33. ไจกระบี่
หมู่บ้านเต็มไปด้วยแอ่งน้ำและกระบี่ร่วงเกลื่อนไปหมด ทำให้เดินเหินยากลำบาก ซากร่างของผู้คนที่ถูกสังหารนอนดารดาษให้ความรู้สึกพิลึกสยองพองขน
ผู้ใหญ่บ้านเห็นสภาพการณ์ดังกล่าวก็ขมวดคิ้ว “เฒ่าเป๋ จัดการซากสังขารเหล่านี้ เอาพวกเขาไปใส่โลงศพ อย่าปล่อยให้เน่าเปื่อยในป่าร้าง จากนั้นส่งโลงศพของพวกเขาลงแม่น้ำ อ้อ…เผาเรือกระดาษกระเรียนกระดาษ กับของเซ่นไหว้อื่นๆ ให้พวกเขาด้วย”
เฒ่าเป๋เดินตุปัดตุเป๋เตรียมจะลงมือเก็บกวาด เขาชำเลืองมองเฒ่าบอดแล้วหัวเราะคิกคัก “ตาเฒ่าเจ้าคารมทำเป็นร่ายบทกวี แต่เนื้อหามีแต่ขี้เลื่อย”
เฒ่าบอดโกรธจนหนวดกระดิก “อย่างเจ้าอย่าว่าแต่จะร่ายบทกวี ตัวหนังสือเจ้ารู้จักกี่ตัวกันเชียว!”
ท่านยายซีรีบร้องเตือนเฒ่าเป๋ “เฒ่าเป๋ อย่าลืมรูดทรัพย์สินของดีๆ อย่าปล่อยให้พวกเขาเอาติดโลงไปด้วย เรายังต้องการทรัพย์สินของมีค่าเอาไว้ซื้อหาซีอิ๊ว เกลือ”
“แหงอยู่แล้ว!”
ในแดนโบราณวินาศ สิ่งที่มีราคามากที่สุดไม่ใช่เครื่องทองหยองอัญมณี แต่เป็นเครื่องปรุงรสและผ้าทอ ของเหล่านี้ไม่มีงอกเงยในแดนโบราณวินาศ ต้องลำเลียงมาจากโลกภายนอกผ่านทางเมืองเขตมังกร ผู้คนในแดนโบราณวินาศก็จะใช้สมบัติวิเศษและหนังสัตว์ที่พบในแดนโบราณวินาศไปแลกเปลี่ยนมาอีกที นั่นจึงเป็นที่มาของคำพูดว่าเกลือมีค่ายิ่งกว่าทอง
ทุกๆ ครั้งท่านยายซีจะเข็นสมบัติเต็มคันเกวียน และวัวควายสำหรับเป็นอาหารไปเมืองเขตมังกรเพื่อแลกได้กับเครื่องปรุงรสเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
นักปรุงยาเข้ามาทายาและพันแผลที่มือของฉินมู่ ส่ายหน้าแล้วกล่าว “พลังปราณชีวิตของเจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะจับกระบี่ด้วยมือเปล่า ทีหลังไม่ต้องอวดเก่งขนาดนี้”
ฉินมู่รู้สึกถึงความเย็นแผ่นซ่านในฝ่ามือและไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไป “วิชาคุมกระบี่บินของข้ายังไม่ถึงขั้น ข้าเลยไม่คล่องแคล่วว่องไวเท่ากับคนจากสำนักแม่น้ำหลี่ ข้ารู้สึกว่ายังมีพลังปราณอีกมากที่ข้าไม่อาจปลดปล่อยได้จากร่างกาย”
“ก็ไม่แปลกหรอก วิชาคุมกระบี่บินของคนแล่เนื้องุ่มง่ามเกินไป เขาไม่เหมาะที่จะสอนเจ้าในเรื่องนี้”
นักปรุงยาฉีกยิ้มแล้วกล่าวต่อ “จริงๆ แล้วมีอยู่คนนึงนะที่รู้วิชาคุมกระบี่บินอันลึกซึ้งวิเศษ แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่เขาไม่ยอมสอนเจ้า”
ผู้ใหญ่บ้านหน้ามืดทะมึนขึ้นมาทันทีแล้วร้องบอกด้วยเสียงทื่อๆ “นักปรุงยา แถวนี้มีแต่น้ำเต็มไปหมด ส่งข้ากลับขึ้นเรือนหน่อย!”
นักปรุงยาอมยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น ผู้ใหญ่โปรดรอสักประเดี๋ยวข้ากำลังพันแผลให้ฉินมู่อยู่” กระบี่เล่มหนึ่งลอยขึ้นจากพื้น จากนั้นเขย่าเบาๆ ทันใดนั้นกระบี่นับพันเล่มก็พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นโดยอัตโนมัติ พวกมันพุ่งเข้าหากระบี่ในมือเฒ่าใบ้ จากนั้นหายวับเข้าไปในกระบี่นั้น ทำเอาฉินมู่จ้องด้วยใจอัศจรรย์
ฉินมู่ลองก้มลงเก็บกระบี่แล้วเขย่าดูบ้าง แต่ไม่เกิดอะไรขึ้น
เฒ่าใบ้ฉีกยิ้มกว้าง แล้วทำเสียงอา อา สองสามที จากนั้นเขาปั้นคลึงกระบี่ในมือ ยิ่งคลึงกระบี่ก็ยิ่งหดเล็กลง ในไม่กี่วินาที มันหดเข้าหากันเป็นก้อนกลมเล็กๆ สีเงินขนาดเท่าหัวแม่มือ
ฉินมู่ก้มลงมองกระบี่ในมือ และรู้สึกอยากลองปั้นคลึงมันดูบ้าง เผื่อจะกลายเป็นไจกระบี่เล็กๆ อย่างที่เฒ่าใบ้ทำ นักปรุงยาเหลือบมาเห็นพอดีรีบร้องเตือน “อย่าไปคลึงมัน ข้าเพิ่งพันแผลเจ้าไปหยกๆ! เลิกแหย่เขาได้แล้วเฒ่าใบ้ ไม่งั้นข้าจะวางยาเบื่อเจ้า!”
เฒ่าใบ้หัวเราะไม่หยุด แล้วดึงกระบี่ออกจากมือฉินมู่ จากนั้นวางไจเงินเล็กๆ นั้นลงไปในมือเขาแทน
กร๊อบ!
ฉินมู่ได้ยินเสียงกร๊อบจากไหล่ของเขา เมื่อเขาล้มคว่ำลงกับพื้นด้วยเพราะน้ำหนักที่อยู่ในไจเงินนั้น เฒ่าใบ้กระโดดโหยงด้วยความตกใจ ก่อนจะตบหน้าผากตัวเองอย่างเพิ่งนึกได้ เขาลืมไปว่าในไจเงินนี้บรรจุไว้ซึ่งกระบี่นับพันเล่ม ไจนี้จะหนักเท่าไหร่ล่ะหากรวมน้ำหนักของกระบี่กว่าพันเล่มเข้าด้วยกัน
เมื่อฉินมู่รับไจกระบี่โดยไม่รู้มาก่อน ไหล่เขาก็หลุดทำล้มจ้ำเบ้าโดยไม่ทันตั้งตัว
ขณะที่เฒ่าใบ้เข้าไปตระเตรียมจะช่วยต่อไหล่ของฉินมู่กลับคืน ท่านยายซีก็กระโดดมาข้างหลัง แล้วเตะเขากระเด็นปลิวจากหมู่บ้าน ข้ามฟ้าหายไปลิบตา เสียงร้องโหยหวนของเฒ่าใบ้ดังห่างไป ห่างไปทุกที
ด้วยสีหน้าดำคล้ำ ท่านยายซีจัดไหล่หลุดของฉินมู่ให้เข้าที่ แล้วบ่นด้วยความโมโห “พวกที่พูดไม่ได้มักจะกะล่อนเลวร้ายที่สุด เต็มไปด้วยเล่ห์กลตุกติก! มู่เอ๋อ กระบี่พวกนี้คือกระบี่แม่และกระบี่ลูก ในบรรดากระบี่พันเล่มจะมีกระบี่แม่อยู่หนึ่งเล่ม ส่วนที่เหลือคือกระบี่ลูก เมื่อใดที่เจ้าหากระบี่แม่เจอเจ้าสามารถเรียกกระบี่ลูกทั้งหมดกลับมารวมกันเป็นไจกระบี่ได้ แต่ว่าใจกระบี่ของสำนักแม่น้ำหลี่มันหนักอึ้งสุดๆ ตอนนี้เจ้ายังยกมันไม่ขึ้นหรอก”
นางเดินไปหยิบกระบี่ขึ้นมาเล่มหนึ่ง แล้วเขย่าเบาๆ เหมือนที่เฒ่าใบ้ทำ ทันใดนั้นกระบี่นับพันเล่มก็โบยบินเข้ามาหลอมรวมกับกระบี่แม่ในมือนาง
ท่านยายซีแย้มยิ้มแล้วกล่าว “เมื่อจะเปลี่ยนกระบี่แม่ให้กลายเป็นไจกระบี่ เจ้าไม่ต้องปั้นคลึงมันอย่าที่เฒ่าใบ้แหย่เจ้าเล่น เจ้าเพียงแค่ส่งปราณชีวิตเข้าไปในกระบี่แม่แล้วมันก็จะหดตัวลงไปเป็นไจกระบี่เอง ด้วยวิธีคล้ายกันนี้ เจ้าสามารถปลดปล่อยกระบี่ลูกทั้งหมดออกจากระบี่แม่เช่นกัน”
ฉินมู่มองไจกระบี่ในมือของนางขึ้นๆ ลงๆ แล้วกระพริบตาปริบๆ อย่างพิศวง “ท่านยาย เหมือนข้าจะเห็นเม็ดสีเงินแบบนี้เยอะแยะเลยในห้องท่าน!”
“มีด้วยหรือ” ยายเฒ่าหรี่ตาทำท่ากังขา
“มีจริงๆ นะ!”
ฉินมู่หวนนึกถึงไจสีเงินจำนวนมากในห้องของท่านยายซี บางส่วนก็กลิ้งอยู่ใต้เตียง บางส่วนก็ซ่อนอยู่ในรองเท้าที่ไม่ได้ใส่ ตามมุมห้องก็มีเต็มไปหมด
เมื่อเขายังเล็กๆ เขาใช้ลูกกลมสีเงินพวกนี้ต่างลูกแก้ว มาดีดเล่นไปทั่ว
เขาเคยเห็นแม้กระทั่งตอนที่ยายซีเอาเม็ดสีเงินพวกนี้ไปป้อนเป็นอาหารแม่ไก่!
พอคิดดูแล้วก็น่าสยองไม่ใช่น้อย มันคงจะเละเป็นขี้หากว่าลูกกลมสีเงินเกิดระเบิดออกเป็นกระบี่นับพันเล่มในท้องแม่ไก่
โชคยังดีที่ไม่เคยมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น
แววตาท่านยายซีขยับวูบ “หากว่าเจ้ายกมันขึ้นมาเล่นได้ตอนที่ยังเล็กๆ ก็แปลว่ามันเป็นลูกเงินกลมธรรมดาๆ ไม่ใช่ไจกระบี่”
ฉินมู่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งและกล่าวต่อ “ข้ายังเคยเห็นหีบใหญ่ในห้องตีเหล็กของท่านปู่ใบ้ ในนั้นมีเม็ดสีเงินแบบเดียวกันบรรจุไว้เต็มจนแทบล้นหีบ”
ท่านยายซีกระพริบตาปริบๆ ดูไร้เดียงสายิ่งกว่าฉินมู่ แล้วฉีกยิ้ม “เจ้าคิดว่าตาเฒ่าใบ้มันจะรวยขนาดนั้นเลยหรือ”
ฉินมู่พลันนึกคำโต้แย้งไม่ออก เฒ่าใบ้ดูไม่เหมือนคนร่ำรวยจริงๆ นั่นแหละ เห็นได้ชัดว่าเฒ่าใบ้รู้แต่เรื่องตีเหล็กหลอมสร้างเครื่องไม้เครื่องมือจิปาถะ
ท่านยายซีกล่าวยิ้มๆ “คิดมากเกินไปแล้ว พวกเราผู้เฒ่าในหมู่บ้านมีแต่คนปกติธรรมดา ยากจนข้นแค้นหากินไปวันๆ ทั้งยังพิการและชรา ดังนั้นทุกๆ สิ่งในหมู่บ้านนี้มีแต่สิ่งปกติสามัญ หากเจ้าจะสงสัยว่าหีบของเจ้าใบ้เก็บไว้ด้วยไจกระบี่เต็มไปหมด เจ้าสงสัยหม้อน้ำที่อยู่ตรงมุมโน้นว่าเป็นสมบัติวิเศษไม่ดีกว่าหรือ”
ฉินมู่มองตามไปยังหม้อน้ำที่ท่านยายซีพูดถึง มันตั้งอยู่ใต้ชายคาของโรงหลอมเหล็กเพื่อรองรับน้ำฝน แต่สิ่งที่แปลกก็คือฉินมู่ไม่เคยเห็นหม้อน้ำนั้นรองน้ำจนเต็มสักที ไม่ว่าฝนจะตกห่าใหญ่แค่ไหน หม้อน้ำก็จะมีน้ำแค่ครึ่งหม้อเสมอ!
ยิ่งไปกว่านั้น น้ำในหม้อยังดูเหมือนไม่มีวันหมด เฒ่าใบ้ตักน้ำในหม้อถังแล้วถังเล่าเพื่อใช้ระหว่างการตีเหล็ก แต่น้ำในหม้อก็ยังคงเหลืออยู่เท่าเดิม!
ท่านยายซีเห็นความสงสัยในแววตาเขา และรู้สึกว่าสงสัยจะยกตัวอย่างผิดไป จึงแก้ตัวใหม่ “งั้นเจ้าคงไม่คิดว่าไหแตกๆ หน้าบ้านนักปรุงยาก็เป็นสมบัติล้ำค่าเหมือนกันหรอกใช่ไหม”
ฉินมู่มองไปยังไหแตกๆ หน้าบ้านนักปรุงยาที่ว่า สมุนไพรที่เขาไม่รู้จักถูกเพาะชำเอาไว้ในไห พร้อมทั้งแมลงตัวเล็กๆ อย่างพวกแมงมุม หนอนไหม และตะขาบ
และตอนนี้เมื่อน้ำท่วมนองเต็มหมู่บ้านไปหมด น้ำบางส่วนไหลเข้าไปในไห ทำให้แมลงสามสี่ตัวปีนออกมาข้างนอกและเริ่มต่อสู้กัน ทันใดนั้น แมงมุมดำก็เกิดโมโหอะไรขึ้นมา ร่างของมันติดไฟลุกพรึ่บๆ จากนั้นแมงมุมพลันขยายร่างจนใหญ่เท่าโต๊ะตัวหนึ่ง แล้วพ่นลูกไฟใส่แมลงตัวอื่นๆ ท่ามกลางเปลวเพลิงโหมกระพือนั้น หนอนไหมสีทองสองสามตัวพลันมีปีกงอกเงยและขยายร่างจนตัวยาวกว่าคืบ มันกระพือปีกบินออกมาจากไฟแล้วเข้ากลุ่มรุมกัดแมงมุมยักษ์นั้น
นักปรุงยาโผล่หัวมาจากประตูแล้วตวาดดุ ทำให้แมลงเหล่านั้นรีบหดตัวลงเหลือขนาดเท่าเดิม แล้วกลับเข้าไปในไหอย่างเรียบร้อยๆ
ฉินมู่สงสัยหนักขึ้นทุกที เมื่อเห็นท่านยายซียิ้มฝืนพลางพึมพำ “พวกนี้เรื่องปกติทั้งนั้น ไม่มีอะไรพิลึกเลย…”
ฉินมู่ลองหยั่งดูต่อ “ท่านยาย แล้วผู้คนข้างนอกนั่น บินบนท้องฟ้าได้เหมือนท่านปู่เป๋ไหม”
ท่านยายซีผงกศีรษะ “ใช่แล้ว ผู้คนข้างนอกนั่นบินได้กันทุกคน”
ฉินมู่ถาม “แล้วผู้คนข้างนอกนั่น ล้วนแต่มีกายาวิญญาณเหมือนสมาชิกหมู่บ้านเราไหม”
“พวกเขาทุกคนมีกายาวิญญาณ!”
“แล้วผู้คนข้างนอกเหล่านั้น แข็งแกร่งเหมือนกับพวกท่านยายท่านปู่ไหม”
“แข็งแกร่งมากๆ! ไม่อย่างนั้นทำไมยายกับคนอื่นๆ ถึงถูกบีบให้หนีมาหลบในแดนโบราณวินาศ! อย่าคิดจะเที่ยวเตร่ข้างนอกเชียว ถ้าไม่ระวังให้ดีอาจจะทิ้งชีวิตไม่รู้ตัว ผู้คนข้างนอกนั้นฝีมือร้ายกาจยิ่งกว่าเฒ่าบอดซะอีก!”
ฉินมู่ไม่ค่อยเชื่อที่ท่านยายซีพูด ถ้าผู้คนนอกแดนโบราณวินาศเก่งกาจอย่างที่ท่านยายพูด มิใช่ว่าจะเหาะขึ้นฟ้าไปเป็นเซียนกันหมดแล้วหรือ
ข้างลำน้ำ เฒ่าเป๋ปลดทรัพย์ทำความสะอาดศพ แล้ววางพวกเขาเข้าไปในโลง ตอกลิ่มไม้ปิดฝาโลงไม่ให้อ้าออก จากนั้นผลักโลงไม้ลงไปในแม่น้ำ ให้กระแสน้ำพัดพาพวกมันไป
ด้วยกระแสน้ำเชี่ยวกราก และหินโสโครกที่อยู่ระเกะระกะลำน้ำ โลงไม้คงลอยไปได้ไม่นานคงแตกและซากร่างเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเหยื่อปลา
“สำนักแม่น้ำหลี่คงถูกลบไปจากแผนที่ชายแดนใต้”
เฒ่าเป๋ทอดสายตามองตามโลงไม้ที่ลอยไกลออกไปแล้วกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “เจ้าสำนักสิ้นชีวิต ยอดฝีมือในสำนักก็ตายกันหมด สำนักนี้คงเอาตัวรอดต่อไปได้ยาก”
“ที่ข้าคิดอยู่ไม่ใช่เรื่องนี้”
เฒ่าหม่าส่ายศีรษะขณะที่มองไปยังที่ไกลๆ “ข้ากำลังคิดเรื่องอันดับหนึ่งใต้เทวะ ในเมื่อมู่เป่ยเผิงเป็นเจ้ามณฑลของห้ามณฑลเหมี่ยวในแดนใต้ ซึ่งได้รับแต่งตั้งโดยราชครูสันตินิรันดร์กับมือเขาเอง มันจะไม่ทำให้เขาสะดุ้งสนใจหรือเมื่อทั้งเจ้าสำนักและห้าอาวุโสแม่น้ำหลี่ต่างก็ตายกันไปหมด”
เฒ่าเป๋สายหน้า แต่ก็เห็นด้วยกับการคาดเดา “เขาต้องสะดุ้งสนใจเหตุการณ์นี้แน่! แต่เขาคงไม่กล้าย่างกรายเข้ามาในแดนโบราณวินาศ!”
เฒ่าหม่าหันไปแลมองเขาทีนึง “อย่าลืมว่า ถึงราชครูสันตินิรันดร์จะทำอะไรแดนโบราณวินาศไม่ได้ แต่ว่าเขามีทั้งจักรวรรดิสันตินิรันดร์หนุนหลัง! จักรวรรดิสันตินิรันดร์ที่เป็นสำนักขนาดยักษ์ภายใต้คราบของจักรวรรดิ! ไฉนสำนักที่ใหญ่มหึมาเช่นนี้จะไม่มองแดนโบราณวินาศตาเป็นมัน ที่นี่คือดินแดนซึ่งสมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วนซุกซ่อนอยู่!”