่สิ่งที่ออกจากปากกลับกลายเป็นเสียงร้องของกวางเอลก์
และโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย เสียงตวาดฉาดฉานก็ดังมา
“วิชามารฟ้าเสกสรรค์! มารร้ายต่ำช้า! ข้าไม่นึกเลยว่าในแดนโบราณวินาศจะได้เห็นมารเฒ่าโสมมสอนวิชาชั่วร้ายให้ไอ้เด็กปีศาจ!”